ตอนที่ 27 เจ้าจะต้องเสียใจ!
หลินเซวียนได้แต้มกลับมาถึงสามร้อยแต้มก่อนจะกลับไปกระท่อมอย่างพึงพอใจ
ตอนนี้ยังมีเวลาเหลืออีกหนึ่งเดือนที่ประตูสำนักชั้นในจะเปิด ดังนั้นเขาจึงต้องวางแผนให้ดี ความแข็งแกร่งปัจจุบันของเขาอยู่ที่ขั้นเปิดชีพจรระดับสี่ เขาต้องเข้าไปยังระดับห้าให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ ยิ่งกว่านั้น ตอนนี้เขามีแต้มสะสมถึงสามร้อยแต้ม หลินเซวียนจึงสามารถหาวรยุทธ์มาเสริมได้
หลินเซวียนมีเพียงวิชาดาบอัสนีตอนนี้ อีกทั้งการก้าวเท้าก็เป็นเพียงระดับพื้นฐาน แต่ด้วยแต้มสะสมที่ได้มา มันจะทำให้ปัญหาทุกอย่างหมดไป
“แต้มเหล่านี้ช่างเป็นสิ่งที่ดีจริง ๆ ไม่สงสัยเลยว่าทำไมผู้คนถึงทำงานอย่างหนักเพื่อให้ได้มัน” ในประตูสำนักชั้นนอก การมีแต้มสะสมจำนวนมากก็ไม่ต่างจากคนร่ำรวย ด้วยทรัพยากรเหล่านี้ พวกเขาจะสามารถฝึกฝนได้รวดเร็วกว่าผู้อื่น
“เราไม่ทราบว่าชีวิตในสำนักชั้นในจะเป็นยังไงบ้าง” หลินเซวียนอดไม่ได้ที่จะนึกถึงมัน ครั้งหนึ่งเขาเคยได้ยินถังอวี้กล่าวว่ามีหอวรยุทธ์อยู่ภายในสำนักชั้นใน วรยุทธ์ที่ต่ำกว่าขั้นสีดำจะหาได้ที่นั่น และยังไม่ต้องใช้แต้มสะสมแลก
ถึงจะเป็นเช่นนั้น เขาก็ยังไม่ได้เป็นศิษย์ชั้นในเวลานี้
“ช่างเรื่องพวกนั้น ตอนนี้เข้านอนก่อนดีกว่า” หลินเซวียนตรงไปอาบน้ำก่อนจะรีบกลับมานอนพักผ่อน
เช้าวันรุ่งขึ้น หลังจากรับประทานอาหารเช้าเรียบร้อย หลินเซวียนได้มุ่งหน้าไปยังหอภารกิจในทันที
“อรุณสวัสดิ์ศิษย์น้องหลิน!”
ทันทีที่หลินเซวียนเข้ามายังหอภารกิจ เสียงของเฉินต้าเจิ้งก็ดังขึ้น เขาเดินไปหาพร้อมรอยยิ้มก่อนจะมอบตั๋ววิญญาณให้
“ขอบคุณสำหรับวันนั้นมากศิษย์พี่เฉิน ข้าขอตอบแทนน้ำใจท่านด้วยสิ่งนี้” หลินเซวียนกล่าวจริงจัง
“ด้วยความยินดีอยู่แล้ว เจ้าเป็นคนที่ยอดเยี่ยม และเอาชนะความสนใจผู้อาวุโสฟ่างได้ด้วยฝีมือเจ้า มิเช่นนั้นข้าคงไม่สามารถพาเขาไปช่วยได้หรอก!” เฉินต้าเจิ้งหัวเราะขึ้น
“เอาล่ะ ช่างมันเถอะ ข้าอยากจะเลือกวรยุทธ์สักหน่อย ท่านมีอะไรแนะนำหรือเปล่าศิษย์พี่เจิ้ง?” หลินเซวียนเข้าประเด็นโดยไม่มากความ
“เจ้าประสงค์อยากจะฝึกสิ่งใดล่ะ วิชาดาบ ร่างกาย ฝ่ามือ หรือเท้า?” เฉินต้าเจิ้งเอ่ยถาม
หลินเซวียนลูบคางขณะครุ่นคิด เขายังไม่ต้องการวิชาดาบในตอนนี้ เพราะยังต้องฝึกวิชาดาบอัสนีให้เชี่ยวชาญก่อน เขาคาดว่าคงต้องใช้เวลากับมันอีกมากในอนาคต
ดังนั้นตอนี้จึงต้องการทักษะวิชาตัวเบา เพราะเขามีเพียงการก้าวเท้าขั้นพื้นฐานเท่านั้น ส่วนแต้มที่เหลือ เขาต้องการเลือกวรยุทธ์ที่ช่วยเพิ่มความแข็งแกร่งทางกายภาพ เพราะยิ่งมีพละกำลังมากเท่าไหร่ วิชาดาบอัสนีก็ยิ่งแข็งแกร่งขึ้นเท่านั้น
อันที่จริงหลินเซวียนต้องการให้เซียนสุราสอนวิชาเพิ่มอีก แต่เซียนสุราก็บอกเขาไปตรง ๆ ว่า ถึงแม้จะมีวิชาให้สอนอยู่บ้าง แต่มันก็ยังไม่มีทางในตอนนี้ เพราะขั้นพลังของหลินเซวียนยังต่ำเกินไป
ด้วยความสิ้นหวัง หลินเซวียนจึงหันไปหาหอภารกิจเพื่อแลกเปลี่ยนวรยุทธ์แทน
“ข้าขอวรยุทธ์ด้านวิชาเคลื่อนไหวและด้านพลังกาย” หลินเซวียนกล่าว
เฉินต้าเจิ้งส่งคัมภีร์ทั้งสองประเภทให้ ทั้งสองอย่างที่เจ้าว่าอยู่ในนี้ “ลองดูก่อน“
หลินเซวียนเปิดอ่านอย่างรวดเร็ว และไม่นานเขาก็เลือกได้ตัดสินใจเลือก หนึ่งคือวรยุทธ์ขั้นสีเหลืองระดับกลาง ก้าวเท้าเงา เมื่อบรรลุจนถึงระดับเชี่ยวชาญ ผู้ฝึกจะสามารถทะยานไปตามสายลมได้ดั่งเงาที่ติดตามตัว
ส่วนอีกอันหนึ่งคือวิชา กายหยกทองคำ มันคือวิชาขั้นสีเหลืองระดับกลางเช่นกัน มันเป็นวิชาสำหรับเพิ่มความแข็งแกร่งของลมปราณ โลหิต และพละกำลัง เมื่อฝึกถึงระดับเชี่ยวชาญ แม้แต่คมดาบก็ไม่อาจเป็นอันตรายกับผิวหนังผู้ฝึกอีก
หลังจากเลือกวรยุทธ์เสร็จแล้ว หลินเซวียนยังเก็บภารกิจอีกหลายอย่างก่อนจะจากไป
เขาวางแผนไว้ว่าจะฝึกฝนวิชาเหล่านี้ก่อน จากนั้นค่อยไปยังเมืองเล่อหยางเพื่อหาซื้ออาวุธ มิเช่นนั้น เขาคงโดนหัวเราะเยาะแน่นอนจากการเป็นผู้ใช้ดาบที่ไม่มีดาบ
แต่แทนที่จะกลับไปยังกระท่อม หลินเซวียนกลับรีบรุดไปยังห้องบ่มเพาะพลังของสำนักแทน
ห้องบ่มเพาะพลังนั้นเป็นสถานที่เปิดพิเศษของสำนักซวนเทียน มีไว้ให้สำหรับศิษย์ที่ไม่ต้องการผู้อื่นมารบกวนขณะฝึกฝน อีกทั้งภายในห้องยังมีผู้พิทักษ์ไม้ไผ่คอยเป็นคู่มือฝึกซ้อมด้วย ห้องบ่มเพาะพลังนั้นแบ่งออกเป็นสามระดับ แต่ละระดับนั้นจะมีผู้พิทักษ์ไม้ไผ่ที่แตกต่างกันออกไป ในระดับแรกจะเป็นผู้พิทักษ์ไม้ไผ่ธรรมดา ระดับที่สองเป็นผู้พิทักษ์ไม้ไผ่แดง และระดับสามเป็นผู้พิทักษ์ไม้ไผ่ทองคำ
ห้องบ่มเพาะพลังระดับแรกนั้นต้องจ่ายหินวิญญาณสิบก้อนต่อวัน ระดับสองก็ยี่สิบก้อน และระดับสามก็สามสิบก้อน
หลินเซวียนเคยสู้กับผู้พิทักษ์ไม้ไผ่แดงมาแล้วในตอนบททดสอบศิษย์ชั้นนอก ตอนนี้ความแข็งแกร่งของเขาอยู่ในระดับที่สี่ขั้นเปิดชีพจร ดังนั้นผู้พิทักษ์ไม้ไผ่สีทองจึงเหมาะสมที่สุด
หลังจากครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ เขาจึงเลือกเข้าห้องบ่มเพาะพลังระดับสามทันที
หลังจากจ่ายหินวิญญาณและได้รับกุญแจเปิดประตู หลินเซวียนก็คิดจะไปหาห้องฝึก ขณะเดียวกัน ได้มีศิษย์ชายหญิงคู่หนึ่งเดินมา หลินเซวียนไม่ได้สนใจอะไรมากนอกจากถามที่ตั้งของห้องบ่มเพาะพลังและจากไป
ทันทีที่หลินเซวียนลงเท้าได้ไม่กี่ก้าว เขาได้ยินเสียงเอะอะดังมาจากด้านหลัง “เจ้าว่าอะไรนะ ห้องบ่มเพาะพลังระดับสามไม่มีแล้ว?”
ศิษย์ผู้รับผิดชอบบันทึกได้กล่าว “ถูกแล้ว ห้องบ่มเพาะพลังระดับสามเพิ่งถูกเลือกไปเมื่อครู่ เจ้าเลือกอย่างอื่นเถอะ“
“ใครมันบังอาจนัก?” เสียงของสตรีผู้หนึ่งเอ่ยขึ้น “บอกมาเร็วเข้า ข้ามาจากพรรคอาภรณ์หยกนะ!”
เมื่อศิษย์ผู้ดูแลได้ยินคำว่าอาภรณ์หยกก็ถึงกับคอตก เขาค่อย ๆ ชี้ไปยังรายชื่อสุดท้าย ‘หลินเซวียน‘
สตรีผู้นั้นเห็นว่าหลินเซวียนอยู่เพียงขั้นเปิดชีพจรระดับสี่ อีกทั้งยังไม่ได้มาจากพรรคใหญ่ทั้งสาม นางจึงรีบเงยหน้าขึ้นและวิ่งตามไปทันที
“เจ้า! หยุดอยู่ตรงนั้น!” น้ำเสียงนั้นฟังดูเย่อหยิ่งไม่น้อย
หลินเซวียนกลับทำหูทวนลมและเดินต่อไปอย่างช้า ๆ การกระทำนี้ทำให้สตรีผู้นั้นโกรธอย่างมาก โดยปกติศิษย์ที่เป็นผู้ชายนั้นแทบจะเป็นทาสให้เพื่อทำให้นางพอใจ ตอนนี้หลินเซวียนทำเป็นไม่สนใจนาง มันยิ่งเพิ่มพูนความโกรธจนมือไม้สั่นเทา
“ฮึ่ม! เจ้ากล้าเมินข้างั้นหรือ!!” ใบหน้าของสตรีผู้นั้นเปลี่ยนเป็นเย็นเยือก นางไม่ลังเลที่จะใช้พลังฝ่ามือโจมตีหลินเซวียนจากด้านหลังทันที พลังวิญญาณที่ผันผวนในอากาศ ส่งผลให้เกิดเสียงหวีดดังขึ้น
แต่เดิมหลินเซวียนไม่คิดจะสนใจสตรีประเภทนี้ แต่ไม่คาดคิดเลยว่าจะถูกโจมตีอย่างไม่ลังเล เขาเม้มริมฝีปากก่อนจะประกบนิ้วมือเป็นรูปดาบ
ฟู้ม!
ดาบดัชนีของเขานับว่าร้ายกาจอย่างมาก มันพุ่งทะลึพลังวิญญาณรอบด้านฝ่ามือสีขาวและกระแทกกลับไป
“โอ้ย!” สตรีผู้นั้นรู้สึกเจ็บปวดที่ฝ่ามือทันที เวลานี้ตรงกลางฝ่ามือของนางมีรอยช้ำสีแดงที่ถูกหลินเซวียนโจมตี แต่นางก็ยังไม่ทราบว่าหลินเซวียนได้ออมมือให้อย่างมาก
“เจ้า! กล้าทำร้ายข้างั้นหรือ? รู้หรือไม่ว่าข้าเป็นใคร?” สตรีผู้นั้นกุมมือขณะกล่าวด้วยเสียงอันเย็นเยียบ
เมื่อเห็นหลินเซวียนยังไม่สนใจ นางจึงหันไปมองศิษย์ผู้ชายด้านข้างพร้อมกล่าว “เจ้าเป็นหินหรือไง? ไม่เห็นหรือว่าเขารังแกข้า?”
ก่อนหน้านี้ชายหนุ่มคิดว่ามันคงไม่ยากที่จะจัดการกับศิษย์ขั้นเปิดชีพจรระดับสี่ ขณะที่สตรีผู้นั้นอยู่ขั้นเปิดชีพจรระดับห้า แต่ไม่คาดคิดว่าจะลงเอยแบบนี้
ในความคิดของเขา การกระทำของหลินเซวียนนับว่ารนหาที่ตายอย่างแท้จริง
“ข้าจะให้โอกาสเจ้า กลับมาขอโทษนางหรือจะตาย!” ชายหนุ่มตะโกนขึ้น
หลินเซวียนหาได้สนใจไม่
“บัดซบ เจ้าจะต้องเสียใจ” ร่างของชายหนุ่มกระโจนออกไปราวกับพยัคฆ์วิ่งลงภูเขา
หลินเซวียนได้ทำการเตือนสตรีผู้นั้นไปแล้ว แต่พวกเขากลับไม่สนใจ เขาเริ่มโกรธขึ้นมาเล็กน้อยเช่นกันขณะโคจรพลังไปยังดัชนีดาบ
“ไปให้พ้น!”
เมื่อสิ้นสุดเสียง ประกายดาบที่ได้รับการฝึกฝนมาอย่างดี พร้อมกับปราณวิญญาณสีน้ำเงินได้กระแทกไปยังหน้าอกของชายหนุ่มอย่างแม่นยำ
ตู้ม! ชายหนุ่มกระเด็นถอยไปกลางอากาศ
เมื่อชายคนนั้นล้มลงกับพื้น หลินเซวียนได้เห็นใบหน้าของชายคนนั้นอย่างชัดเจน มันทำให้เขาผงะไปชั่วครู่