ตอนที่ 69 มู่หรงเฉียนหลิง
หอแห่งการบ่มเพาะพลังนั้นเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ของสำนักชั้นใน มันมีรูปแบบเวทมนต์มากมายที่บรรดาศิษย์ชั้นไม่รู้จัก เมื่อหลินเซวียนได้เข้ามายังสำนักชั้นใน เขาเองก็ไม่ทราบว่าการได้เวลาสามชั่วยามในหอคอยนี้มีค่าขนาดไหน หากศิษย์ชั้นในทราบเรื่องนี้ พวกเขาจะต้องอิจฉาจนตายแน่นอน
เช้าวันต่อมา หลินเซวียนได้ตื่นขึ้น
ขณะเดียวกัน ได้มีสตรีสะพายดาบยาวด้านหลังกำลังยืนยิ้มอยู่หน้าประตูบ้านเขา นางมองหลินเซวียนอย่างสงสัยและงุนงง “เจ้าคือศิษย์ที่ได้อันดับหนึ่ง หลินเซวียนสินะ?”
“ไม่เห็นมีอะไรพิเศษเลย?” สตรีผู้นั้นมองดูเขาอย่างระมัดระวัง
“ข้าเอง ศิษย์พี่หญิงท่านนี้มีอะไรให้ข้ารับใช้งั้นหรือ?” หลินเซวียนสงสัยอย่างมาก
“แน่นอนว่ามาพาเจ้าไปพบอาจารย์ของพวกเราไง” สตรีผู้นั้นเอ่ยขึ้น
“อาจารย์?” หลินเซวียนรู้สึกงงงวย
“เจ้าไม่ทราบได้ยังไง?” สตรีผู้นั้นประหลาดใจ “ศิษย์ชั้นในหน้าใหม่ทุกคนจะมีผู้มาชี้แนะ พวกเขาจะรับผิดชอบทุกอย่างที่พวกเราทำในสำนัก รวมไปถึงการบ่มเพาะพลัง และการประเมิน”
“เป็นเช่นนี้เอง ดูเหมือนว่าการดูแลศิษย์ชั้นในนั้นจะดีจริง ๆ พวกเขามีกระทั่งคนชี้แนะด้วย ไม่สงสัยเลยว่าทำไมผู้คนถึงอยากเป็นศิษย์ชั้นกันจนเลือดตาแทบกระเด็น!” หลินเซวียนพอจะเข้าใจความต่างระหว่างศิษย์ชั้นในและศิษย์ชั้นนอก
“แต่การจัดอันดับการเรียนการสอนนั้นแตกต่างกันออกไป เจ้าโชคดีมากที่ได้อาจารย์มู่หรงมาชี้แนะ!” ใบหน้าสตรีผู้นั้นเต็มไปด้วยความภาคภูมิใจ
“มาเถอะ ไปรายงานตัวกัน!” สตรีผู้นั้นขยับมือ
หลินเซวียนตามนางไปยังสวนแห่งหนึ่ง
“ข้าชื่อว่าเย่ฉิง เจ้าจะเรียกข้าว่าพี่หญิงเย่ก็ได้” เย่ฉิงกล่าวขณะนำทาง
“พี่หญิงเย่ ข้าไม่ทราบว่าอาจารย์มู่หรงนั้นเป็นคนยังไงและมีศิษย์กี่คนหรือ?” หลินเซวียนอยากจะทราบ
“อาจารย์มู่หรงเฉียนหลิงเป็นอาจารย์ที่เก่งกาจ และยังเป็นหนึ่งในสิบอันดับศิษย์สายตรงเมื่อปีกลาย นางเป็นคนที่แข็งแกร่งและไม่ทำให้เราอับอายหรอก” เย่ฉิงกล่าว “สำหรับศิษย์ของนางนั้นมีอยู่สามคนเมื่อรวมเจ้าเข้าไปด้วย”
“หนึ่งในสิบอันดับศิษย์สายตรง! มีศิษย์อยู่สามคน!” หลินเซวียนประหลาดใจเล็กน้อย เขาไม่คาดคิดว่าผู้ที่จะมาชี้แนะตนเป็นถึงหนึ่งในสิบของเทียนอันดับศิษย์สายตรงในปีก่อน อีกทั้งนางยังมีศิษย์แค่สามคน
ในสำนักซวนเทียน เมื่ออายุครบยี่สิบห้าปี คนผู้นั้นจะไม่ได้เป็นศิษย์ของสำนักอีกต่อไป แต่จะกลายเป็นผู้ชี้แนะและดูแลแทน ผู้ชี้แนะมู่หรงเฉียนหลิงคนนี้เคยเป็นศิษย์สายตรงมาก่อน เพียงแค่นี้ก็เพียงพอในการแสดงความสามารถของนางแล้ว
ทั้งสองคนวิ่งเร็วขึ้นในทันที จากนั้นพวกเขาได้เข้าไปในราชวังขนาดย่อม
“อาจารย์ ข้าพาหลินเซวียนมาแล้ว!” เย่ฉิงกล่าวอย่างมีความสุข
ทันใดนั้นร่างอันสง่างามได้เดินออกมายืนมองหลินเซวียนอยู่บนพื้นหิน
หลินเซวียนหรี่ตาลงขณะมองร่างตรงหน้า นางสวมชุดเกราะสีฟ้า และเผยให้เห็นผิวพรรณอันงดงาม สตรีผู้นี้ยังดูอายุไม่แก่มากนัก มันประมาณยี่สิบเจ็ดปีเท่านั้น อีกทั้งนางยังมีผมสั้นประบ่า กล่าวได้ว่านางดูมีเสน่ห์มากกว่าความองอาจ
“คารวะอาจารย์มู่หรง” หลินเซวียนเอ่ยขึ้น
“ทำตัวตามสบาย” อาจารย์มู่หรงเฉียนหลิงพยักหน้า “หลินเซวียน การได้อันดับหนึ่งของการทดสอบนั้นยอดเยี่ยมมาก แต่ภายในสำนักชั้นในเองก็มีอัจฉริยะอยู่มากมาย หากเจ้าเกียจคร้าน เช่นนั้นอาจจะถูกลดอันดับได้เสมอ”
“ข้าหวังว่าเจ้าจะฝึกฝนมุมานะจนกลายเป็นยอดฝีมือระดับสูงได้”
“ขอบคุณที่เตือนศิษย์หลินเซวียน”
“เอาล่ะ ต่อไปข้าขอดูฝีมือเจ้าหน่อย!” มู่หรงเฉียนหลิงชักดาบออกมาจากเอว
“โจมตีมาให้เต็มที่ อย่าออมมือ!”
“ครับ” ดวงตาหลินเซวียนเผยถึงความมุ่งมั่น เขาพลิกแหวนเก็บของบนนิ้ว จากนั้นดาบเพลิงโลหิตได้ปรากฏขึ้นในมือ และร่างของเขาได้พุ่งออกไปทันที
วิชาดาบอัสนี!
ทันทีที่หลินเซวียนโจมตี เขาก็ใช้วิชาดาบที่แข็งแกร่งเข้าสู้อย่างเต็มที่ คมดาบอันทรงพลังและเต็มไปด้วยพลังสายฟ้าสีทองได้แล่นไปทั่วตัวดาบ เขาแทงดาบนี้ไปยังคอของมู่หรงเฉียนหลิงอย่างไม่ลังเล
ใครจะทราบว่ามู่หรงเฉียนหลิงไม่ได้ถอย แต่กลับพุ่งเข้าหาและปะทะกับการโจมตีของหลินเซวียน
ดาบของมู่หรงเฉียนหลิงแตะไปที่ดาบใหญ่ของหลินเซวียน เพียงไม่นาน มันได้เคลื่อนผ่านดาบของหลินเซวียนอย่างแปลกประหลาดก่อนจะไปหยุดที่คอของเขา
หลินเซวียนรู้สึกถึงพลังอันรุนแรงสยบดาบอัสนีของตน เวลานี้คอของเขารู้สึกเย็นเยือกจากปลายดาบ
“เร็วมาก!” ม่านตาหลินเซวียนจมลง เขาแทบไม่เห็นวิถีดาบแม้แต่น้อย แน่นอนว่าถึงแม้จะใช้ดวงตาข้างขวาที่เห็นได้ชัดกว่า แต่ร่างกายก็ไม่สามารถตอบสนองได้ทัน
“หากอยู่ในสนามรบ เจ้าตายไปแล้ว” มู่หรงเฉียนหลิงกล่าวอย่างเย็นเยียบ
หลินเซวียนทราบว่าที่นางพูดนั้นเป็นเรื่องจริง
“นี่คือระดับของศิษย์สายตรงสินะ? พวกเขาช่างแข็งแกร่งนัก!” หลินเซวียนไม่ได้เสียใจ เขาเชื่อว่าหากมีเวลา เขาเองก็สามารถไปถึงระดับนี้ได้เช่นกัน
“ดาบของเจ้าเองก็รวดเร็ว แต่มันยังขาดความแม่นยำ” มู่หรงเฉียนหลิงกล่าว “ถึงแม้ความเร็วจะสะกดคู่ต่อสู้ได้ แต่หากคู่ต่อสู้สามารถพบจุดอ่อนของเจ้า เช่นนั้นเจ้าก็ตกอยู่ในอันตรายไม่ต่างกัน”
หลินเซวียนเองก็นึกคิด เขาไม่เคยเจอคู่ต่อสู้ที่สามารถเอาชนะเขาได้ แต่วันนี้สิ่งที่เกิดขึ้นได้กำชับให้เขาอีกครั้งว่าไม่ควรประมาท
“แน่นอนว่าหากเจ้ารวดเร็วพอ ข้าเองก็ไม่มีโอกาสชนะเช่นกัน”
“ขอบคุณที่ชี้แนะ” หลินเซวียนกล่าวอย่างนอบน้อม
“เย่ฉิง พาเขาไปทำความรู้จักกับสำนักเถอะ” มู่หรงเฉียนหลิงเก็บดาบขณะกล่าว
หลังจากอำลามู่หรงเฉียนหลิง ทั้งสองก็ตรงไปยังภูเขาลูกใหญ่
“การชี้แนะของอาจารย์มู่หรงเป็นไงบ้าง?” เย่ฉิงกะพริบตา “เจ้าไม่ต้องเสียใจหรอก ข้าเองก็แพ้นางตั้งแต่เริ่มเหมือนกัน แม้แต่ศิษย์พี่ใหญ่หลัวเองก็ยังหนีไม่พ้น”
“ข้าว่าอาจารย์มู่หรงอยากจะเตือนเจ้าว่าโลกภายนอกนั้นมีคนอยู่มากมาย เจ้าไม่ควรจะไปสร้างปัญหาหรือหยิ่งผยองกับใคร”
หลินซวนทำได้แค่ยิ้มแห้ง ‘ดูเหมือนศิษย์ร่วมอาจารย์จะถูกมู่หรงสั่งสอนมาหมด’
“แล้วใครคือศิษย์พี่หลัวหรือ?”
“เขาคือศิษย์ของอาจารย์มู่หรงเช่นกัน เขาเริ่มเป็นศิษย์ก่อนพวกเรา ตอนนี้เขาอยู่ในสามสิบอันดับแรกแล้ว!” เย่ฉิงกล่าวอย่างชื่นชมและเล่าเกี่ยวกับเขาให้หลินเซวียนฟัง
หลินเซวียนได้รู้จักชีวิตของศิษย์พี่ใหญ่คนนี้ทันที จากนั้นเขาได้เปลี่ยนหัวข้อสนทนาเป็นเรื่องเกี่ยวกับหอบ่มเพาะพลัง
เมื่อได้ยินว่าหลินเซวียนได้เวลาสามชั่วยามในนั้น เย่ฉิงถึงกับตาโต
“ศิษย์น้องหลิน เจ้าโชคดีมากที่ได้ฝึกในนั้นตั้งสามชั่วยาม!” เย่ฉิงอิจฉาขึ้นมาทันที
“สามชั่วยาม มันนานมากหรือ?” หลินเซวียนรู้สึกสงสัย
“เจ้าเพิ่งเข้ามาใหม่ เจ้าจึงไม่ทราบหรอกว่าหอบ่มเพาะพลังนั้นมีค่ายังไง กล่าวตามตรง มันไม่ใช่สถานที่ของสำนักซวนเทียน แต่เป็นหอคอยเก่าแก่ที่อยู่มาตั้งแต่โบราณ”
“ตั้งแต่โบราณ?” หลินเซวียนตกตะลึง
“ใช่ ถึงแม้มันจะพุพัง แต่พลังเวทข้างในนั้นไกลกว่าที่พวกเราจะเข้าใจ”
“นั่นไง หอแห่งการบ่มเพาะพลัง” เย่ฉิงชี้ไปยังหอคอยอันงดงามขณะกล่าว
มันคือหอคอยสีดำสิบสามชั้น พวกเขาสามารถสัมผัสถึงอากาศที่ไร้ขอบเขตมาจากมัน หลังจากเดินตรงไป หลินเซวียนก็พบว่ามีสัมผัสอันตรายอยู่รอบ ๆ หอคอย หลินเซวียนกระตุ้นตาขวาอย่างเงียบ ๆ เพื่อมองแสงล่องหนที่อยู่รอบหอคอย
“มันคืออาคมป้องกัน!” หลินเซวียนตรวจสอบดูสักพักก่อนจะเดินไปหาเย่ฉิง