ตอนที่ 135 ผู้ครองสมบัติทั้งสาม
ต่อหน้าผู้คนมากมาย หลินเซวียนดูเหมือนไม่มีความหวังแม้แต่น้อย แต่ทันใดนั้นทุกอย่างก็ได้เปลี่ยนไป
แสงสีน้ำเงินได้ส่องประกายขึ้นทุกทิศทางจากจุดปะทะ
ตู้ม!!
มันราวกับโลกกําลังจะพังทลาย มิติรอบด้านได้เกิดรอยแตกขึ้นอย่างน่าสะพรึง
ผู้คนมากมายต่างถอยกันไปอีกหลายก้าว
หลังจากผ่านไปชั่วครู่ ในห้องโถงก็สงบลง
ยกเว้นแค่สมบัติสามอย่างกลางอากาศ ทุกสิ่งรอบด้านได้พังทลายหมดแล้ว
นักสู้บางคนได้รับลูกหลงจนบาดเจ็บไปด้วย แต่ในใจของพวกเขากลับตื่นเต้น
“เจตนารมณ์แห่งดาบน่าสะพรึงอย่างแท้จริง มันสามารถสังหารผู้ที่ฝีมือไม่ถึงได้อย่างง่ายดาย!”
พวกเขามองไปตรงกลางสนามรบ
เวลานี้มีเพียงผมของหลินเซวียนที่กําลังปลิวไสว ที่ร่างกายมีชุดเกราะโบราณคลุมอยู่ ร่างกายของเขาบิดเบี้ยวตามมิติเล็กน้อย
ตรงแขนซ้ายของเขามีปลอกแขนทองแดงที่กําลังส่งพลังงานอันน่าสะพรึงออกมาอย่างไม่หยุด
หลุมขนาดใหญ่ปรากฏขึ้นตรงกลางยอดเขาทมิฬ จากนั้นมันค่อย ๆ แตกออก
ท้ายที่สุดยอดเขาทมิฬก็ได้หายไป อีกทั้งหินแปดเหลี่ยมในมือหลิงเฟิงยังเกิดรอยร้าว
“ไม่ เป็นไปไม่ได้” หลิงเฟิงอุทานอย่างบ้าคลั่งราวกับคนเสียสติ
“หลินเซวียนต้านทานได้ยังไง!?
“อีกทั้งยังทําลายยอดเขาทมิฬได้ด้วย!?
ศิษย์ตระกูลหลิงอีกสามคนด้านหลังต่างพากันตัวสั่นเทา พวกเขาไม่กล้าสบตากับหลินเซวียนอีก
กลุ่มคนด้านนอกต่างอ้าปากค้าง ดวงตาของพวกเขาเต็มไปด้วยความหวาดกลัว
” ข้าไม่คาดคิดเลยว่ายอดเขาทมิฬจะ…” นักสู้บางคนเหงื่อแตกขณะมองหลินเซวียน
หลินเซวียนใบหน้าซีดขาวเล็กน้อย การโจมตีเมื่อครู่ทําให้เขาถึงกับแขนชา
แต่เขาก็ไม่คิดจะแสดงท่าที่อ่อนแอต่อหน้าศัตรู
หลังจากเงยหน้ามองสมบัติบนอากาศแล้ว หลินเซวียนก็ค่อย ๆ เดินไปหามัน
เขายกมือขึ้นไปคว้าสมบัติที่เป็นมีดยาว
หลังจากเห็นหลินเซวียนชิงสมบัติได้ ผู้คนรอบด้านก็เริ่มได้สติกลับมา
หลินเซวียนหันกลับไปมองกลุ่มคน
มันราวกับดาบแหลมคมที่ออกมาจากสายตา ผู้ที่สบตาเขาถึงกับเข่าอ่อน
หลิงเฟิงที่ยืนอยู่ยังคงตกตะลึง แม้หลินเซวียนจะได้สมบัติแล้วเขาก็ยังไม่ได้สติ
แต่ยังไงก็สายไปแล้ว เพราะหลินเซวียนได้สมบัติไปเป็นที่เรียบร้อย
” ศิษย์น้องหลิน เจ้าไม่เป็นอะไร ยอดเยี่ยมมาก!” มู่หรงเฉียนหลิงเดินไปหาหลินเซวียนทันทีด้วยใบหน้ายินดี
หลินเซวียนพยักหน้าก่อนจะเผยรอยยิ้ม จากนั้นเขาได้ถามสถานการณ์ของคนอื่น ๆ
ฟิ้ว! ฟิ้ว!
หลังจากนั้นไม่นานก็มีร่างคนพุ่งเข้ามาด้วยความเร็วที่ไม่ธรรมดา
เพียงชั่วพริบตา ร่างของคนสองคนก็ได้ปรากฏขึ้นตรงหน้ากลุ่มคน
“ศิษย์พี่เจิ้ง!” ศิษย์หลายคนตะโกน
ชายสองคนตรงหน้าคือเจิ้งจวิ๋นและเซียเจิ้งเฟิงที่ดูการต่อสู้อยู่ใกล้ ๆ
หลังจากเห็นการต่อสู้แล้ว พวกเขาถึงกับมองหลินเซวียนอย่างไม่คาดคิด
เซียเจิ้งเฟิงมองอย่างสงสัย แต่เจิ้งจวิ๋นกลับมองอย่างเย็นเยือก
“ศิษย์น้องหลิน เจ้าได้ดาบไปก็แค่นั้น หากไม่อยากให้ดาบเสียของ เจ้าน่าจะเอามันให้หลิงเฟิงตกลงไหม?” เจิ้งจวิ่งกล่าวขึ้น
“อะไรกัน?” ทุกคนต่างตกตะลึงราวกับไม่เชื่อในสิ่งที่ตัวเองได้ยิน แม้แต่หลิงเฟิงยังประหลาดใจ
ดวงตาหลินเซวียนหลงก่อนจะหันไปมองเจิ้งจวิ๋น
“เสี่ยวเซวียน พ่อหนุ่มคนนี้อยู่ขั้นสมุทรวิญญาณขั้นกลางระดับสามแล้ว เจ้าต้องระวัง อีกอย่าง เขายังมีดาบวิเศษในแหวนด้วย” เซียนสุราเอ่ยขึ้น
“ฮืม?” หลินเซวียนชะงักเล็กน้อย เขาไม่คาดคิดว่าเจิ้งจวิ๋นจะร้ายกาจ และยังมีของวิเศษ
ผู้คนรอบด้านต่างมองหลินเซวียนเพื่อรอคําตอบจากเขา
หลินเซวียนกล่าว “ข้าก็ได้ยินมาว่าศิษย์พี่เจ๋งไม่ได้เชี่ยวชาญเรื่องดาบนัก ทําไมไม่มอบดาบวิเศษในแหวนให้เขาไปล่ะ?”
ผู้คนรอบด้านฟังคิดว่าเขาแค่พูดสวนกลับเท่านั้น
แต่เจิ้งจวิ๋นถึงกับใจสั่นพร้อมม่านตาที่ตีบลง
“มันรู้ได้ยังไง?” เจิ้งจวิ๋นสับสนทันที “มันเห็นของในแหวนเราหรือ?”
“ล้อเล่นหรือ ข้าจะไปมีดาบที่เจ้าว่าได้ยังไง?” ใบหน้าเจิ้งจชิ้นเปลี่ยนเป็นเย็นเยือก
ลมหายใจของเขาพ่นออกมาจนผู้คนรอบด้านตัวสั่น
“ขั้นสมุทรวิญญาณขั้นกลางระดับสาม!”
ศิษย์รอบด้านต่างพากันตกตะลึง
เพียงเจ็ดวัน ความแข็งแกร่งของเจิ้งจวิ๋นได้เพิ่มขึ้นอีกแล้ว กล่าวคือ แม้หลินเซวียนจะมีเจตนารมณ์แห่งดาบ มันก็สู้กับระดับนี้ได้ยาก
“ยินดีด้วยศิษย์พี่เจิ้งบรรลุขั้นพลังแล้ว!” ผู้คนมากมายต่างพากันแสดงความยินดี
“ยินดีด้วยขอรับศิษย์พี่เจ๋ง!” หลิงเฟิงรู้สึกเจ็บใจมากยิ่งขึ้น ไม่เพียงแค่จะแพ้หลินเซวียน เขายังต้องเสียยอดเขาทมิฬ แค่นี้ก็นับว่าสาหัสแล้ว
ตอนนี้ยอดฝีมือคนอื่นกลับเริ่มทิ้งห่างไปเรื่อย ๆ
” ข้าคิดว่าพี่เจิ้งคงจะได้อันดับสูงกว่าเดิมในเทียบอันดับมังกรแฝงแน่นอน”
เจิ้งจวิ๋นอยู่อันดับที่เก้าสิบเจ็ดในเทียบอันดับมังกรแฝง ตอนนี้เขาบรรลุขั้นพลังไปอีก หลายคนคิดว่าเขาจะต้องขึ้นไปอันดับที่สูงกว่าแน่นอน
หลังจากชื่นชมกันเสร็จสิ้น มู่หรงเฉียนหลิงได้กล่าวเสียงต่ำ “ศิษย์พี่เจิ้ง สมบัตินี้หลินเซวียนชิงมาอย่างยากลําบาก มันก็ควรจะเป็นของเขา ข้าหวังว่าศิษย์พี่จะไม่ไปแทรกแซง!”
มู่หรงเฉียนหลิงทราบดีถึงความขัดแย้งระหว่างหลินเซวียนและผู้อาวุโสเยว่ที่เป็นอาจารย์เจิ้งจวิ๋น แต่นางก็ไม่คิดว่าเจิ้งจวิ๋นจะพูดอย่างเปิดเผยเช่นนี้
อย่างไรก็ตาม หลินเซวียนก็เป็นศิษย์ของสํานักชวนเทียน และยังเป็นอัจฉริยะที่เข้าใจเจตนารมณ์แห่งดาบ นางย่อมไม่ปล่อยให้หลินเซวียนถูกขู่แน่นอน!
“เมื่อศิษย์น้องมู่หรงว่าเช่นนั้น ข้าก็จะไม่พูดอะไร!” เจิ้งจวินกล่าวอย่างมีมารยาท
หลินเซวียนค่อนข้างหงุดหงิดกับสิ่งนี้ เขาอยากจะเตะเจิ้งจอื่นสักครั้ง
“บัดซบ น่ารําคานนัก อยู่อันดับสูงแล้วไง จะรังแกใครก็ได้งั้นหรือ?”
“ฮึ่ม!” หลินเซวียนอุทานในใจ
เวลานี้การต่อสู้แย่งชิงของวิเศษได้จบลงแล้ว
ผลที่ได้เกินความคาดหมายของพวกเขาเล็กน้อย
ทวนมังกรได้ตกอยู่ในมือของช่างกวนหลิวหยุน เขายืนอย่างสง่างามขณะจับทวนในมือ
ส่วนชุดเกราะตกไปอยู่ในมือของสตรีลึกลับ
สตรีผู้นี้สวมชุดกระโปรงสีขาวเหมือนหิมะ ใบหน้ายังปกปิดด้วยผ้าคลุม มันทําให้นางดูลึกลับอย่างมาก
นางถือเกราะสีม่วงในมือก่อนจะสวมใส่
เกราะสีม่วงเปล่งแสงชั่วครู่ก่อนจะหายไป
ผู้คนรอบด้านมองอย่างแปลกประหลาดไปที่ยอดฝีมือทั้งสาม
เพราะครั้งแรกพวกเขาคิดว่าคงจะเป็นหลิงเฟิง หว่านเจี้ยนซิง อ้วนเฟ่ย หรือยอดฝีมือคนอื่น ๆ ที่จะได้สมบัติ ไม่ใช่อัจฉริยะรุ่นใหม่เหล่านี้
หลินเซวียนพยักหน้าให้ซ่างกวนหลิวหยุน
ซ่างกวนหลิวหยุนหยิบทวนยาวขึ้นก่อนจะพุ่งไปอยู่ข้างหลินเซวียน
ฟิ้ว!
ทั้งสองยืนสนทนากันท่ามกลางสายตาของผู้คน
แต่ในกลุ่มคน พวกเขามองไปยังสตรีชุดขาวมากที่สุด