ตอนที่ 42 ชี้แนะ
เหอเชาปิงถอยอย่างหวาดผวา แต่ดาบในมือของหลินเซวียนนั้นรวดเร็วกว่ามาก
แสงสีแดงอันงดงามสว่างวาบอย่างรวดเร็วราวกับสายฟ้าแลบ
เมื่อผู้คนได้สติกลับมา พวกเขาได้เห็นว่าดาบเพลิงโลหิตของหลินเซวียนได้ชี้ไปตรงหน้าอกของเหอเชาปิงแล้ว หากออกแรงอีกเพียงนิดเดียว มันจะแทงทะลุหัวใจของเขา เหอเชาปิงเองก็ไม่กล้าขยับ ใบหน้าของเขาซีดเผือดพร้อมดวงตาที่ตกตะลึง
‘ความเร็วนั่นมันอะไร!? ควบคุมแรงได้แม่นยำนัก!’
แน่นอนว่ารอบด้านยังมียอดฝีมือยืนดูอยู่ด้วย พวกเขาต่างพากันหยุดหายใจขณะมองการประลองเมื่อครู่ ความแข็งแกร่งของหลินเซวียนเหนือกว่าที่พวกเขาคาดไว้มาก ‘เขามั่นใจในการควบดาบของตัวเองถึงเพียงใดกันแน่?’
กฎที่ห้ามสังหารกันในสำนักนั้นได้ทำให้เหอเชาปิงออมมือเล็กน้อย เพราะการสังหารใครโดยไม่มีเหตุผลสามารถทำให้พวกเขาไม่อาจสอบเข้าสำนักชั้นในได้
แต่หลินเซวียนกลับโจมตีโดยเต็มกำลัง มันราวกับเขามั่นใจว่าจะควบคุมพลังได้ ทั้งความเร็วและความแรง พวกเขายอมรับทุกอย่างโดยไม่มีข้อกังขาอีก
“ข้า ข้าแพ้…” เหอเชาปิงกล่าว
ฟูม! หลินเซวียนเก็บดาบเพลิงโลหิตและเดินออกจากสนามประลอง
“ผีมือการใช้ดาบดี แต่ความเสถียรยังไม่ดีนัก ขอบคุณที่ช่วยข้าฝึกฝน”
“ฮืม?” เหอเชาปิงผงะ ‘หลินเซวียนกำลังชี้แนะเรา?’
เขาเกาศีรษะด้านหลังขณะคิด หลินเซวียนกล่าวได้ถูก เขาไม่ค่อยมีเวลาฝึกฝนกับศิษย์ในสำนัก ส่วนใหญ่เขามักจะฝึกฝนอยู่คนเดียว มันจึงทำให้เขาไม่เห็นข้อบกพร่องของตน
“ขอบคุณเจ้ามาก” เหอเชาปิงกล่าวอย่างจริงจัง “ความสามารถของเจ้าเหมาะสมที่จะอยู่อันดับที่หนึ่งร้อยแล้ว ครั้งนี้นับว่าข้าหุนหันไปหน่อย”
“หนึ่งร้อย?” หลินเซวียนเอ่ยถาม “อะไรคือหนึ่งร้อยงั้นหรือ และข้าไม่ทราบจริง ๆ ว่าเหตุใดเจ้าต้องท้าสู้กับข้า?”
“เพราะสิ่งนี้นะสิ” ชายร่างอ้วนนามเสี่ยวเหว่ยได้เดินเข้ามา จากนั้นเขาได้ยื่นแผ่นพับให้หลินเซวียน
“เทียบอันดับศิษย์ชั้นนอก?” หลินเซวียนสงสัยอย่างมากก่อนจะรีบเปิดดู ในด้านบนของรายชื่อ จะเป็นชื่อของชางกวน หลินหยุน ตามมาด้วยเจียงอู่หลง ต้วนเฟ่ยและคนอื่น ๆ
หลินเซวียนเห็นชื่อของตนเองอยู่ในอันดับที่หนึ่งร้อย ต่อจากนั้นเป็นชื่อของเหอเชาปิง เมื่อเห็นสิ่งนี้เขาจึงเข้าใจทันที
“คนจัดอันดับนี้ตาไม่ถึงจริง ๆ ข้าไม่ทราบแล้วว่าต้องทำอะไรบ้าง!” เหอเชาปิงกล่าวเย้ยหยันตัวเอง
“ช่างมันเถอะ ไม่ต้องกังวล ไม่นานเจ้าก็จะได้กลับมา” หลินเซวียนยิ้ม เขาไม่คิดว่าจะจบอยู่ที่อันดับหนึ่งร้อย เป้าหมายของเขาคืออันดับหนึ่ง!
“อะไรนะ?” พวกเขาจ้องมองรายชื่อในเทียบอันดับอยู่ชั่วครู่ก่อนจะเงียบไป
“เจ้าสามารถมาหาข้าได้บ่อย ๆ ในอนาคต” หลินเซวียนตบไหล่เหอเชาปิง
เหอเชาปิงชะงักก่อนจะกล่าวอย่างยินดี “ได้เลย ครั้งหน้าข้าจะต้องเก่งขึ้นกว่านี้!” ด้วยเหตุนั้นเขาจึงจากไปพร้อมกับสหายเสี่ยวเหว่ย
“เชาปิง ดูเหมือนหลินเซวียนคนนี้จะแตกต่างจากผู้อื่นนะ!” เสี่ยวเหว่ยกล่าว
“ใช่ ข้ารู้สึกว่าเขาต้องอยู่อันดับที่สูงกว่าหนึ่งร้อยแน่นอน ข้าหวังมานานแล้วว่าใครสักคนจะทำลายคำสาปของเทียบอันนี้ได้!” ดวงตาของเหอเชาปิงเต็มไปด้วยความคาดหวัง
เมื่อผู้ชมรอบด้านเห็นหลินเซวียนไม่เย่อหยิ่ง อีกทั้งยังชี้แนะคู่ต่อสู้ มันจึงทำให้พวกเขามองหลินเซวียนต่างออกไปทันที เพราะเขาไม่เหมือนกับบรรดาพรรคอันยิ่งใหญ่ทั้งสามในสำนัก พวกเขามักจะหัวเราะเยาะทันทีที่ชนะ แต่หลินเซวียนกลับไม่ใช่แบบนั้น
“หลินเซวียนใช่หรือไม่? ข้ามีนามว่ากวนหยุนเฟ้ย ข้าไม่ทราบว่าพอจะประลองกับเจ้าได้หรือเปล่า?” เพียงไม่นานก็มีศิษย์เริ่มขอประลองกับหลินเซวียนเพื่อขอคำชี้แนะ แน่นอนว่าเขาย่อมรับคำท้า เพราะการฝึกฝนในการประลองที่แท้จริงนั้น เป็นการเพิ่มความสามารถของตนได้อย่างรวดเร็ว
หลังจากกวนหยุนเฟ้ยแล้ว ศิษย์อีกหลายคนต่างก็มาหาหลินเซวียนโดยเหตุผลสองประการ หนึ่งคือ ทักษะการใช้ดาบของหลินเซวียนนั้นยอดเยี่ยม พวกเขาสามารถเรียนรู้หลายสิ่งได้จากการประลองกับเขา อย่างที่สอง หลินเซวียนควบคุมพลังได้อย่างแม่นยำ คู่ต่อสู้จึงไม่ต้องกังวลเรื่องจะบาดเจ็บ
เพียงไม่นานเวลาก็เดินไปอย่างรวดเร็ว หลิยเซวียนและบรรดาคนหนุ่มที่เขาประลองด้วยต่างพากันนั่งพักเหนื่อยบนลานประลอง
ดวงอาทิตย์เริ่มเคลื่อนคล้อยลงจากม่านฟ้าจนเกิดเป็นชั้นสีทองอันงดงาม
“น้องเซวียน เจ้าเป็นคนหรือเปล่า? เจ้าเหมือนกับสัตว์ประหลาดมากกว่า หลังจากสู้กับคนมามากมายแล้ว เจ้ายังดูไม่เหน็ดเหนื่อยเลย!” กวนหยุนเฟ้ยกล่าวอย่างอิจฉา
“ถูกต้อง พวกเราเหนื่อยกันมาก แต่เจ้ากลับไม่เป็นอะไรเลย!”
หลินเซวียนยิ้ม พลังคงกระพันของเขาเริ่มแสดงผลตอนเขาบรรลุขั้นเปิดชีพจรระดับห้า ถึงแม้เขาจะอยู่ระดับนี้ แต่พลังวิญญาณของเขานั้นมากกว่าปกติถึงสองเท่า ซึ่งมันช่วยเพิ่มเรี่ยวแรงในการต่อสู้ของเขาอย่างดี
“น้องเซวียน พรุ่งนี้พวกเรามาประลองกันใหม่ได้หรือไม่?” ชายหนุ่มคนหนึ่งกล่าวอย่างคาดหวัง
“ไม่มีปัญหา” หลินเซวียนเองก็อยากจะฝึกฝนวิชาก้าวเท้าเงาของเขาให้ดีขึ้น ดังนั้นจึงรีบตอบตกลง
หลังจากพระอาทิตย์ตกดิน บรรดาคนหนุ่มเหล่านี้ได้วิ่งกลับเข้าที่พักของตนอย่างรวดเร็ว
……
เมื่อวันแห่งการทดสอบเข้าสำนักชั้นในใกล้เข้ามา บรรดาศิษย์ที่มารับภารกิจก็น้อยลงไปทุกขณะ แต่เฉินต้าเจิ้งเองก็ยังไม่ค่อยมีวันว่าง
“เฮ้อ อิจฉาคนที่สามารถเข้าไปยังสำนักชั้นในได้จริง ๆ ” เฉินต้าเจิ้งเริ่มจัดเรียงข้อมูล
“พี่ชาย ข้าขอฝากงานไว้หน่อยได้หรือไม่?” เสียงอันอิดโรยได้ดังขึ้น
“อะไรนะ?” เสียงนั้นเบาจนเฉินต้าเจิ้งไม่สามารถได้ยินอย่างชัดเจน
“เอ่อ… ขออภัย ข้าต้องการฝากงาน” คราวนี้เสียงดังกว่าเดิม แต่ก็แทบไม่ต่างจากเสียงยุง
เฉินต้าเจิ้งหันไปมองและเห็นว่าเป็นสตรีผู้หนึ่งยืนอยู่ตรงหน้า ผมของนางเป็นสีดำ ดวงตาคู่หนึ่งที่เหมือนอัญมณี ใบหน้าขาวปนแดงเพราะความเขินอายพร้อมท่าทีอ่อนแรง
“โอ้ได้สิ งานอะไรที่เจ้าอยากจะฝากงั้นหรือ?” เฉินต้าเจิ้งไม่ค่อยได้เห็นศิษย์บอบบางเช่นนี้ ดังนั้นเขาจึงอดไม่ได้ที่จะมอง
สตรีผู้นั้นก้มหัวอย่างเขินอายก่อนจะกล่าว “ดาบของข้าพัง ข้าอยากจะซ่อมมัน“
จากนั้นนางได้นำดาบออกมา
เฉินต้าเจิ้งมองดูชั่วครู่ก่อนจะกล่าว “เช่นนั้นเจ้าก็ฝากไว้ที่นี่ก่อน ข้าจะส่งไปให้เจ้าหลังจากซ่อมเสร็จ แต่ข้าต้องการค่าจ้างสำหรับงานด้วย“
“อ๊ะ?” ดูเหมือนสตรีผู้นั้นไม่คาดคิดว่าจะต้องจ่าย นางกระซิบเบา ๆ “ลืมมันเถอะ”
นางค่อย ๆ หยิบดาบออกและหันหลังเดินจากไป
“นี่ รอเดี๋ยว!” เฉินต้าเจิ้งถอนหายใจ เขารีบเขียนคำลงในกระดาษใบหนึ่งก่อนจะยื่นให้นาง
“หากเจ้าอยากจะซ่อมดาบ เช่นนั้นก็ไปหาชายผู้นี้ ข้าเกรงว่ามีแค่เขาที่จะซ่อมให้เจ้าได้”
สตรีผู้นั้นมองกระดาษอย่างงุนงง เมื่อเห็นว่าเป็นที่อยู่ของศิษย์ชั้นนอก นางจึงรีบกล่าวขอบคุณและโค้งศีรษะให้ก่อนจะจากไป
ยามบ่ายของวันปกติ
หลินเซวียนไม่ได้ประลองกับใครวันนี้ เขาต้องการใช้เวลาทั้งวันในการตรวจทานพลังของตน ในวิชาดาบอัสนีนั้น ขั้นที่หนึ่งมันได้บรรลุไปถึงระดับที่ดีแล้ว ส่วนขั้นที่สองเองก็อยู่ในขั้นที่พอใช้ได้ ไม่นานนี้มันจะพัฒนาขึ้นไปอีก
ส่วนวิชาดาบภูผาเดียวดาย เขาใช้มันจนไปถึงยังระดับเชี่ยวชาญแล้ว ก้าวเท้าเงาเองก็อยู่ระดับเชี่ยวชาญ และกายหยกทองคำก็อยู่ระดับเชี่ยวชาญ ตอนนี้เขาสามารถล้มผู้ใช้พลังวิญญาณที่อยู่ระดับห้าได้อย่างง่ายดาย
‘ยอดเยี่ยมมาก เราเกือบจะเชี่ยวชาญวิชาเหล่านี้ทั้งหมดแล้ว ขั้นต่อไปคือบรรลุขั้นเปิดชีพจรระดับหก’ ดวงตาหลินเซวียนเต็มไปด้วยความมั่นใจ
ก๊อก ก๊อก!
ทันใดนั้นเสียงเคาะประตูได้ดังขึ้นทำลายความสงบในกระท่อมของเขา