ดาบพิโรธสวรรค์ – ตอนที่ 64

ตอนที่ 64 การทดสอบรอบที่สาม ออกเดินทาง!

 

ห้าวันผ่านไป วันพรุ่งนี้จะเป็นการทดสอบรอบที่สามของสำนักชั้นใน

 

หลังจากผ่านไปห้าวัน หลินเซวียนได้เชี่ยวชาญในวิชาก้าวอัสนีแล้ว ความเร็วของเขาสูงกว่าก้าวเท้าเงาก่อนหน้านี้ถึงครึ่ง ถึงแม้จะพบกับต้วนเฟ่ยตอนนี้ เขาก็มั่นใจว่าสามารถทัดเทียมความเร็วได้แล้ว

 

“สมแล้วที่เป็นวิชาขั้นสีดำระดับกลาง พลังของมันเห็นผลตั้งแต่เริ่ม!” หลินเซวียนตั้งหน้าตั้งตารอผลของการฝึกฝนตลอดทั้งคืน

 

วันต่อมา หลินเซวียนได้ไปยังลานประลองเพื่อเตรียมตัวสำหรับการทดสอบที่สาม นอกจากเขา ยังมีศิษย์คนอื่นอีกหนึ่งร้อยสามคนที่ผ่านสองรอบแรกมาด้วย

 

หลายคนหลินเซวียนรู้จัก เวลานี้เขากำลังยืนอยู่ใกล้ ๆ ถังอวี้ หยินฉิงอี้ หลัวอี้และคนอื่น ๆ

 

พวกเขาสนทนากันไม่นาน จากนั้นท้องฟ้าด้านบนก็เริ่มมืดดำขึ้นไปทั่วลานประลอง

 

ตั้งแต่ที่ดวงตาด้านขวาของหลินเซวียนผสานพลังกับดอกบัวสีดำ มันก็ทำให้เขามีการมองเห็นที่ดีขึ้นกว่าเดิมหลายเท่า

 

เขามองขึ้นไปบนท้องฟ้าขณะที่เงาดำกำลังเคลื่อนที่มา มันมีเรือเหาะขนาดใหญ่อยู่

 

ตู้ม!

 

ความเร็วของเรือเหาะทั้งสามลำนั้นรวดเร็วอย่างมาก หนึ่งในเรือเหาะได้ร่อนลงบนลานประลองก่อนจะทำให้ศิษย์ทุกคนถอยหลัง

 

ประตูบนเรือเหาะได้เปิดออกพร้อมชายวัยกลางคนชุดสีม่วงกำลังเดินออกมา ชายคนแรกคือชายหน้าเหลี่ยมที่เป็นผู้ตัดสินก่อนหน้านี้ เขายืนอยู่ตรงหัวเรือและมองศิษย์ทั้งหนึ่งร้อยสามคนพร้อมกล่าว “ขึ้นมาบนเรือให้เป็นระเบียบ ข้าจะพาพวกเจ้าไปยังการทดสอบที่สาม!”

 

พวกเขามองอย่างสงสัยว่าจะไปที่ใด แต่พวกเขาก็ไม่รอช้าที่จะกระโดดขึ้นไปทีละคน

 

เรือเหาะนั้นใหญ่อย่างมาก มันจุคนทั้งหนึ่งร้อยสามคนได้อย่างง่ายดาย หลินเซวียนยืนบนเรือเหาะขณะมองไปรอบด้าน เขาพบว่า ถึงแม้เรือเหาะนี้จะทำมาจากไม้ มันก็แข็งทนทานพอจะต้านพลังต่าง ๆ ได้

 

“ลอยได้!” คำสั่งของชายวัยกลางคนผู้นั้นดังขึ้น จากนั้นเรือเหาะขนาดยักษ์ได้สั่นอยู่ไม่กี่ครั้งก่อนจะค่อย ๆ ลอยขึ้นฟ้า และตามมาด้วยอีกสองลำด้านหลัง

 

เมื่อเรือเหาะลอยขึ้น ชายวัยกลางคนหน้าก็ไม่เอ่ยสิ่งใดอีกพร้อมเดินกลับไปยังห้องด้านใน

 

ผู้คนนับร้อยสบตากันไปมาอย่างไม่ค่อยสบายใจ เวลานี้ความเร็วของเรือเหาะเริ่มเร็วขึ้นเรื่อย ๆ ลมที่พัดมาก็ยิ่งแรงขึ้นเช่นกัน มันแรงจนร่างกายรู้สึกเจ็บปวดขึ้นมา

 

นอกจากศิษย์ที่ฝึกฝนพลังกายมาอย่างดี ศิษย์คนอื่น ๆ ถึงกับต้องโคจรพลังวิญญาณเพื่อต้านแรงลมและความหนาวเย็น

 

หลินเซวียนที่ฝึกวิชากายหยกทองคำมาสามารถทนได้อย่างง่ายดาย แต่ถังอวี้และหยินฉิงอี้ด้านข้างต้องใช้พลังวิญญาณช่วย

 

ขณะต้านกับแรงลม พวกเขาไม่สามารถสนทนากันได้อีก คนมากมายต้องนั่งลงเพื่อโคจรพลัง หลินเซวียนไม่มีอะไรทำนอกจากมองรอบด้านอย่างฉงนใจ ท้ายที่สุดเขาก็หันไปมองเรือเหาะอีกสองลำด้านข้าง

 

มันอยู่ไม่ไกลจากเรือเหาะของเขามากนัก ดังนั้นจึงเห็นข้างในได้อย่างชัดเจน เขาพบว่ามีคนหนุ่มอยู่บนเรือลำนั้นเช่นกัน แต่พวกเขาดูอายุมากกว่าพวกของหลินเซวียน พวกเขาแต่ละคนใช้พลังวิญญาณปกป้องร่างกายขณะนั่งเช็ดถูอาวุธ

 

‘ดูเหมือนพวกเขาน่าจะเป็นศิษย์สำนักซวนเทียน พวกเขาเป็นศิษย์ชั้นในหรือเปล่านะ?’ หลินเซวียนตั้งคำถามในใจ แต่ก็ไม่ทราบว่าทำไมคนพวกนี้ต้องไปด้วย

 

มันใช้เวลาประมาณสองชั่วยามกว่าเรือเหาะจะเริ่มช้าลง ศิษย์หลายคนยืนขึ้น เพราะมันเหมือนจะถึงจุดหมายปลายทางแล้ว

 

ในช่วงเวลาที่เรือเหาะเริ่มขับช้าลง มันทำให้พวกหลินเซวียนสามารถเห็นฉากรอบด้านได้

 

แต่ฉากดังกล่าวกลับทำให้พวกเขาตกใจ

 

ด้านล่างคือเมืองที่ได้ถูกทำลาย กำแพงเมืองครึ่งหนึ่งแตกหัก อาคารบ้านเรือนในเมืองถูกถล่มจนหมดสิ้น มันมีเพียงเศษขยะและโครงกระดูกอยู่ทุกหนแห่ง

 

“นี่…” ศิษย์หลายคนชะงักเมื่อเห็น

 

หลังจากผ่านไปชั่วครู่ เสียงของใครบางคนได้ดังขึ้น “นี่คือเมืองที่ถูกทำลายโดยสัตว์อสูร! พวกเราอยู่ในสงคราม!”

 

“อะไรนะ?” ผู้คนบนเรือเหาะต่างพากันตกตะลึง

 

เขตต้าเซียนั้นไม่ค่อยสงบสุข โดยเฉพาะพื้นที่ที่อยู่ติดกับป่าใหญ่ มันมักจะมีสงครามเกิดขึ้นเสมอ ดูเหมือนหลินเซวียนและคนอื่น ๆ กำลังจะเข้าสู่สงคราม

 

“พวกเรายังอ่อนแอเกินไป แล้วจะเอาชนะสัตว์อสูรพวกนั้นได้ยังไง? พวกเราจะไม่ตายเปล่าหรือ?” ใครบางคนเอ่ยขึ้นอย่างไม่พอใจ

 

“ใช่ ข้ายังไม่อยากจะถูกสัตว์พวกนั้นกิน!” ศิษย์หลายคนเริ่มตื่นตระหนก

 

“หุบปาก เจ้าพวกขยะ!” ในกลุ่มคน เจียงอู่หลงได้เอ่ยขึ้นอย่างเย็นเยือก

 

“ข้าไม่คิดว่าสำนักจะส่งพวกเราไปเป็นกองหน้าหรอก อย่าเพิ่งลนลานไป!” ต้วนเฟ่ยกล่าวเสียงต่ำ

 

หลินเซวียนมองลงไปยังฉากที่น่าหดหู่ข้างล่างพร้อมท่าทีสลด ‘โลกนี้ช่างโหดร้าย ผู้อ่อนแอมักจะถูกผู้ที่แข็งแกร่งกว่ากินเสมอ…’

 

ทันใดนั้นคิ้วของเขาได้ขมวดแน่นก่อนจะหันไปมองบนท้องฟ้าที่อยู่เหนือขึ้นไป

 

เสียงร้องแหลมบาดแก้วหูดังขึ้น มันทำให้พวกเขาเกือบหมดสติ ศิษย์ทั้งหมดต้องโคจรพลังวิญญาณต้าน ขณะเดียวกัน เกราะพลังงานสีฟ้าได้ปรากฏขึ้นรอบเรือเหาะ

 

“บัดซบ เสียงอะไรกัน?” ทุกคนตกตะลึงกับสิ่งนี้

 

ฟูม!

 

เงาทมิฬขนาดมหึมารูปร่างคล้ายนกพุ่งมาทางเรือเหาะอย่างรวดเร็ว

 

“สวรรค์! นั่นอินทรีกรงเล็บเหล็ก! สิ่งนี้มันเกินความสามารถพวกเราไปแล้ว!” เสียงใครบางคนดังขึ้น

 

ตู้ม!

 

กรงเล็บเหล็กสีเงินคู่นั้นกระทบกับเกราะพลังงานสีฟ้าจนทำให้เกิดการสั่นสะเทือน แต่มันก็ไม่สามารถเจาะเข้ามาได้

 

ขณะเดียวกัน ประตูห้องของผู้อาวุโสก็ได้เปิดขึ้น ชายวัยกลางคนชุดม่วงได้วิ่งออกมา ด้านหลังเขามีชายหนุ่มสองคนอายุราวยี่สิบปี

 

“สัตว์อสูร!” ขณะมองกรงเล็บเหล็กอันแหลมคน ชายวัยกลางคนได้อุทานออกมาอย่างเย็นเยือก

 

จากนั้นเขาได้ชักดาบออกมาแทงที่หน้าอกของอินทรีตัวนั้นจนเกิดบาดแผลขึ้น

 

เลือดของมันสาดกระจายไปตามแรงลมพร้อมขนนกสีเทาปลิวว่อน

 

“ดาบอะไรช่างร้ายกาจนัก!” หลินเซวียนมองชายวัยกลางคนอย่างเกรงกลัว เพราะเมื่อครู่ ดาบดังกล่าวเกือบจะสังหารนกตัวนั้นได้แล้ว

 

ขณะใช้ดาบฟาดฟันกับอินทรีกรงเล็บเหล็ก ชายวัยกลางคนได้เอ่ยขึ้น “ข้าเป็นคนดูแลเกี่ยวกับการทดสอบครั้งนี้ พวกเจ้าสามารถเรียกข้าว่าผู้อาวุโสกู่ เนื้อหาในการประเมินของบททดสอบที่สามก็คือการต่อสู้ การต่อสู้ของจริง!”

 

“ข้าจะส่งพวกเจ้าไปยังสนามรบขนาดเล็ก มันไม่มีสัตว์อสูรทรงพลัง พวกมันจะเป็นแค่สัตว์ร้ายที่พลังทัดเทียมกับพวกเจ้า ภารกิจของการทดสอบครั้งนี้คือสังหารสัตว์ร้ายเหล่านั้น!”

 

“หลังจากที่สังหารสัตว์ร้ายเหล่านั้นได้แล้ว ให้พวกเจ้าตัดหูซ้ายของมันเพื่อเป็นหลักฐาน และสุดท้ายจะจัดอันดับตามจำนวนการสังหาร”

 

“แน่นอนว่า การทดสอบนี้มันมีความอันตรายอยู่พอสมควร พวกเจ้าอาจจะบาดเจ็บหรือล้มตายได้ ตอนนี้ข้าจะให้โอกาสถอนตัว และการทดสอบจะเริ่มหลังจากข้านับถึงสิบ!”

ดาบพิโรธสวรรค์

ดาบพิโรธสวรรค์

ดาบพิโรธสวรรค์
Score 7.9
Status: Ongoing Released: N/A
อ่านนิยายเรื่อง ดาบพิโรธสวรรค์หลินเซวียนถูกผนึกจุดชีพจรจากพลังลึกลับ ทำให้เขาไม่สามารถเปิดพลังวิญญาณเข้าสู่การบ่มเพาะพลังได้ ชีวิตที่ต้องทนลำบากจากการถูกดูหมิ่น เย้ยหยัน เหยียดหยาม ด้วยความมุ่งมั่นพยายาม มันทำให้ชีวิตของเขาได้พบจุดเปลี่ยน! … หนึ่งดาบทะลวงดารา! หนึ่งดาบสะเทือนฟ้าดิน! หนึ่งดาบพิโรธสวรรค์!

Comment

Options

not work with dark mode
Reset