ตอนที่ 55 หลิวหยุน
ฮัวหยางปิงลอยออกไปราวกับว่าวที่เสียการควบคุม ร่างของเขาพ่นเลือดออกมาทางปากก่อนจะกระแทกกับพื้นอย่างแรง
ฉากนี้ทำให้ผู้คนเงียบไปชั่วครู่ หลินเซวียนสามารถเอาชนะได้เพียงแค่สามกระบวนท่าจริง ๆ สิ่งนี้ทำให้พวกเขาคิดว่ากำลังฝันอยู่ กล่าวได้ว่า หลินเซวียนเป็นคนแรกนอกจากสี่ยอดคนที่สามารถล้มเขาได้
“หลินเซวียนผู้นั้นมีความแข็งแกร่งทัดเทียมกับสี่ยอดคนแล้วหรือ?” นี่คือคำถามที่อยู่ในหัวพวกเขา
“ฮัวหยางปิงประมาทเกินไป มิเช่นนั้นการต่อสู้คงไม่จบเร็วเช่นนี้หรอก” ต้วนเฟ่ยกล่าวเบา ๆ
ใบหน้าเจียงอู่หลงมืดดำจนน่าสะพรึง เขาหัวเราะใส่หลินเซวียน แต่ผลของการประลองกลับพลิกผัน มันราวกับตบหน้าเขาอย่างจัง เมื่อนึกถึงประโยค ‘งี่เง่า’ ของหลิวหยุนเมื่อครู่ มันยิ่งทำให้เจียงอู่หลงแทบอยากจะฆ่าคน
แน่นอนว่าเขาทราบที่ฮัวหยางปิงประมาท แต่เขาจะทำอะไรได้?
“ไม่คาดคิดเลยว่าไอ้สวะคนนั้นจะเข้ามาถึงยังรอบสี่คนสุดท้าย แต่หนทางของมันก็ต้องสิ้นสุดเท่านี้ ไม่ว่ามันจะพบใคร มันก็ต้องพ่ายแพ้อย่างน่าสังเวช!” เจียงอู่หลงกล่าวด้วยน้ำเสียงที่เกลียดชัง “ข้าหวังว่าจะได้พบกับมันจริง ๆ …”
หลินเซวียนชนะไปได้อย่างเหนือความคาดหมายและเข้าไปยังรอบสี่คนสุดท้าย
ในรอบสี่คนสุดท้าย ยกเว้นหลินเซวียน พวกเขาเป็นอัจฉริยะที่มีทักษะอย่างแพรวพราวและเป็นที่รู้จักกันมานาน ต้วนเฟ่ยผู้ที่เชี่ยวชาญในวิชาตัวเบาและการก้าวเท้า เจียงอู่หลงผู้ที่สามารถรวบพลังวิญญาณได้อย่างฉมัง และหลิวหยุนผู้ลึกลับ ใครกันที่จะได้อันดับหนึ่ง?
หลังจากพักผ่อนกันไปครึ่งชั่วยาม ผู้ตัดสินได้ประกาศผู้ประลองรอบต่อไป
“หลิวหยุนพบกับต้วนเฟ่ย!”
ทันใดนั้นพวกเขาต่างพากันเดือดพล่านกันโดยทันที ไม่มีใครคาดคิดว่าชายที่แข็งแกร่งทั้งสองคนจะมาพบกันในการประลองแรก หลิวหยุนนั้นคืออันดับหนึ่งของเทียบอันดับชั้นนอก และต้วนเฟ่ยคืออันดับสอง และตามมาด้วยเจียงอู่หลง
หากพวกเขาทั้งสองประลองกันแล้ว เช่นนั้นรอบสุดท้ายคงไม่มีใครอีกนอกจากเจียงอู่หลง เพราะพวกเขาได้เมินหลินเซวียนกันโดยธรรมชาติ พวกเขาทราบกันแล้วถึงความสามารถของหลินเซวียน ดังนั้นเมื่อพบกับหนึ่งในสามคนนี้ พวกเขาย่อมคิดว่าหลินเซวียนต้องแพ้เป็นธรรมดา
เมื่อมองชายหนุ่มทั้งสองบนลานประลอง ปากของเจียงอู่หลงได้เผยรอยยิ้มอันเย็นเยือก ‘ในที่สุดเราก็ได้แก้ปัญหาเรื่องขยะด้วยตัวเองแล้วสินะ’
บนลานประลอง พวกเขาทั้งสองยืนห่างกันสิบก้าว หลิวหยุนสวมอาภรณ์สีดำและยืนอย่างสง่าขณะมองต้วนเฟ่ย ทันใดนั้นเขาเริ่มขยับนิ้วมือข้างซ้าย จากนั้นแหวนที่สวมอยู่ได้เปล่งประกายก่อนจะกลายเป็นหอกสีม่วง
และตามมาด้วยพลังวิญญาณของหลิวหยุนที่ปะทุออกมา มันรุนแรงจนสามารถฉีกท้องฟ้าข้างจนบนแยกออกจากกัน
สมาธิของต้วนเฟ่ยนับว่าดีเยี่ยมเมื่อต้องปะทะกับอันดับหนึ่ง เวลานี้เขาต้องแสดงพลังทั้งหมดที่มี หลังจากดาบในมือปรากฏขึ้น ร่างของต้วนเฟ่ยได้พุ่งออกไปเป็นประกายแสงอย่างรวดเร็ว
ความเร็วของเขาเหนือกว่าตอนประลองกับเฉินเซี่ยเอ๋อมาก ขณะพุ่งออกไป ภาพติดตาได้ปรากฏขึ้นด้านหลังมากมาย แสงสีเงินของดาบควบแน่นเป็นเส้นบาง ๆ จนแทบจะมองไม่เห็น
หลินเซวียนขมวดคิ้วเล็กน้อย เขาต้องดูการเคลื่อนไหวของต้วนเฟ่ยให้ดี ขณะเดียวกัน ใบหน้าของเจียงอู่หลงก็เปลี่ยนไป มันดูเหมือนความเร็วของต้วนเฟ่ยจะทำให้เขาประหลาดใจมาก
แต่หลิวหยุนกลับยืนสงบนิ่งดังเดิมพร้อมหอกสีม่วงในมือ ทันใดนั้นเขาขมวดคิ้วพร้อมถอยไปสามก้าว
ในจุดที่เขาเคยยืนอยู่ได้ปรากฏคมดาบเฉือนผ่านอากาศ เป็นผลให้พื้นลานประลองเต็มไปด้วยรูปจันทร์เสี้ยว
ฟิ้ว!
ร่างของต้วนเฟ่ยได้ปรากฏขึ้นตรงหน้าหลิวหยุนต่อ ปราณดาบของเขารุนแรงจนน่าสะพรึง
ดาบของเขาราวกับเขาของละมั่ง มันไร้ซึ่งร่องรอยและมีเสียงเพียงเล็กน้อยเท่านั้น สิ่งนี้ทำให้ผู้คนธรรมดาไม่สามารถป้องกันได้
เมื่อต้องเผชิญกับนักดาบที่น่าสะพรึงผู้นี้ ในที่สุดหลิวหยุนก็ได้แทงหอกออกไป
มันเป็นการแทงธรรมดา แต่กลับดูเหมือนการลงมือของจอมราชันผู้ยิ่งใหญ่ ทุกสิ่งระหว่างฟ้าดินราวกับจะหายไปในการโจมตีนี้
หอกสีม่วงดูเหมือนจะกลายเป็นมังกรขนาดมหึมา เสียงคำรามของมันทำให้ดาบของต้วนเฟ่ยถึงกับเสียการทรงตัว
กริ๊ก! กริ๊ก!
เสียงระเบิดปะทุขึ้นในอากาศ จากนั้นพลังวิญญาณมากมายได้พุ่งทะลุต้วนเฟ่ยไป
“อ๊ะ!” บนอัฒจันทร์ ศิษย์หลายคนต่างพากันอุทาน ‘มันจบแล้วหรือ?’
แต่ทันใดนั้ร่างของต้วนเฟ่ยที่ถูกแทงค่อย ๆ เลือนหายไป
“ภาพติดตา!” หลินเซวียนเอ่ยขึ้น “ใช้ความเร็วของตนรวมกับพลังวิญญาณเพื่อสร้างร่างเงา แล้วร่างจริงยังไม่เผยตัวด้วย ยอดเยี่ยมจริง ๆ ”
ดวงตาของหลินเซวียนเปล่งประกายขึ้นจนมีประกายสายฟ้า เขามองกวาดไปทั่วลานประลองและในที่สุดก็พบต้วนเฟ่ย
“ชายคนนี้รวดเร็วนัก!” หลินเซวียนอุทาน
หลิวหยุนเองก็พบว่าต้วนเฟ่ยอยู่ตรงไหนอย่างง่ายดายก่อนจะเริ่มขยับหอกในมืออีกครั้ง
ฟุบ! ฟุบ!
ทุกการแทงของหลิวหยุนจะโดนแค่ร่างเงาของต้วนเฟ่ย พวกเขาแลกเปลี่ยนกันรุกรับแบบนั้นอยู่นาน จนท้ายที่สุด บนลานประลองก็เต็มไปด้วยร่างเงาของต้วนเฟ่ยและหอกของหลิวหยุน
ศิษย์บนอัฒจันทร์ต่างชมกันอย่างประหม่า เพราะพวกเขากลัวว่าจะพลาดฉากตรงหน้า
บนอัฒจันทร์สีทอง บรรดาผู้อาวุโสต่างพากันหัวเราะยินดี “เด็กเหล่านี้ยอดเยี่ยมจริง ๆ พวกเขามีพรสวรรค์ที่หาผู้เปรียบได้ยาก!”
บนลานประลอง หลิวหยุนยืนถือหอกราวกับเทพปีศาจ ดวงตาของเขากวาดไปโดยรอบอย่างรวดเร็วก่อนจะแทงไปด้านหลัง
เคล้ง!
ร่างของต้วนเฟ่ยปรากฏขึ้นก่อนจะถอยอย่างอับอายเล็กน้อย ใบหน้าของเขาเผยถึงความประหลาดใจอย่างมาก
“การประลองนี้จบแล้ว!” หลิวหยุนกล่าวเสียงต่ำ
ทันใดนั้นร่างของพวกเขาได้ระเบิดพลังวิญญาณออกก่อนจะพุ่งเข้าหากัน เวลานี้พวกเขาราวกับเปลวไฟที่พุ่งไปมาบนลานประลองอย่างรวดเร็ว
ติ้ง ติ้ง ติ้ง!
ดาบของต้วนเฟ่ยเปลี่ยนเป็นขนนกสีขาวนับพันที่กระจายไปทั่วลานประลอง
แต่พลังวิญญาณสีม่วงอันแข็งแกร่งของหลิวหยุนได้ดูดกลืนขนนกทั้งหมดราวกับวังวน
“วังวนหอก!”
หลิวหยุนกล่าวเบา ๆ ขณะที่หอกในมือได้แสดงพลังวิญญาณสีม่วงราวกับน้ำวน ปลายหอกอันแหลมคมได้หมุนควงบีบอากาศรอบด้านอย่างต่อเนื่อง
อากาศรอบตัวต้วนเฟ่ยเริ่มผิดรูปร่างอย่างเห็นได้ชัด มันราวกับว่าเขากำลังอยู่ในบ่อทรายดูด ความเร็วอันภาคภูมิใจเองก็ตกลงไปเช่นกัน
“นี่คืออะไร?” เขาแปลกใจอย่างมากเมื่อสัมผัสได้ถึงสิ่งนี้
บนอัฒจันทร์ ทันทีที่พวกเขาเห็นการโจมตีของหลิวหยุน บรรดาศิษย์ต่างพากันตกตะลึง
“ทักษะนี่มัน…” หลินเซวียนขมวดคิ้วขณะชม
“มันน่าทึ่งมาก!” บนอัฒจันทร์สีทอง ผู้อาวุโสหลีได้อุทานออกมาอีกครั้ง “ด้วยระดับของพลังวิญญาณตอนนี้ มันไม่ง่ายที่จะสร้างวังวนวิญญาณออกมา เด็กหนุ่มคนนี้คืออัจฉริยะในรอบร้อยปีอย่างแท้จริง!”