ตอนที่ 36 เศษยันต์
คนพรรคปราณเทวะต่างตกใจเมื่อได้ยิน พวกเขาไม่คาดคิดว่าเจียงอู่หลงจะตอบสนองต่อสิ่งของลึกลับชิ้นนั้นขนาดนี้
“ข้าจะให้โอกาสสุดท้ายเจ้าพูด อยากจะอยู่หรือตาย!” ดาบของเจียงอู่หลงชี้ไปทางหลินเซวียน
ทันใดนั้นหลินเซวียนเหล่ตาของตนพร้อมเผยรอยยิ้ม เขากล่าวกับเซียนสุราในใจ “สิ่งที่ท่านบอกเป็นความจริงหรือ?”
“ถูกต้อง เสี่ยวเซวียน เจ้ายังเด็กอยู่คงจะไม่ค่อยเชื่อ” เซียนสุรากล่าวขึ้น “ถึงแม้ยันต์หลบหนีจะไม่สมบูรณ์ แต่มันก็ยังสามารถใช้ได้อยู่ ชีวิตเจ้าปลอดภัยแล้ว”
“ลุงขี้เมา ตอนที่ข้าประลองกับเขา ท่านก็เตรียมใช้ยันต์ไปนะ” หลินเซวียนกล่าว
“โอ้ เจ้าอยากจะวัดฝีมืองั้นหรือ?” เซียนสุราชะงักเมื่อได้ยิน “นี่เสี่ยวเซวียน ไม่ใช่ว่าข้าดูถูเจ้านะ แต่ขั้นพลังของเจ้าห่างจากเขาตั้งสองระดับ ระวังจะถูกสังหารก่อนจะหนี”
“ไม่ต้องห่วง ข้ามั่นใจพอว่ารับมือไหว ท่านไปเตรียมตัวได้แล้ว”
หลินเซวียนมองไปยังเจียงอู่หลงด้วยแววตาที่ไร้ซึ่งความกลัว เขาหัวเราะก่อนจะกล่าว “ข้าเคยได้ยินเรื่องของสี่ยอดคนแห่งสำนักชั้นนอก ไม่ทราบว่าจะแข็งแกร่งอย่างที่ผู้คนร่ำลือกันหรือเปล่า“
“เล่ห์เหลี่ยมอะไรอีก?”
เจียงอู่หลงขมวดคิ้ว เขาไม่เข้าใจว่าทำไมผู้ใช้พลังวิญญาณขั้นเปิดชีพจรระดับสี่ถึงมีความมั่นใจนัก
“ไอ้หนู เจ้าอยากไปพบยมบาลนักหรือไง กล้าดียังไงมาพูดกับศิษย์พี่เจียงแบบนั้น” ศิษย์พรรคปราณเทวะกล่าวขึ้น
“นั่นสิ คิดว่าตัวเองเป็นใคร กล้าดียังไงมาท้าหนึ่งในสี่ยอดคนของสำนักชั้นนอก อย่าลืมว่าชีวิตเจ้าอยู่ในกำมือพวกเรา”
หลินเซวียนหาได้สนใจคนพวกนั้นไม่ขณะชักดาบออกมา เขาทราบว่าตนมีโอกาสจะลองเพียงครั้งเดียว ดังนั้นต้องใช้กระบวนท่าที่แข็งแกร่งที่สุด
แต่เขาไม่สามารถใช้วิชาดาบดาวตกได้ เพราะมันคือไพ่ตายของเขา ดังนั้นวิชาดาบที่แข็งแกร่งที่สุดนอกจากวิชาดาบดาวตกก็คือวิชาดาบอัสนีสิบสามกระบวนท่า
หลินเซวียนเริ่มโคจรพลังวิญญาณไปที่ดาบอย่างรวดเร็ว จิตของเขาได้เริ่มหลอมรวมเป็นหนึ่งกับตัวดาบ
ประกายแสงเย็นเยือกได้เปล่งขึ้นโดยไร้สุ่มเสียง มันเริ่มเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วและเงียบงันภายใต้สายตาคนพรรคปราณเทวะ พวกเขาแทบจะมองไม่เห็นวิถีของดาบ
เจียงอู่หลงไม่คาดคิดว่าหลินเซวียนจะกล้าลงมือจริง อีกทั้งวิชาดาบตรงหน้ายังเหนือกว่าที่คาดไว้มาก
“ข้าจะให้เจ้ารู้จักคำว่าอัจฉริยะกับเศษสวะ” เจียงอู่หลงเผยรอยยิ้มก่อนจะตวัดดาบแทงออกไป มันราวกับมังกรพเนจรที่ดุดันและเย็นเยือก
เคล้ง!
ดาบทั้งสองปะทะกัน ส่งผลให้ประกายไฟปะทุออกมา
การโจมตีของหลินเซวียนไม่สามารถทำอันตรายเจียงอู่หลงได้ เพราะช่องว่างระหว่างพลังนั้นมากเกินไป แต่มันก็ยังสามารถลดพลังของคู่ต่อสู้ได้ ตอนนี้เขาสามารถเบี่ยงวิถีดาบของเจียงอู่หลงออกไปอีกด้าน
“’นี่คือความแข็งแกร่งของสี่ยอดคนแห่งสำนักชั้นนอกงั้นหรือ?’ หลินเซวียนหาได้รู้สึกพ่ายแพ้ เขาไม่ได้เกรงกลัวผู้ใด สิ่งที่เขาต้องการก็แค่เวลานั้น เพราะตั้งแต่แรก มันเป็นเวลาแค่สามเดือนเท่านั้นที่เขาบ่มเพาะพลังมาจนถึงตอนนี้
ตู้ม!
ทุกที่ที่ตัวดาบของเจียงอู่หลงผ่าน มันได้ถูกฟันขาดสะบั้น
อย่างไรก็ตาม ใบหน้าของเจียงอู่หลงได้เผยถึงความโกรธขึ้นมา ดาบของเขาถูกเบี่ยงวิถีได้ สิ่งนี้ทำให้เขารู้สึกอับอายไม่น้อย
“ฮึ่ม” เจียงอวี่หลงอุทานอย่างเย็นเยือก ดาบของเขาเริ่มร่ายรำอีกครั้ง ดาบอันงดงามได้ปรากฏขึ้นและมันพุ่งไปหาหลินเซวียนด้วยพลังอันเกรี้ยวกราด
“ฮ่า ฮ่า สี่ยอดคนของสำนักชั้นนอกก็ฝีมืองั้น ๆ ไว้ครั้งหน้าพบกันอีกครั้ง ข้าจะสยบเจ้าด้วยดาบของข้า” หลินเซวียนหัวเราะขึ้นก่อนที่สายลมลึกลับได้เข้าโอบล้อมตัวเขา
“หินสีน้ำตาลนั่นข้าได้เอามันไปให้กองทหารรับจ้างอสรพิษแล้ว หวังว่าพวกเจ้าจะไปตามเอาเองนะ”
ขณะกล่าว สายลมลึกลับได้ห่อหุ้มตัวหลินเซวียนให้หนีออกไปอย่างรวดเร็ว
วูม!
ดาบของเจียงอู่หลงที่โจมตีมาโดนแค่ความว่างเปล่า เสียงหัวเราะของหลินเซวียนยังคงดังก้องอยู่ในป่าอยู่นานก็จะลับหายไป
เจียงอู่หลงเผยรังสีอันเย็นเยือกออกมา ศิษย์มดปลวกแค่นั้นกล้ามาล้อเล่นกับเขา อีกทั้งยังหนีไปดื้อ ๆ สิ่งนี้มันไม่เคยเกิดขึ้นในชีวิตเขามาก่อน
“ไอ้หนู ครั้งหน้าที่พบกัน ข้าจะสับเจ้าด้วยดาบของข้าแน่นอน!” เจียงอู่หลงระเบิดจิตสังหารในใจ
ศิษย์ของพรรคปราณเทวะหันไปสบตากัน พวกเขากลัวที่จะกล่าว การกระทำของหลินเซวียนทำให้พวกเขาเหมือนโดนตบบ้องหูเข้าอีกครั้ง
“มัวทำอะไรกันอยู่? ยังไม่รีบไปหาพวกทหารรับจ้างอสรพิษอีก!” เจียงอู่หลงกล่าวเสียงต่ำ
“แล้วหลินเซวียน…”
ศิษย์พรรคปราณเทวะคิดจะกล่าวบางอย่าง แต่เมื่อเห็นใบหน้าอันเย็นเยียบของเจียงอู่หลง มันจึงทำได้แค่กลืนคำเหล่านั้นลงท้องทันที
“แยกกันหาพวกกองทหารรับจ้างอสรพิษ หากมีเบาะแสจากที่อื่นให้รีบมาแจ้งทันที” ศิษย์พรรคปราณเทวะรีบกระจายตัวออกไปอย่างรวดเร็ว
หลินเซวียนถูกสายลมห่อหุ้มจนไม่อาจเห็นทิวทัศน์ด้านนอก แต่เขาก็ทราบว่ากำลังบินอยู่
“ความรู้สึกนี่ช่างมหัศจรรย์นัก!” หลินเซวียนอดไม่ได้ที่จะตะโกนออกมา
“เมื่อเจ้าบรรลุถึงขั้นเปลี่ยนแปลงวิญญาณ เจ้าจะสามารถบินได้ด้วยพลังของตนเอง” เซียนสุรากล่าว
“ขั้นเปลี่ยนแปลงวิญญาณ… ข้าจะต้องบรรลุมันให้ได้” หลินเซวียนเผยแววตาอันแน่วแน่
‘เหนือกว่าขั้นเปิดชีพจร จะเป็นขั้นสมุทรวิญญาณ เมื่อไปถึงขั้นนี้ได้ ผู้ใช้จะถอดจิตออกจากกายและสามารถเคลื่อนที่ได้หลายร้อยลี้ หลังจากขั้นสมุทรวิญญาณ มันคือขั้นเปลี่ยนแปลงวิญญาณ ในขั้นนี้ ผู้ใช้สามารถปลดห่วงจากร่างกายและสามารถบินบนอากาศได้’
ขณะนึกถึงอนาคต สายลมรอบด้านของเขาเริ่มเล็กลงจนหายไป หลินเซวียนได้ลงมาถึงพื้นอย่างปลอดภัย
หลินเซวียนประคองร่างขึ้นก่อนจะหันไปมองรอบด้าน ทันใดนั้นใบหน้าของเขาได้เผยอาการมืดดำ
บรรยากาศอันน่าขนลุกและหนาวเหน็บ
นี่เป็นความรู้สึกที่เขาสัมผัสได้ยามนี้ รอบด้านนั้นเต็มไปด้วยต้นไม้ใหญ่ เถาวัลย์ และความมืด ยิ่งกว่านั้นสายลมอันหนาวเย็นยังพัดไปมา แต่กลับไร้ซึ่งเสียงของผู้คน
ถูกต้อง นอกจากเสียงหัวใจของหลินเซวียน มันไม่มีเสียงอื่นอีก
“สถานที่รกร้างนี่คืออะไร?” หลินเซวียนเริ่มชาหนังศีรษะ “มันคงไม่ใช่ในหลุมพิสดารนะ?”
“อ๊ะ เสี่ยวเซวียน ปากเจ้านี่ช่างบัดซบเสียจริง” เซียนสุรากล่าว
“อะไรนะ? นี่คือในหลุมปีศาจนั้นหรือ?” หลินเซวียนกล่าวด้วยเสียงแหบแห้ง “หลังจากหนีเสือมาก็ต้องมาเจอกับจระเข้อีก ข้าไม่ทราบจริง ๆ ว่าต้องทำยังไงต่อแล้ว!“
หลินเซวียนกล่าวขึ้นต่อ “แต่ไม่ใช่ว่าตกลงมาในหลุมนี้แล้วจะตายงั้นหรือ เหตุใดข้ายังไม่เป็นอะไร?”
“หรือว่าที่นี่ไม่ใช่หลุมพิสดาร?” เมื่อนึกได้เช่นนี้เขาพลันดีใจขึ้นมาเล็กน้อย
“นี่คือในหลุมพิสดารแน่นอน เจ้าอยู่ในนี้แล้ว” เซียนสุราถอนหายใจขณะกระดกเหล้า
“ภายในหลุมพิสดาร…” หลินเซวียนสูดหายใจลึก “ช่างเถอะ มันไม่มีใครกล้าลงมาในหลุมนี้ ข้าอยากเห็นนักว่ามันมีอะไรพิเศษ”
“ลุงขี้เมา มันไม่มีข้อจำกัดอะไรในนี้ใช่หรือไม่?” หลินเซวียนเอ่ยถามอย่างระมัดระวัง
“ไม่ เจ้าแค่เดินไปอย่างระมัดระวัง หากข้าเดาไม่ผิด นี่คงเป็นส่วนนอกของมันอยู่” เซียนสุราสังเกตรอบด้านขณะกล่าว
หลินเซวียนจับดาบไว้แน่นขณะเดินข้ามเถาวัลย์บนพื้นเข้าไปข้างใน
รอบด้านเริ่มมีต้นไม้น้อยลงทุกขณะ มันถูกแทนที่ด้วยเศษหิน และตรงหน้าเขายังมีแท่งหินขึ้นแทนที่จะเป็นต้นไม้
แท่งหินเหล่านี้แตกหักราวกับว่ามันถูกโจมตีมาก่อน หลินเซวียนยิ่งรู้สึกถึงความผันผวนของพลังเมื่อเดินเข้าไปใกล้มากขึ้น
“อ๊ะ…” เซียนสุราอุทานออกมาเมื่อเห็นแท่งหินก่อนจะถอนหายใจ สีหน้าของเขาราวกับคนที่ทำอะไรไม่ถูก
หลินเซวียนไม่ทราบว่าเหตุใดเซียนสุราถึงรู้สึกเช่นนั้น เขาเดินตรงไปข้างหน้าและพยายามจับแท่งหินเหล่านี้เบา ๆ ทันใดนั้นเขารู้สึกว่าได้ค้นพบบางอย่าง