ตอนที่ 25 สองทางเลือก
“ดาบอัสนีสิบสามกระบวนท่า!”
วิชาดาบอัสนีนั้นมีสิบสามกระบวนท่า ตอนนี้หลินเซวียนกำลังจะแสดงทุกกระบวนท่าออกมา ดาบเหล็กดำในมือของเขาเริ่มถูกคลุมไปด้วยม่านแสงสีฟ้า
อีกด้านหนึ่ง ประกายแสงสีเลือดได้พุ่งเข้ามาอย่างรวดเร็ว ทันทีที่ดาบทั้งสองสัมผัสกัน มันได้เกิดเสียงดังก้องทะลุแก้วหูของผู้คน
เหลียงฮงถึงกับตกตะลึง เขาไม่คาดคิดว่าวิชาดาบตรงหน้าจะแปลกประหลาดถึงเพียงนี้ ตรงหน้าเขามีเพียงดาบเล่มเดียว แต่ด้วยความเร็วอันน่าสะพรึง มันราวกับมีดาบอยู่นับไม่ถ้วน สิ่งนี้ เป็นผลให้ดาบโลหิตในมือของเขาถูกฟันจนบิ่นอยู่หลายแห่ง
‘เป็นไปได้ยังไง? เหตุใดผู้ใช้พลังวิญญาณระดับสี่ถึงมีวิชาดาบที่ประหลาดเยี่ยงนี้?’ เหลียงฮงรู้สึกประหลาดใจไม่น้อย ‘แต่มันก็แค่นั้น? เราคือผู้ใช้พลังวิญญาณที่ระดับสูงกว่า แค่ใช้พลังวิญญาณ เราก็สามารถสยบมันได้แล้ว!’
“ผสานพลัง!”
เหลียงฮงคำรามออกมา จากนั้นแสงโลหิตภายในตัวของเขาได้แข็งแกร่งขึ้นอีกครั้ง ดาบสีแดงในมือเองก็พลังสูงกว่าก่อนหน้าถึงเท่าตัว
ปั้ง! ปั้ง!
ดาบสีแดงระเบิดพลังออกมาราวพลุไฟ มัดปัดป้องกระบวนท่าที่สิบของวิชาดาบอัสนีได้ อีกทั้งยังแทงไปยังจุดตายทั้งเก้าของหลินเซวียน
หลินเซวียนตกตะลึง เขาไม่คาดคิดว่าเหลียงฮงจะแข็งแกร่งถึงเพียงนี้ ‘ดูเหมือนเราจะประเมินคู่ต่อสู้ต่ำไป โดยเฉพาะคนที่สามารถเข้าพรรคปราณเทวะได้’
แต่เขาก็ยังคงเชื่อมั่นในวิชาดาบอัสนี หัวใจหลักของวิชาดาบนี้ หากใช้มันทีละกระบวนท่า มันจะสามารถเพิ่มพลังให้กับกระบวนท่าครั้งต่อไปได้เป็นเท่าตัว เมื่อใช้ครบทั้งสิบสองกระบวนท่า กระบวนท่าที่สิบสามจะแข็งแกร่งพออุดช่องว่างระหว่างพลังของพวกเขาได้
เคล้ง! เคล้ง! เคล้ง!
โลหะตัดเฉือนกันจนประกายไฟสาดไปทั่วลานประลอง
ปราณพลังของหลินเซวียนเริ่มอ่อนลงทุกขณะราวกับว่าจะแตกได้ตลอดเวลา เมื่อเห็นเช่นนั้นเหลียงฮงจึงได้ถอนหายใจโล่งอกพร้อมเผยรอยยิ้มชั่วร้าย
ถึงแม้หลินเซวียนจะบังคับให้เขาใช้วิชาดาบจนเกือบจะพ่ายแพ้ เขาก็ยังพอจะควบคุมสถานการณ์ไว้ได้ เวลานี้ เมื่อนึกถึงแต้มสะสมสามร้อยแต้มหลังจากชนะ ดาบในมือของเขาจึงได้เพิ่มความเร็วขึ้นอีก
“หลินเซวียนต้องแพ้แน่” หนึ่งในผู้ชมได้เอ่ยขึ้น “แต่แค่ทำให้เหลียงฮงใช้วิชาดาบได้ก็นับว่าไม่ธรรมดาแล้ว“
“ฮึ เป็นโชคร้ายของมันแล้ว ต่อหน้าเหลียงฮงยังกล้าใช้ความเร็วเข้าสู้กับเขา!” ศิษย์พรรคปราณเทวะกล่าว
ในยามนี้ ใบหน้าหลินเซวียนยังดูสดใสเช่นเดิม เขาเหลืออีกแค่สามกระบวนท่าเท่านั้น จะสำเร็จหรือล้มเหลวก็ขึ้นอยู่มันแล้ว
เขาเบี่ยงหลบไปมาขณะใช้ดาบต่อสู้ ดาบเหล็กดำที่โจมตีโต้กลับนั้นราวกับมังกรแหวกว่ายอยู่ในมหาสมุทร
“สวรรค์! เขากล้าที่จะตอบโต้และยังไม่ยอมแพ้!” บรรดาศิษย์ที่ยืนดูอยู่เริ่มประหลาดใจ
ศิษย์ของพรรคปราณเทวะชะงัก พวกเขาไม่สามารถเดาเจตนาของหลินเซวียนออก
“แต่ท้ายที่สุดมันก็คงเป็นแค่ความพยายามที่สิ้นเปลือง!”
เหลียงฮงเห็นหลินเซวียนพยายามดิ้นรน ดวงตาของเขาจึงเต็มไปด้วยความเย้ยหยัน
“ทำอะไร? เฮือกสุดท้ายก่อนจะสิ้นลมงั้นหรือ?” เหลียงฮงหัวเราะเยาะ
หลินเซวียนไม่ตอบสิ่งใด ทั้งความคิดและจิตวิญญาณของเขารวมอยู่ในวิชาดาบอัสนีหมดแล้ว เขาพยายามควบคุมพลังทั้งร่างให้ดีที่สุดไปยังดาบในมือ
“กระบวนท่าที่สิบ!” หลินเซวียนเร่งเร้าพลังวิญญาณไปยังตัวดาบ ส่งผลให้ดาบทะยานขึ้นฟ้าก่อนจะพุ่งไปยังดาบโลหิตตรงหน้า
เคล้ง!
แรงกระแทกอันหนักหน่วงทำให้แขนของหลินเซวียนถึงกับชา เขารีบกระตุ้นพลังคงกระพันไปยังแขนทันที นับว่ามันช่วยฟื้นฟูได้ไม่น้อย
แต่ดาบของเขายังโจมตีไม่ได้ผล ดาบของเหลียงฮงได้ปัดป้องดาบของเขาออกเมื่อครู่ ถึงอย่างนั้นเขาเริ่มคุ้นชินกับกระบวนท่าของดาบอัสนีขึ้นมาก
‘อีกสองกระบวนท่า!’ หลินเซวียนกำดาบในมือแน่นขณะใช้การก้าวเท้า
เมื่อเห็นการโจมตีของตนไร้ผล เหลียงฮงถึงกับโกรธขึ้นมาอีกครั้ง เขาถ่ายเทพลังวิญญาณทั้งหมดลงในดาบโลหิตเพื่อเตรียมจะปิดฉากหลินเซวียน
วูม!
ดาบทะยานขึ้นจนอากาศสั่นสะเทือน เหลียงฮงคิดจะสังหารหลินเซวียนในดาบนี้
ขณะเดียวกัน กระบวนท่าที่สิบสองได้พร้อมแล้ว
“ตายซะ!” เหลียงฮงตะโกนขึ้นดัง พลังอันเกรี้ยวกราดได้ปัดดาบเหล็กดำทิ้ง จากนั้นปลายดาบที่เย็นเฉียบได้แทงไปยังอกขวาของหลินเซวียน
ในช่วงวิกฤต ดวงตาของหลินเซวียนได้ลุกโชนขึ้น ดูเหมือนว่าเวลานี้ เขากับดาบเหล็กดำได้ผสานกันเป็นหนึ่งเดียวแล้ว ‘นี่เป็นความรู้สึกที่มหัศจรรย์มาก!’ ด้วยสัมผัสนี้ หลินเซวียนจึงได้ใช้กระบวนท่าที่สิบสามทันที
ความเร็วที่ผสมผสานกับดาบเหล็กดำนั้น แสดงออกมาราวกับสายฟ้าทมิฬ บรรยากาศรอบด้านถึงกับปั่นป่วน เสียงของฟ้าร้องในตัวดาบเหล็กดำได้คำรามดังก้องขณะปัดดาบโลหิตกระเด็นออกไป
เหลียงฮงรู้สึกราวกับถูกฟ้าผ่าลงที่ตัว ความรู้สึกสิ้นหวังปรากฏขึ้นในใจของเขา เวลานี้เขาไม่ต่างอะไรจากผงฝุ่นที่ลอยอยู่ในพายุสายฟ้า
ติ๊ก! ติ๊ก!
หลังจากบรรยากาศรอบด้านสงบลง เหลียงฮงได้นั่งคุกเข่าลงกับพื้น มือซ้ายกุมหน้าอกที่เลือดกำลังไหลซึม
“เหลียง เหลียงฮงพ่าย…” คนของพรรคปราณเทวะตัวแข็งทื่อราวกับไก่เสียบไม้ กล้ามเนื้อบนใบหน้าพวกเขาบิดเบี้ยวอย่างไม่รู้ตัว พวกเขาไม่สามารถยอมรับสิ่งนี้ได้อย่างแท้จริง
“ข้าแพ้… ข้าแพ้แล้ว…!” แสงในดวงตาเหลียงฮงได้ดับวูบลง เขาพ่ายแพ้ให้กับผู้ใช้พลังวิญญาณระดับสี่ สิ่งนี้ทำลายความมั่นใจของเขาหมดสิ้น
หลินเซวียนยืนอยู่ที่เดิมและค่อย ๆ ปิดตาลง เขากำลังซึมซับความรู้สึกเมื่อครู่ ‘กระบวนท่าที่สิบสามนั้นไม่ต่างอะไรจากความน่ากลัวของสายฟ้า ความรู้สึกนี้ช่างมหัศจรรย์นัก’
“เจ้าติดข้าสามสิบแต้ม” หลินเซวียนเปิดตาขึ้นขณะกล่าวกับเหลียงฮงที่เดินลงไป
“ใครอีก?”
เมื่อได้ยิน ใบหน้าศิษย์พรรคปราณเทวะถึงกับชา เพราะแม้แต่เหลียงฮงยังพ่ายแพ้ ตอนนี้ในกลุ่มพวกเขาเหลือเพียงซิงหลี่เฟิ้งเท่านั้นที่พอจะสู้ได้
แน่นอนว่าหลินเซวียนไม่คิดจะปล่อยพวกเขาไปสักคน หนึ่งคนต่อสามสิบแต้ม พวกเขานั้นไม่ต่างอะไรจากกระต่ายรอนายพรานไล่จับ! ขณะรอเขาได้ยื่นนิ้วออกมานับจำนวนไปด้วย
“พวกเจ้าไม่ได้รับอนุญาตให้ไปไหนทั้งนั้น!” หลินเซวียนมองลงไปยังกลุ่มปราณเทวะขณะกล่าว “พร้อมที่จะจ่ายสามสิบแต้มมาให้นายน้อยผู้นี้แล้วหรือยัง!” หลินเซวียนกล่าวอย่างตื่นเต้น
“เจ้า! เจ้านั่นแหละ!” หลินเซวียนชี้ไปยังคนในพรรคปราณเทวะก่อนจะกล่าว “ขึ้นมาสู้ได้แล้ว อย่าทำให้พรรคปราณเทวะดูแย่สิ”
ศิษย์พรรคปราณเทวะที่ถูกชี้หัวใจตกไปยังตาตุ่ม แม้แต่เหลียงฮงยังแพ้ แล้วเขาจะเอาอะไรไปสู้ แต่หากไม่ขึ้นไปสู้ พรรคปราณเทวะก็คงไม่ปล่อยเขาไปเช่นกัน
หากพ่ายแพ้ครบสามครั้ง มันจะนับว่าเสื่อมเสียชื่อเสียงของพรรคอย่างแท้จริง
ทุกคนต่างหันไปมองซิงหลี่เฟิ้ง ขั้นพลังของเขาสูงสุดในกลุ่มตอนนี้ มีเพียงเขาที่สามารถล้มหลินเซวียนได้ มิเช่นนั้นพวกเขาต้องกลายเป็นตัวตลกแน่นอน
“เจ้าชักจะได้ใจมากเกินไปแล้ว!” ซิงหลี่เฟิ้งกล่าวด้วยใบหน้าเย็นเยือก
“มากเกินไป? เจ้าว่าข้าทำเกินไปขณะที่พรรคปราณเทวะมารุมข้างั้นหรือ? เจ้าคิดว่าข้าทำเกินไปขณะที่เอาคนที่ขั้นพลังสูงกว่ามาสู้งั้นหรือ? เจ้าคิดว่าข้าทำเกินไปขณะที่เอากลุ่มผู้คุ้มกฎมาตีกรอบข้างั้นหรือ?”
หลินเซวียนกล่าวเย้ยเยาะ “เจ้าสามารถกลั่นแกล้งผู้อื่นแล้วไม่ให้พวกเขาตอบโต้ได้หรือไง?”
“กล้าต่อต้านพรรคปราณเทวะ มันจะไม่มีที่ให้เจ้าอยู่ที่นี่!” ซิงหลี่เฟิ้งตะคอกกลับ
“อย่าพูดจาไร้สาระ!” หลินเซวียนชี้ดาบลงไป “ตอนนี้เจ้ามีแค่สองทางเลือก ทางเลือกแรกคือยอมแพ้และมอบแต้มมาให้ข้าแต่โดยดี หรือจะให้ข้าตีเจ้าก่อนแล้วค่อยมอบแต้มมา เจ้าจะเลือกทางไหน?”
“โอหัง พูดจาโอหังนัก!”
ศิษย์ปราณเทวะอยากจะขึ้นไปรุมกระทืบเขาตอนนี้ แต่เพราะกฎ พวกเขาจึงไม่กล้า ตอนนี้มีเพียงคนเดียวที่พอจะสู้กับหลินเซวียนได้นั่นคือซิงหลี่เฟิ้ง
ผู้ชมรอบด้านถึงกับแสดงความตื่นเต้นเมื่อได้ยินหลินเซวียน พวกเขาไม่ใช่คนของพรรคปราณเทวะ และหลายคนก็โดนกลั่นแกล้งมานาน ตอนนี้พวกเขารู้สึกมีความสุขที่เห็นพวกปราณเทวะตกที่นั่งลำบาก
“ข้าจะปิดปากมันเอง!” ซิงหลี่เฟิ้งค่อย ๆ เดินเข้าไปในเขตอาคม ดวงตาของเขาแหลมคมประดุจใบมีด
“พี่เฟิ้งจะต้องชนะ!” ศิษย์พรรคปราณเทวะส่งเสียงให้กำลังใจ
“ไม่ต้องห่วง พี่เฟิ้งอยู่ขั้นเปิดชีพจรระดับห้าที่แข็งแกร่งที่สุดในหมู่พวกเรา เขาต้องไม่แพ้แน่นอน เขาจะต้องบดขยี้ไอ้หนูนั้นได้โดยพลังวิญญาณอันทรงพลัง!”
ซิงหลี่เฟิ้งยืนอยู่ตรงกลางลานประลองอาคม เขากำหมัดแน่นก่อนจะกล่าว “เข้ามา ข้าจะให้เจ้ารู้จักพลังที่แท้จริงของพรรคปราณเทวะเอง!”