ตอนที่ 53 สบตา
“อะไร เจ็บแค่นี้ก็ทนไม่ได้แล้วหรือ?” เจียงอู่หลงกล่าวอย่างขบขัน “ไอ้หนู ไปสวดมนต์ขออย่าให้มาเจอกับข้าจะดีกว่า มิเช่นนั้นคนต่อไปที่จะต้องเจ็บตัวคือเจ้า“
“พวกเราได้เจอกันแน่ และข้าจะเป็นคนสั่งสอนเจ้าให้เอง!” เมื่อกล่าวจบ หลินเซวียนช่วยพยุงหยินฉิงอี้กลับไปพัก
“เขากล้าท้าเจียงอู่หลงงั้นหรือ? ช่างกล้าหาญนัก!”
“เจ้าตกข่าวมาหรือไง? หลินเซวียนคนนี้ได้ท้าเจียงอู่หลงไปเมื่อครึ่งเดือนก่อนแล้ว มันดูเหมือนเวลานี้ใกล้จะมาถึงเต็มที!”
ผู้คนเริ่มพูดคุยกันเกี่ยวกับสิ่งนี้อีกครั้ง…
เมื่อกลับไปอยู่หลังลานประลอง หลินเซวียนตรวจดูบาดแผลของหยินฉิงอี้ โชคดีที่อาคมดาบของนางสามารถดูดซับพลังของเจียงอู่หลงได้มาก นางแค่ตกใจและไม่ได้บาดเจ็บมากนัก
เวลานี้ การประลองยังคงดำเนินต่อไปจนเข้าสู่รอบรองชนะเลิศ
การท้าทายของหลินเซวียนนั้นประสบความสำเร็จไม่น้อย มันทำให้พวกเขามองหลินเซวียนเป็นม้ามืดของการประลอง ศิษย์หลายคนเริ่มจดจำภาพลักษณ์ของชายหนุ่มร่างเพรียวพร้อมดาบสีแดงเข้มด้านหลัง การเคลื่อนไหวที่ทรงพลัง และวิชาดาบภูผาเดียวดายนั้นยากที่จะลืมเลือน
ในการประลองแรกของรอบรองชนะเลิศ “หลิวหยุนพบกับหลิวหมิง!”
หลิวหยุนที่เงียบขรึมยังคงปิดตาสนิทและเอาชนะคู่ต่อสู้ได้เพียงกระบวนท่าเดียว ความแข็งแกร่งอันไร้สุ่มเสียงนี้ทำให้ทุกคนประหลาดใจ นับตั้งแต่แรก ยังไม่มีใครทำให้ชายหนุ่มผู้นี้สนใจได้แม้แต่น้อย
การประลองที่สองนั้นเป็นของสองอัจฉริยะ
“ต้วนเฟ่ยพบกับเฉินเซี่ยเอ๋อ!”
ทั้งสองเป็นหนึ่งในสี่ยอดคนของสำนักชั้นนอก และทั้งสองยังเป็นคนที่ผู้คนรักใคร่ด้วยรูปลักษณ์อันโดดเด่น กล่าวได้ว่าพวกเขาชื่อเสียงและความแข็งแกร่งเท่ากัน
โชคร้ายที่มีเพียงคนเดียวจะต้องเดินลงเวที
อาภรณ์หยกของเฉินเซี่ยเอ๋อที่พริ้วไสวขณะเดิน มันทำให้นางดูเหมือนเทพธิดาที่ลงมาจากสวรรค์ มือข้างหนึ่งที่กำลังขยับราวกับดอกไม้หยก ความงดงามของฝ่ามือนั้นได้สะกดสายตาผู้ชมรอบด้าน
“ฝ่ามือบุปผาร่วงโรย!”
มันคือวรยุทธ์ขั้นสีเหลืองระดับสูง หากฝึกฝนจนถึงระดับสูง เช่นนั้นจะสามารถตัดได้แม้แต่ทองหรือหยก อีกทั้งไฟและน้ำยังไม่สามารถทำอันตรายมันได้ แต่มันค่อนข้างยากที่จะบรรลุจนถึงระดับนั้น มันคือหนึ่งในวรยุทธ์ที่ฝึกได้ยากที่สุดในสำนักชั้นนอก
แต่เฉินเซี่ยเอ๋อไม่เพียงแต่จะฝึกมัน นางยังฝึกจนมันเต็มไปด้วยพลังแฝงเร้นราวกับผลึกกลีบดอกไม้ที่ลอยอยู่ และต้วนเฟ่ยเองก็ทราบว่าบุปผาอันงดงามตรงหน้านี้คือเครื่องมือสังหารที่อันตราย
ฝ่ามือมากมายกำลังรวมตัวกันกลางอากาศกลายเป็นฝ่ามือหยกขนาดใหญ่เข้าปกคลุมท้องฟ้า
“นั่นมันเงาฝ่ามือ!” ศิษย์หลายคนอุทานขึ้นดัง
วิชาดาบนั้นมีพลังดาบแฝงเร้น และฝ่ามือเองก็มีพลังฝ่ามือแฝงเร้นเช่นกัน หากวรยุทธ์ทุกอย่างถูกขัดเกลาจนถึงระดับสมบูรณ์ มันย่อมแสดงรูปลักษณ์ได้ทุกวิชา และวิชาใดก็ตามที่มีรูปร่างนั้นจะยิ่งทรงพลังมากขึ้น
“นี่คือพลังของหนึ่งในสี่ยอดคน มันน่าสะพรึงอย่างแท้จริง!”
ศิษย์บนอัฒจันทร์อุทานกันอย่างไม่ขาดสาย แม้แต่บรรดาผู้อาวุโสยังจับตามอง
ต้วนเฟ่ยเผยใบหน้าเคร่งขรึมขณะเดินไปยังจุดหนึ่งในลานประลอง ร่างกายของเขานั้นยอดเยี่ยมมาก มันแทบไม่มีบาดแผลจากเงาฝ่ามือแม้แต่น้อย
ฟุบ!
อาภรณ์ขาวปลิวไสวไปตามสายลมและทิ้งภาพไว้ในความว่างเปล่า
‘มันคือการก้าวเท้าระดับสูง! หากเทียบกับของหลัวอี้นั้น ของหลัวอี้เป็นแค่เด็กไปเลย’ หลินเซวียนมองไปยังต้วนเฟ่ย เขาพยายามดูรูปร่างและการก้าวเท้าของชายผู้นี้
ในที่สุดเขาก็ต้องประหลาดใจเมื่อพบว่าการก้าวเท้าของต้วนเฟ่ยนั้นเหนือกว่าระดับสมบูรณ์ไปแล้ว มันไปจนถึงระดับที่ลึกลับหรือสูงกว่านั้น
ต้วนเฟ่ยจับจ้องไปยังฝ่ามือตรงหน้าอย่างจริงจัง เวลานี้หัวใจของเขาตระหนักได้ว่ามีบางสิ่งที่เหนือกว่าการก้าวเท้าของตน
ทันใดนั้นเหตุการณ์ในลานประลองได้เปลี่ยนไปทันที
ฝ่ามือหยกที่ปกคลุมท้องฟ้าได้พุ่งลงมายังลานประลอง
ตู้ม!
พื้นแผ่นดินสั่นสะเทือน ด้วยแรงกระแทกและเสียงอันดังก้อง มันทำให้ศิษย์ที่นั่งดูแถวหน้าตัวสั่นหน้าซีดไปตาม ๆ กัน
เศษก้อนหินแตกปลิวว่อนไปทั่ว บนลานประลองมีเพียงแค่รอยฝ่ามือทิ้งไว้ และต้วนเฟ่ยก็ไม่ได้อยู่ในนั้นแล้ว
“บนฟ้า!” ศิษย์คนหนึ่งตะโกนขึ้น
บนท้องฟ้า ต้วนเฟ่ยกำลังเหยียบอากาศขึ้นไปทีละขั้น
“สวรรค์! การก้าวเท้าอะไรกันนี้!? มันทำให้เขาลอยอยู่กลางอากาศได้!” ศิษย์หลายคนยืนขึ้นอย่างตื่นเต้น
แม้แต่หลิวหยุนที่นั่งปิดตามาตลอดยังลืมตามอง ดวงตาสีม่วงของเขาจ้องมองร่างสีขาวกลางอากาศจนเกิดประกายแสงขึ้นในดวงตาคู่นั้น
บนอัฒจันทร์สีทอง บรรดาผู้อาวุโสต่างพากันชื่นชมกันอย่างออกหน้าออกตา
“ไม่คาดคิดเลยว่ายังมีคนหนุ่มที่มีพรสวรรค์นอกจากหลิวหยุนอีก ข้าเกรงว่าคงไม่มีใครล้มเขาได้ด้วยความสามารถขนาดนี้แน่” ผู้อาวุโสหลียิ้ม
“ใช่ เมล็ดพันธุ์ชั้นดีได้ปรากฏตัวขึ้นถึงสองเมล็ด ดูเหมือนสำนักซวนเทียนของพวกเราจะยิ่งใหญ่ไม่น้อย!” ผู้อาวุโสคนอื่นต่างพากันหัวเราะ
เหนือท้องฟ้า ต้วนเฟ่ยเหยียบอากาศขึ้นไปเจ็ดก้าวก่อนจะชักดาบออกมา ดาบนั้นได้เปล่งแสงไปทั่วท้องฟ้าสาดส่องไปทั่ว
วิชาดาบขนนกสีขาว!
บนท้องฟ้าเหนือลานประลอง ตัวดาบได้กลายเป็นขนนกสีขาวส่งเสียงหวีดหวิวบาดหูผู้ฟัง
มันแหลมคมจนสามารถบาดแก้วหูของผู้คนได้
“ฮึ่ม!”
เฉินเซี่ยเอ๋ออุทานออกมาเล็กน้อยก่อนจะเคลื่อนฝ่ามือหยกขึ้นไปบนท้องฟ้า เสียงระเบิดได้ดังก้องทันทีที่ขนนกสีขาวและฟ้ามือหยกปะทะกัน
หลังจากนั้น ทั้งคู่ได้แลกเปลี่ยนกระบวนท่ากันนับร้อยครั้ง การเคลื่อนไหวอันยอดเยี่ยมของพวกเขานั้นน่าทึ่งอย่างไม่มีที่สิ้นสุด
บนเวทีได้เต็มไปด้วยหลุมใหญ่และเล็กมากมาย
ท้ายที่สุด ต้วนเฟ่ยก็กลายเป็นผู้ชนะไปด้วยวิชาเปลี่ยนกายเงาภูต
เมื่อทั้งสองคนก้าวลงเวที เสียงปรบมือและเสียงโห่ร้องนับไม่ถ้วนได้ดังขึ้นบนอัฒจันทร์ พวกเขาราวกับคนบ้าที่ส่งเสียงเฮอย่างคลุ้มคลั่ง
นี่คือการประลองที่ตื่นเต้นที่สุดตั้งเริ่มการทดสอบมา ไม่มีการเข่นฆ่า ไม่มีการผิดกฎ ทั้งสองคนนับว่าเป็นยอดฝีมือที่ประลองกันอย่างยุติธรรม
เสียงโห่ร้องเพลิดเพลินดังอยู่นานก่อนจะหยุดลง จากนั้นผู้ตัดสินได้เริ่มประกาศต่อ
“เจียงอู่หลงพบกับหวังเหมิง!”
การประลองทั้งหมดกล่าวได้ว่าเป็นของเจียงอู่หลงเพียงคนเดียว เขาแยกดาบเป็นสามเล่ม แต่ละเล่มจะมีเปลวเพลิงแห่งมังกรอยู่ อุณภูมิที่ร้อนแรงนั้นทำให้ผู้คนมากมายถึงกับตื่นกลัว
“นี่คือคุณสมบัติแห่งไฟ!” ผู้อาวุโสเอ่ยขึ้น “เขาสามารถกลั่นคุณสมบัติของพลังวิญญาณได้!”
ไม่น่าแปลกที่ผู้อาวุโสจะประหลาดใจ เพราะสำหรับศิษย์ชั้นนอกนั้น มันไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะกลั่นพลังวิญญาณเป็นคุณสมบัติได้ มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่จะบรรลุมัน แม้แต่หลิวหยุนและคนอื่น ๆ ยังไม่ได้แสดงมันออกมา แน่นอนว่าพวกเขาอาจจะซ่อนพลังนี้ไว้อยู่
อย่างไรก็ตาม การกลั่นคุณสมบัติพลังวิญญาณได้ตั้งแต่อยู่สำนักชั้นนอก สิ่งนี้ยืนยันได้อย่างแน่ชัดว่าเจียงอู่หลงเองก็มีพรสวรรค์
เวลานี้ใบหน้าของเจียงอู่หลงเผยออกมาอย่างดุร้าย ผมสีดำของเขาปลิวไสวและยังมีประกายสีแดงเพลิงปรากฏอยู่ด้วย มันราวกับว่าเขาคือเทพอัคคีของโลกใบนี้
ดาบทั้งสามเล่มกระแทกคู่ต่อสู้อันดับเจ็ดออกไปอย่างรวดเร็ว
“หลิวหยุน อันดับหนึ่งจะต้องเป็นของข้า!” ทันใดนั้น เจียงอู่หลงชี้ดาบที่เต็มไปด้วยไฟไปทางหลิวหยุนพร้อมประกาศอย่างมั่นใจ
ฟูม!
หลิวหยุนค่อย ๆ ลืมตาขึ้นราวกับสัตว์ร้ายที่หลับใหลกำลังจะตื่น ดวงตาอันเย็นเยือกของเขามองลงไปยังลานประลอง
เจียงอู่หลงหาได้กลัวไม่ ดวงตาของเขาเองก็เต็มไปด้วยมังกรเพลิงขณะมองกลับไปยังดวงตาสีม่วงคู่นั้น
ตู้ม!
สายตาทั้งคู่ปะทะกันกลางอากาศ แรงกดดันอันน่าสะพรึงแตกกระจายไปรอบด้าน
“ถึงกับกล้าท้าหลิวหยุน เขาคิดจะเป็นยอดฝีมืออันดับหนึ่งแห่งสำนักชั้นนอกงั้นหรือ?”
“พวกเขาต่างมีคุณสมบัติทางวิญญาณ เจียงอู่หลงเองก็มีคุณสมบัติเพียงพอที่จะท้าประลอง ข้าชักอยากจะเห็นการต่อสู้นี้เร็ว ๆ แล้ว!”