ตอนที่ 39 ชายหนุ่มบนก้อนหิน
ในตอนเช้ากับสภาพแวดล้อมอันเงียบสงบ
ชายหนุ่มร่างเพรียวกำลังร่ายรำดาบอยู่กลางป่าอันหนาทึบ หากมองให้ดี จะเห็นว่าเขาไม่ได้ฝึกฝนวิชาดาบอะไร แต่เขากำลังฝึกพื้นฐานการใช้ดาบเท่านั้น
ถึงแม้จะเป็นเพียงการเคลื่อนไหวขั้นพื้นฐาน แต่มันกลับดูไม่งดงามแม้แต่น้อย ทุกท่วงท่ามันเกิดจากความเหน็ดเหนื่อยของเขา ฟัน แทง ยก กวาด…. กระบวนท่าพื้นฐานเหล่านี้เกิดขึ้นซ้ำไปมาในมือของชายหนุ่ม
หลังจากผ่านไปร้อยครั้ง ชายหนุ่มดึงดาบกลับมาวางลงบนพื้น จากนั้นค่อย ๆ พ่นลมหายใจออกมา
ฟู่!
ดาบสีชาดปักลงบนพื้นราวกับแทงเต้าหู้ ชายหนุ่มเหยียดแขนขาก่อนจะกล่าวเสียงต่ำ “ตอนนี้เราพอจะคุ้นเคยกับน้ำหนักของเพลิงโลหิตแล้ว อีกทั้งพลังวิญญาณยังเพิ่มพูนด้วย เราเกรงว่าคงไม่นานที่จะบรรลุไปยังระดับหก“
“นั่นเป็นเรื่องธรรมชาติ ตอนนี้พลังวิญญาณของเจ้ากำลังไหลเวียนรวดเร็วกว่าเดิมถึงสองเท่าใช่หรือไม่?” เสียงอีกเสียงหนึ่งดังขึ้น “แล้วเจ้าไม่คิดว่าสถานที่แห่งนี้มันแปลกบ้างหรือไง?”
ชายหนุ่มผู้นั้นคือหลินเซวียน เขายิ้มพร้อมกล่าว “แน่นอนว่ามันดูแปลก นอกจากหินและพืชพรรณจะเป็นสีดำแล้ว มันยังไม่เคลื่อนไหวอีกด้วย!”
“มันเพราะเจ้ายังเด็กเกินไปเลยไม่อาจรับรู้ถึงกฎแห่งพลังของสถานที่นี้ ดูเหมือนว่ามันจะเป็นพื้นที่ส่วนตัวและแตกต่างจากโลกภายนอก” เซียนสุรากล่าวเสียงต่ำ “อย่างน้อยในแง่ของเวลามันก็ไม่เหมือนกับโลกด้านนอก”
เมื่อเห็นหลินยังงงวยอยู่ เซียนสุราจึงกล่าวต่อ “หลุมพิสดารแห่งนี้น่าจะเป็นมิติแยกลี้ลับขนาดเล็ก ที่ที่เจ้าอยู่มันเป็นช่องว่างระหว่างมิติลี้ลับและโลกของเจ้า ข้างในมิตินั้นจะเป็นอีกโลกหนึ่ง เจ้าไม่อาจเข้าไปได้ เพราะมันเป็นเพียงพื้นที่ที่บิดเบี้ยว“
“แล้วมันหมายความว่ายังไง?” หลินเซวียนเอ่ยถาม
“หากเจ้าใช้เวลาอยู่ในนี้หลายวัน มันจะเท่ากับเวลาข้างนอกเพียงไม่กี่ชั่วยาม ยิ่งเจ้าเข้าใกล้พื้นที่ลี้ลับในหลุมนี้มากเท่าไหร่ มันจะยิ่งเห็นผลได้ชัดเจนยิ่งขึ้น” เซียนสุรากล่าวสรุป
“เสี่ยวเซวียน นี่คือโอกาสที่หาได้ยาก เจ้าต้องใช้ประโยชน์จากสถานที่แห่งนี้ในการเชี่ยวชาญดาบเล่มนี้ให้ได้!” เซียนสุรากล่าวขึ้น
“จริงหรือ?” หลินเซวียนกังวลเรื่องการทดสอบของศิษย์ชั้นในที่ใกล้จะถึงนี้ แต่ดูเหมือนปัญหานั้นจะถูกแก้ไขได้แล้ว
“แล้วพวกเราจะไม่หิวตายหรือไง?” แต่หลินเซวียนก็วิตกในเรื่องการกิน “ข้าแค่ผู้ใช้พลังวิญญาณขั้นเปิดชีพจร ข้ายังไม่สามารถดูดซับพลังวิญญาณระหว่างฟ้าดินได้ตอนนี้”
“ข้ามีหนทางที่เจ้าจะไม่ตายจากความอดอยาก” เซียนสุรากล่าว “แต่มันต้องแลกด้วยพลังงานบางส่วน นี่ เสี่ยวเซวียน เจ้าต้องช่วยข้าหาหญ้าวิญญาณและช่วยข้าหมักสุราอีกนะ!”
“ไม่ต้องห่วงลุงขี้เมา ทันทีที่ข้าสามารถเข้าไปเป็นศิษย์ชั้นในได้ ข้าสัญญาว่าจะหาหญ้าวิญญาณเป็นกำมาให้ท่าน!” หลินเซวียนตบหน้าอกขณะกล่าว
ด้วยเหตุนี้หลินเซวียนจึงได้หยิบดาบเพลิงโลหิตขึ้นมา และเดินตรงเข้าไปอีกเล็กน้อยเพื่อเริ่มฝึกอีกครั้ง
ด้านนอกภูเขาไท่หัง
กลุ่มคนสวมชุดเกราะกำลังวิ่งหนีออกมาจากป่า
“บัดซบ พวกสำนักซวนเทียนช่างโหดเหี้ยมนัก พวกมันสังหารพี่น้องเราไปมากมาย!” ชายหัวโล้นกล่าว
“พี่รอง ถอยก่อน! พวกเขามาจากพรรคปราณเทวะ และมีหนึ่งในสี่ยอดคนจากสำนักชั้นนอกด้วย พวกเราไม่ใช่คู่ต่อสู้เขา!” ชายที่มีหนวดเครากล่าว
“พวกระยำ! พวกเรายังไม่ได้หินน้ำตาลสักก้อน แต่คนพวกนี้กลับไล่ล่าพวกเรา การแก้แค้นให้จื่อซิงยังทำไม่ได้ตอนนี้ ถอยก่อนเถอะ!” ชายหัวโล้นกัดฟันแน่นกล่าว
เมื่อได้ยิน ผู้ที่รอดชีวิตของกลุ่มทหารรับจ้างอสรพิษได้หนีเอาชีวิตรอดทันที…
ด้านนอกอีกด้านหนึ่ง
ผู้คนมากมายมารวมตัวกันที่นี่ รวมถึงคนจากสำนักซวนเทียนและสำนักเมฆาม่วง
“ศิษย์พี่เจียง ตามที่เราคำนวณไว้ หินสีน้ำตาลอีกชุดหนึ่งจะถูกปล่อยออกมาอีกไม่เกินครึ่งชั่วยาม”
เจียงอู่หลงพยักหน้า เขาต้องได้หินในครั้งนี้ เขารออยู่ด้านนอกหลุมพิสดารมาห้าวันแล้ว ถึงแม้จะได้หินสีน้ำตาลมาบ้าง แต่มันก็ไม่มีอะไรข้างในนั้น กล่าวคือเขาเสียเวลาไปเปล่า ๆ ห้าวัน
“ฮึ! ต้วนเฟ่ยจากพรรคเทพสงครามได้ไปสามก้อน เฉินหลานจากพรรคอาภรณ์หยกได้ไปสองก้อน ศิษย์ชั้นในนั้นยังไม่ทราบ…” เจียงอู่หลงคำนวนว่ามีใครได้ไปเท่าไหร่
“ไม่ต้องห่วงอู่เอ๋อ ข้าจะเอาหินมาให้เจ้าเอง” เสียงอันหนักแน่นได้ดังข้างหูเจียงอู่หลง เขาขมวดคิ้วและมองไปก่อนจะอุทานด้วยน้ำเสียงอันเย็นชา
ไม่ไกลนักจากตรงนี้ ชายหนุ่มชุดสีม่วงกำลังเผยท่าทีหยอกเหย้าถังอวี้อยู่ เขาคือนายน้อยสองจากสำนักเมฆาม่วง
“ติงเซียง อยู่ให้ห่างจากข้า หรือจะให้พี่ชายข้ากลับมาสั่งสอนเจ้า!” ถังอวี้แสดงความรำคานอย่างชัดเจน
“นี่ นี่ พี่ชายเจ้าได้รับคำท้าประหลองจากศิษย์พี่หลิงฉิงมานานแล้ว ตอนนี้ยังไม่กลับมาเลย แต่ไม่ต้องห่วงข้าจะปกป้องเจ้าเอง!” ชายหนุ่มชุดม่วงนามติงเซียงส่ายหัวขณะกล่าว
ต้วนเฟ่ยที่อยู่อีกมุมหนึ่งได้เผยใบหน้ามืดดำ เขาเป็นชายที่หล่อเหลาและยังเป็นหนึ่งในสี่ยอดคนของสำนักนอก เขาคิดมาตลอดว่าถังอวี้เป็นผู้หญิงของเขา แต่ชายหนุ่มชุดม่วงผู้นี้กลับแทะโลมนางมาตั้งแต่เช้า เขารู้สึกอยากจะตบชายผู้นี้ให้ตายคาที่
แต่ติงห่าวที่เป็นศิษย์พี่ของชายหนุ่มคนนี้คือยอดฝีมือที่อยู่อันดับต้น ๆ พร้อมฉายาคมมีดน้อยแห่งหยุนโจว ด้วยความแข็งแกร่งของพี่ชายเขา ต้วนเฟ่ยจึงไม่กล้าลงมือ
ขณะที่เขากำลังคันไม้คันมือ เสียงของคนผู้หนึ่งก็ดังขึ้น “หินนั่นออกมาแล้ว!”
ต้วนเฟ่ยหันไปมองทันทีและพร้อมเริ่มลงมือ ทุกคนในพื้นที่เริ่มเผยแววตากระตือรือร้น เจียงอู่หลงเองก็จับดาบในมือไว้มั่น
ฟูม!
ทันใดนั้นเสียงแหวกอากาศได้ดังขึ้นพร้อมด้วยความกระวนกระวายของทุกคน
มันมีหินสีน้ำตาลขนาดใหญ่กำลังลอยอยู่ แต่ผู้คนยังไม่ขยับ เพราะมันมีเงาขนาดใหญ่อยู่ด้านหลังหินนั้น!
ดวงตาเจียงอู่หลงเปล่งประกาย เขาต้องได้หินก้อนนี้
แต่ทันใดนั้นเขาพบว่ามีบางอย่างไม่ปกติ ไม่เพียงแค่เขา แต่ทุกคนต่างก็รู้สึกเช่นกัน บนหินก้อนนั้น มีชายคนหนึ่งยืนอยู่!
‘มีคนรอดชีวิตออกมาจากหลุมพิสดารได้ยังไง? นี่ต้องเป็นปีศาจแน่!’ ผู้คนต่างพากันตกตะลึง หากมีจอมปีศาจออกมาจริง เช่นนั้นพวกเขาคงได้ตายกันหมดแน่
“ไม่ นั่นเป็นเพียงชายหนุ่ม!” เสียงหนึ่งดังขึ้นเมื่อเห็นผู้ที่อยู่บนหิน
“นั่นเป็นชุดของสำนักซวนเทียน!” ดวงตาทุกคู่เปิดกว้าง พวกเขาไม่ทราบว่าเหตุใดศิษย์สำนักซวนเทียนถึงออกมาจากหลุมพิสดารได้
เขาเห็นชายหนุ่มผู้หนึ่งแบกดาบสีแดงเข้มอยู่ด้านหลังกำลังยืนอยู่บนหินสีน้ำตาล มุมปากของเขายกขึ้นเล็กน้อย ในดวงตานั้นยังเผยถึงความมั่นใจอย่างเต็มเปี่ยม
ฟิ้ว!
ชายหนุ่มกระโดดลงจากหินพร้อมเอ่ย “ขอบคุณที่พาข้าออกมาจากหลุมนั้นนะ เอ้า! หินมาแล้ว รีบไปตามเก็บกันเร็ว!”
“ขอบคุณกับพี่เจ้าสิ!” พวกเขารอหินมานาน เมื่อเห็นเช่นนี้จึงได้สบถขึ้นในใจ
แต่หลังจากที่ชายหนุ่มเอ่ยประโยคหลัง มันทำให้พวกเขาได้สติและตามไปเก็บหินกันอย่างรวดเร็ว
“หลินเซวียน นั่นหลินเซวียน!” ในที่สุดก็มีคนจำชายหนุ่มผู้นั้นได้ ใบหน้าของพรรคปราณเทวะถึงกับมืดดำ พวกเขาทราบว่าการปรากฏตัวของหลินเซวียนต้องไม่ใช่เรื่องดี!
เจียงอู่หลงขมวดคิ้วแน่น ใบหน้าของเขาเย็นเยือก และความเย็นนี้ได้จ้องมองไปทางหลินเซวียน
“ข้าอยากจะพบเจ้ามานานแล้ว ข้าจะตัดหัวเจ้าออกด้วยดาบของข้า!” เจียงอู่หลงกล่าวอย่างเย็นเยือก
“จริงหรือ?” หลินเซวียนเผยรอยยิ้มเย็นชา แต่น้ำเสียงของเขาคมกริบราวกับใบมีด “ข้าเองก็กำลังจะบอกว่า ข้าอยากสยบเจ้าด้วยดาบเล่มนี้เช่นกัน!”