ตอนที่ 22 ผู้อาวุโสฟ่าง
ณ หอภารกิจ
ขณะที่เฉินต้าเจิ้งกำลังก้มหน้าตรวจภารกิจอยู่ ทันใดนั้นชายคนหนึ่งได้วิ่งเข้ามาพร้อมเสียงตะโกน “คนที่ชื่อหลินเซวียนกลับมาแล้ว ตอนนี้เขากำลังเผชิญหน้ากับพรรคปราณเทวะ!”
เสียงของเขาได้พุ่งเข้าหูศิษย์ทุกคนในหอภารกิจ พวกเขาวางงานของตนไว้ก่อนจะรีบวิ่งออกไปทันที
ถึงแม้พวกเขาจะไม่เคยเจอหลินเซวียน พวกเขาก็เคยได้ยินชื่อเสียงของเขามาตลอดหนึ่งเดือน ‘ศิษย์ชั้นนอกผู้ไร้ซึ่งสังกัดกล้าสังหารคนของพรรคปราณเทวะ’ อีกทั้งผู้ที่ตายยังเป็นน้องชายของจางเฉียนยอดฝีมือจากสำนักชั้นใน นี่คือสิ่งที่พูดกันไปทั่วในสำนักตลอดหนึ่งเดือนที่ผ่านมา
เฉินต้าเจิ้งเองก็ได้ยินข่าวนี้เช่นกัน เขาทำได้แค่เป็นกังวล ตอนนี้เมื่อได้ยินว่าหลินเซวียนกลับมาแล้ว เขาจึงกังวลมากกว่าเดิม หลังจากครุ่นคิดอยู่นาน เขานึกได้เพียงต้องขอความช่วยเหลือจากผู้อาวุโสฟ่าง
เขาหยิบดาบที่ซ่อมแล้วของหลินเซวียนก่อนจะรีบวิ่งไปยังหลังภูเขาทันที
หลังจากผ่านมาหลายเนิน เฉินต้าเจิ้งได้มาถึงยังสวนอันเงียบสงบ เขาทำการคารวะศิษย์ผู้เฝ้าประตู “ศิษย์พี่ ข้ามีบางอย่างต้องการพบผู้อาวุโสฟ่าง“
“โอ้ เจ้านั่นเอง” ศิษย์เฝ้าประตูจำได้ว่าเฉินต้าเจิ้งเคยมา เขาจึงกล่าวพร้อมรอยยิ้ม “เจ้ารอที่นี่ ข้าจะไปแจ้งให้เอง”
เฉินต้าเจิ้งยืนรออย่างกังวลใจอยู่ด้านนอก ตอนนี้มันเป็นเวลาชีวิต แค่หนึ่งวินาทีก็สามารถทำให้หลินเซวียนถูกพรรคปราณเทวะสังหารได้ อีกอย่าง เขาก็ไม่คาดคิดว่าหลินเซวียนจะกล้าท้าทายพรรคปราณเทวะมาก่อน
“เอาล่ะ มากับข้า” ศิษย์เฝ้าประตูได้ออกมาเรียก
เฉินต้าเจิ้งรออยู่หน้าประตูเพียงไม่กี่วินาที แต่มันกลับเหมือนผ่านไปเป็นปี
“ศิษย์เฉินต้าเจิ้งคารวะผู้อาวุโสฟ่าง” เฉินต้าเจิ้งโค้งศีรษะเล็กน้อย
“มีเรื่องอะไรงั้นหรือ?” ผู้อาวุโสฟ่างเอ่ยถามเสียงเบา
เฉินต้าเจิ้งที่กังวลใจอยู่ทำได้เพียงกล่าวอย่างช้า ๆ “นี่คือดาบของผู้อาวุโส มันถูกซ่อมโดยหลินเซวียนแล้วขอรับ“
“โอ้ หลินเซวียนอีกแล้วหรือ?” ผู้อาวุโสฟ่างลูบเคราขณะกล่าว “เขากลับมาแล้วหรือยัง?”
“ผู้อาวุโสฟ่าง หลินเซวียนกลับมาแล้ว แต่ตอนนี้เขาถูกล้อมโดยพรรคปราณเทวะอยู่ คนของพรรคปราณเทวะถูกหลินเซวียนสังหาร ตอนนี้เขาจึงจะพาตัวหลินเซวียนไป!”
“บัดซบ!” ทันทีที่ได้ยิน ท่าทีของเขาได้เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง
“พาข้าไปเดี๋ยวนี้!” เขาคว้าไหล่ของเฉินต้าเจิ้งก่อนจะพุ่งออกไปราวกับสายลม
……
ด้านนอกที่พัก ถังอวี้ยืนอยู่ข้างหลินเซวียน พวกเขากำลังเผชิญหน้ากับพรรคปราณเทวะและกลุ่มผู้คุ้มกฎสำนัก
“ใครกล้าจับตัวเขาไปต้องผ่านข้าไปก่อน!”
หลินเซวียนไม่คาดคิดว่าสตรีผู้นี้จะปกป้องตน มันทำให้เขารู้สึกอุ่นใจไม่น้อย “ขอบคุณมาก” เขากระซิบ
“ฮึ่ม!” ถังอวี้มองกลับพร้อมกล่าว “ข้าบอกแล้วว่าจะดูแลเจ้าเองหลังจากเข้าสำนักมา ไม่ต้องห่วง!”
“ย่อมได้!” หัวหน้าฮัวกล่าวขึ้นด้วยเสียงเย็นเยือก
เขาพุ่งออกไปพร้อมฝ่ามือขนาดใหญ่
ถังอวี้เผยรอยยิ้มเล็กน้อย ขณะกำลังจะลงมือ นางกลับถูกดึงไปด้านหลัง
เป็นหลินเซวียนที่ดึงนางออกมา จากนั้นเขารีบชักดาบตอบโต้ ดาบเหล็กดำกลายเป็นประกายแสงแทงออกไปอย่างรวดเร็ว
ดาบอัสนีในมือหลินเซวียนนั้นรวดเร็วปานสายฟ้าอย่างแท้จริง
เคล้ง! เคล้ง!
เสียงโลหะดังขึ้น หลินเซวียนแทงไปอีกสามครั้ง แต่ละครั้งได้สะกัดจุดพลังวิญญาณบนฝ่ามือและถูกทำให้หยุดทันที
‘ขั้นเปิดชีพจรระดับหก? พลังวิญญาณแข็งแกร่งนัก’ หลินเซวียนรู้สึกลำบากเล็กน้อยเมื่อทราบว่าคู่ต่อสู้อยู่ขั้นพลังอะไร
หลังจากนั้นเสียงตะโกนได้ดังขึ้นท่ามกลางสายตาผู้คนมากมาย
“หากข้าไม่ผิด เขาต้านการโจมตีของหัวหน้าฮัวได้!”
“ผู้ใช้พลังวิญญาณระดับสี่สู้กับระดับหก? ข้าไม่ได้ฝันไปใช่หรือไม่? อีกอย่าง ดาบนั่นช่างดูรวดเร็วยิ่งนัก! ชายคนนั้นเป็นใครกันแน่?”
“ไม่ว่าใครก็ตามที่กล้าทำให้พรรคปราณเทวะกับกลุ่มผู้คุ้มกฎขุ่นเคือง เขาต้องไม่ตายดีแน่!”
ใบหน้าหัวหน้าฮัวมืดดำ เขาใช้พลังไปสามในสิบส่วนเมื่อครู่ แต่มันกลับถูกสะกัดได้โดยหลินเซวียนต่อหน้าต่อตาผู้คน หากข่าวนี้แพร่กระจายออกไป เขาจะต้องเสียหน้าไม่น้อย!
“กล้าขัดขืนงั้นหรือ ทุกคน จับเขาไว้!” หัวหน้าฮัวเอ่ยขึ้น
หลินเซวียนผลักถังอวี้ไปด้านข้างก่อนจะกล่าว “ออกไปเร็ว!” จากนั้นเขาจับดาบแน่นขณะตั้งท่าพร้อมสู้
ศิษย์พรรคปราณเทวะมองหลินเซวียนด้วยสายตาเหยียดหยาม พวกเขาทราบว่าหลินเซวียนไม่สามารถหนีไปไหนได้แน่
“ฮ่า ฮ่า มาดูสิว่าเจ้าจะใช้ชีวิตที่เหลือยังไงหลังจากเป็นศัตรูกับพรรคปราณเทวะ”
ทันใดนั้นประกายแสงและเงาคนได้ปรากฏขึ้นในเส้นทางหนึ่ง เพียงชั่วพริบตา พวกเขาได้ปรากฏตัวกลางอากาศ
“ใครกล้ามีเรื่องในสำนัก? หยุดมือซะ!” ร่างนั้นได้ทะยานลงพื้นพร้อมเสียงคำรามที่ดังก้องไปทั่วทิศทาง
พวกเขาได้เงยหน้ามองชายผู้ที่กล่าว เขาคือชายชราผมขาวและศิษย์อีกคนหนึ่งที่ใบหน้าซีดเผือด
“ผู้อาวุโส!” พวกเขาทำการคารวะทันที
ศิษย์ทุกคนตัวแข็งทื่อขณะเดินไปอยู่ด้านข้างอย่างพร้อมเพรียง
“พวกเจ้าเก่งกาจในเรื่องใช้คนหมู่มากต่อสู้กันนักใช่หรือไม่? เช่นนั้นสักวันข้าจะส่งพวกเจ้าออกไปอยู่แนวหน้าสู้กับศัตรูในโลกด้านนอก!” ชายชรากล่าวเสียงเย็นเยือก
ใบหน้าพวกเขาเต็มไปด้วยความผวา โลกด้านนอกนั้นไม่ได้สงบสุข บางแห่งนั้นเต็มไปด้วยปีศาจและสัตว์อสูร อีกทั้งมนุษย์และสัตว์อสูรนั้นมักจะทำสงครามกันอยู่บ่อยครั้ง หากพวกเขาถูกส่งไปอยู่แนวหน้า เช่นนั้นอาจจะตายได้ทุกเมื่อ
“ผู้อาวุโสฟ่าง หลินเซวียนถูกสงสัยว่าสังหารศิษย์ร่วมสำนัก ดังนั้นพวกเรา…” หัวหน้าฮัวกล่าวขึ้น
“แล้วหลักฐานล่ะ?” ผู้อาวุโสฟ่างเอ่ยขัด “ฮัวหยางปิง ในฐานหัวหน้ากลุ่มผู้คุ้มกฎศิษย์ชั้นนอก เจ้าน่าจะตระหนักได้ดีไม่ใช่หรือ?”
“ขอรับ” ฮัวหยางปิงกล่าว “แต่…”
“เอาล่ะ แยกย้ายกันไปให้หมด พวกเราจะจับคนเมื่อมีหลักฐานเท่านั้น!” ผู้อาวุโสฟ่างออกคำสั่ง
ดวงตาฮัวหยางปิงเต็มไปด้วยความไม่เต็มใจ เขาต้องการจับชายหนุ่มคนนี้ที่ทำให้เขาเสียหน้า แต่ตอนนี้กลับทำได้เพียงหยุดมือ เมื่อนึกได้เช่นนี้ มันเป็นครั้งแรกที่กลุ่มผู้คุ้มกฎรู้สึกถึงความพ่ายแพ้ ความรู้สึกนี้แทบจะทำให้ฮัวหยางปิงเป็นบ้า
ฮัวหยางปิงจากไปพร้อมแววตาอาฆาตอันรุนแรง พวกเขาทราบว่าเมื่อผู้อาวุโสฟ่างอยู่ที่นี่ ไม่ว่ายังไงหลิยเซวียนก็รอด
แน่นอนว่าพรรคปราณเทวะเองก็ทำได้เพียงมองหลินเซวียนอย่างขมขื่นขณะเดินจากไป
นี่คือจุดสิ้นสุดของการจับกุมครั้งใหญ่…
…..
“เกิดอะไรขึ้น? เจ้าบอกว่าไอ้หนูนั่นไม่มีคนสนับสนุนไม่ใช่หรือ?” ระหว่างทาง ฮัวหยางปิงได้เอ่ยถามอย่างโกรธเกรี้ยว “แล้วเหตุใดผู้อาวุโสฟ่างถึงมาด้วยตัวเอง?”
ใบหน้าหยานกงมืดครึ้มเช่นกัน เขากล่าวเสียงต่ำ “ตามที่ตรวจสอบมา เขาไม่มีความสัมพันธ์ใดกับผู้อาวุโสฟ่าง แต่มันเกิดอะไรขึ้นข้าก็ไม่ทราบ แต่อย่าลืมว่าพวกเราเองก็มีผู้อาวุโสอยู่เช่นกัน!”
“ยังมีอีกหลายหนทางในการจัดการเขา หากพวกเราอยู่นอกสำนัก เช่นนั้นก็สามารถฆ่ามันได้โดยตรง!”
“แล้วหากมันไม่ออกไปข้างนอกล่ะ?”
“กฎสำนักกำหนดว่าห้ามฆ่าคน แต่ไม่ได้หมายความว่าจะสู้กันไม่ได้ มันง่ายที่พวกเราจะสู้กับมันอย่างเป็นทางการในสนามประลอง ตอนนี้ไปขัดขวางทุกภารกิจของมัน ทำให้ชีวิตในสำนักของมันเหมือนตกนรกซะ!“
“เอาล่ะ ที่เหลือข้าจะปล่อยเป็นหน้าที่อำนาจของพรรคปราณเทวะของเจ้า ข้าขอตัวก่อน” ฮัวหยางปิงจากไปพร้อมกับกลุ่มผู้คุ้มกฎ
หยานกงบอกให้ศิษย์ในพรรคเตรียมตัวให้ดี เขาต้องการเล่นกับหลินเซวียนจนตายไปข้าง