ตอนที่ 71 แลกเปลี่ยนวรยุทธ์
“สามเดือนนับจากนี้ การประลองเดิมพันด้วยชีวิต เจ้ากล้าหรือไม่?” เสียงของหลินเซวียนดังก้องและยังทรงพลัง มันทำให้ผู้คนรอบด้านถึงกับตกตะลึง
“ไอ้หนูนี้บ้าไปแล้วหรือ เขากล้าท้าประลองจางเฉียนได้ยังไง?”
“ฮ่า ฮ่า อยากจะหัวเราะจนตาย เขาคิดว่าตนเองเป็นใคร เป็นอัจฉริยะงั้นหรือ?”
ผู้คนรอบด้านนส่ายหัว พรรคพวกของจางเฉียนเองก็ก็หัวเราะดังลั่น
“ไอ้หนู กล้ามากที่มาท้าทายข้า” ดวงตาจางเฉียนเต็มไปด้วยความเย้ยหยัน “ได้ ข้าจะให้เจ้ามีชีวิตอยู่ต่ออีกสามเดือน หลังจากสามเดือน ข้าจะส่งเจ้าลงนรกต่อหน้าสายตาของทุกคน!”
“สวรรค์! จางเฉียนรับคำท้าด้วย อีกทั้งยังเป็นการประลองที่เดิมพันด้วยชีวิต!” กลุ่มคนเริ่มเดือดพล่านจากความตื่นเต้น
มันไม่มีความเสียใจในดวงตาหลินเซวียน เขามั่นใจอย่างมากว่าในสามเดือนนี้ เขาจะต้องชนะ
เมื่อนึกได้เช่นนี้ หลินเซวียนจึงไม่สนใจสายตาผู้คนอีก เขาได้จากไปพร้อมกับเย่ฉิง หลังจากหลินเซวียนออกมา ข่าวนี้ก็ได้กระจายไปทั่วสำนักชั้นใน
ผู้คนเกือบทั้งหมดหัวเราะในความโอหังของหลินเซวียน บางคนถึงกับคาดเดาการตายของหลินเซวียนจะเป็นยังไง
“หลินเซวียน เจ้าประมาทเกินไปแล้ว จางเฉียนคือผู้ใช้พลังวิญญาณขั้นเปิดชีพจรระดับแปดเลยนะ เขาเดินทางในสายการต่อสู้จนมีประสบการณ์มากมาย เจ้ากล้าท้าเขาได้ยังไง!”
เย่ฉิงไม่เชื่อว่าหลินเซวียนจะสามารถบรรลุไปถึงระดับแปดได้ในสามเดือนเด็ดขาด ดังนั้นนางจึงอดห่วงเขาไม่ได้
“ไม่ต้องกังวลพี่หญิงเย่ ข้ามักจะมีมาตราการเป็นของตัวเอง” หลินเซวียนยังคงสงบ
หลังจากอำลาเย่ฉิง หลินเซวียนก็กลับไปยังสวนของตนเอง เหตุการณ์ในวันนี้เป็นเพียงเรื่องเล็กน้อย ไม่ช้าก็เร็วมันก็ต้องเกิดขึ้นอยู่ดี หากเขาสามารถบรรลุเจตนารมณ์แห่งดาบได้ในสามเดือนนี้ เขาจะต้องฆ่าจางเฉียนได้อย่างแน่นอน
สิ่งที่เขาได้รับในวันนี้จากมิติวิญญาณนั้น มันนับว่าเป็นผลประโยชน์ที่ดีเยี่ยม เขาได้ใช้ความสามารถของตนเองในการต่อสู้จนถึงขีดจำกัด
อีกทั้งการต่อสู้แบบเสมือนจริงภายในนั้นยังทำให้เขาได้รับประสบการณ์กับร่างกายโดยตรง สิ่งนี้นับว่ามีผลต่อเขาอย่างมาก
ในการใช้วิชาดาบนั้น เมื่อผู้ใช้บรรลุเกินกว่าขั้นสมบูรณ์ วิชาดาบก็จะเข้าสู่ขั้นพลังแฝงเร้น พลังแฝงเร้นนั้นยังสามารถแบ่งได้เป็นระดับเริ่มต้น ระดับเล็ก ระดับสูง และระดับเชี่ยวชาญ และขั้นที่อยู่สูงขึ้นไปอีก ก็คือขั้นเจตนารมณ์แห่งดาบ
ในสำนักชั้นนอก พลังดาบแฝงเร้นของหลินเซวียนและเจียงอู่หลงได้อยู่ในขั้นเริ่มต้น พวกเขาจึงไม่ได้ปล่อยพลังของมันออกมามากนัก ตอนนี้หลินเซวียนมีเมล็ดพันธุ์แห่งดาบอยู่ในตัว ตราบใดที่เขาสามารถเข้าใจมันได้ เขาก็จะสยบทุกคนได้
ตามที่คาดเดา พลังดาบแฝงเร้นที่เขาสามารถใช้ได้ตอนนี้อยู่ในระดับเล็ก กล่าวได้ว่าเขายังแทบไม่ได้แตะแม้แต่ปลายขนของเจตนารมณ์แห่งดาบด้วยซ้ำ
ต้องไปยังหอบ่มเพาะพลังพรุ่งนี้อีกครั้ง และพยายามเข้าใจมันให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ หลินเซวียนทำการตัดสินใจ
วันต่อมา หลินเซวียนได้เดินไปคนเดียวบนถนน
บรรดาศิษย์ชั้นในต่างชี้ไปที่หลินเซวียนพร้อมซุบซิบกันเรื่องของเขา สิ่งนี้ทำให้หลินเซวียนรู้สึกรำคานไม่น้อย
เขาตรงเข้าไปยังชั้นที่สามของหอบ่มเพาะพลังทันทีที่มาถึง
หลังจากนั่งลงบนเขตอาคม หลินเซวียนก็เข้าสู่ห้องมิติวิญญาณอีกครั้ง
สี่วันที่ผ่านมา หลินเซวียนใช้เวลาครึ่งชั่วยามในนั้นทุกวัน และตอนนี้เขาได้บรรลุขั้นเปิดชีพจรระดับเจ็ดแล้ว
ปั้ง!
ประตูทองแดงค่อย ๆ เปิดพร้อมกับหลินเซวียนที่เดินออกมา เขากำลังทำหน้าครุ่นคิดบางอย่าง ตอนนี้เขาไม่มีเวลาเหลือจะใช้ในหอบ่มเพาะพลังแล้ว เขาใช้เวลาที่ได้รับจากรางวัลจนหมดในห้องมิติวิญญาณ
ในความคิดของเขา เขาต้องการจะถามคนดูแลจัดการหอคอยนี้เกี่ยวกับการได้เวลาเพิ่ม
ชายผู้นั้นเป็นผู้รับผิดชอบในชั้นที่สาม หลังจากได้ยินคำถามของหลินเซวียน เขาก็ตอบโดยท่าทีเฉยเมย “มันมีอยู่สามวิธี หนึ่งคือซื้อเวลาด้วยหินวิญญาณ หนึ่งพันหินวิญญาณ สามารถซื้อได้ครึ่งชั่วยาม“
“หินวิญญาณหนึ่งพันก้อน!” ดวงตาหลินเซวียนถึงกับเปิดกว้าง ตอนนี้เขาพอจะเข้าใจแล้วว่าทำไมเย่ฉิงถึงตกตะลึงในตอนนั้น ‘เพราะเวลาบ้านี้โคตรแพง!’
“แล้วอีกสองวิธีที่เหลือล่ะครับ?” หลินเซวียนเอ่ยถามต่อ
ผู้ดูแลมองเขาเล็กน้อยก่อนจะกล่าว “อย่างที่สองคือใช้อันดับในแท่นหิน อันดับแต่ละอย่างก็จะใช้ได้ตามช่วงเวลา“
“อย่างที่สามคือคะแนนการออกรบ คะแนนการออกรบร้อยครั้งจะแลกได้ครึ่งชั่วยาม”
“เป็นเช่นนี้เอง” หลินเซวียนรู้ตัวว่าไม่มีทางทำได้ทั้งสามวิธีในระยะเวลาสั้น ๆ แน่นอน ดูเหมือนเขาจะต้องฝึกฝนในวิธีอื่นไปก่อน
เขาจากไปพร้อมกับความผิดหวัง ขณะเดียวกันได้มีศิษย์กลุ่มหนึ่งมองหลินเซวียนจากด้านหลังพร้อมกล่าวอย่างเย็นเยือก “ชายคนนั้นคือหลินเซวียน เขากล้าท้าสู้กับพี่จางเฉียน ซือขุน ไปสั่งสอนเขาสักหน่อยสิ!”
ชายร่างอ้วนกล่าวพร้อมรอยยิ้ม “ข้าไม่ได้ลงมือมานานแล้ว ขอใช้ไอ้หนูนี้มาแก้คันไม้คันมือหน่อยเถอะ!”
ชายอ้วนนามซือขุนไล่ตามหลินเซวียนไปพร้อมรอยยิ้มชั่วร้าย ด้านหลังเขาเองก็มีคนติดตามมาด้วย
“ศิษย์น้องผู้นี้ โปรดรอสักครู่!”
เสียงดังมาจากด้านหลังหลินเซวียน จากนั้นร่างของซือขุนไปปรากฏขึ้นตรงหน้าเขา
“มีอะไรงั้นหรือ?” หลินเซวียนมองไปยังชายอ้วนตรงหน้าขณะเอ่ยถาม
“ศิษย์พี่อยากจะทราบว่าศิษย์น้องสนใจแลกเปลี่ยนวรยุทธ์กับผู้อื่นหรือเปล่า?” ชายอ้วนกล่าวพร้อมรอยยิ้ม “หากเจ้าชนะ มันจะมีรางวัลให้มากมาย”
“โอ้? แลกเปลี่ยนวรยุทธ์กับผู้อื่น…” หลินเซวียนเห็นสัญลักษณ์ของพรรคปราณเทวะอยู่บนหน้าอกชายอ้วน ใบหน้าของเขาได้เผยรอยยิ้มก่อนจะกล่าว “รางวัลอะไรงั้นหรือ? เดิมพันกันด้วยเวลาในหอบ่มเพาะพลังได้หรือเปล่า?”
“เวลาในหอบ่มเพาะพลัง?” ใบหน้าชายร่างอ้วนแข็งทื่อ ‘ล้อเล่นหรือไง? ไอ้หนูนี้ต้องบ้าไปแล้วแน่ ๆ !
“ศิษย์น้องผู้นี้คงยังไม่ทราบ เวลาในหอบ่มเพาะพลังนั้นผูกติดกับตัวบุคคล มันไม่สามารถส่งต่อให้กันได้”
หลินเซวียนยักไหล่ “เช่นนั้นก็ไม่มีอะไรน่าสนใจ“
เมื่อกล่าวจบเขาทำท่าจะจากไป แต่ร่างของซือขุนได้ไปขวางทางเขาอีกคครั้ง
“ไม่ต้องห่วงศิษย์น้อง แม้จะไม่มีเวลาสำหรับหอบ่มเพาะพลัง แต่มันก็ยังมีของดี ๆ อยู่” ซือขุนพยายามเกลี้ยกล่อม “ยกตัวอย่างเช่นของวิเศษเป็นไง”
“ศิษย์พี่มีของที่ช่วยซ่อมแซมวิญญาณหรือเปล่า?” หลินเซวียนถามอีกครั้ง
ซือขุนแทบจะบ้า ‘ไอ้เด็กนี้เป็นใครกัน? กล้าดียังไงถึงเปิดปากขอของล้ำค่าแบบนั้น?’ หากไม่ใช่ในสำนัก เช่นนั้นเขาคงจะอัดหลินเซวียนไปแล้ว
“ไม่มี!” ท่าทีซือขุนเผยท่าทีไม่เป็นธรรมชาติอีก
“งั้นก็ไม่มีอะไรน่าสนใจ!” หลินเซวียนหันหลังและเดินไปอีกครั้ง
แต่ซือขุนก็รีบตามไป เขาบอกว่าจะสั่งสอนเด็กหนุ่มคนนี้ แต่เด็กคนนี้กลับหลอกยากอย่างมาก
ในสำนักชั้นใน หากต้องการจะประลอง พวกเขาจะต้องไปยังลานประลองเท่านั้น
มันมีลานประลองอยู่สองแบบ หนึ่งคือลานประลองที่ใช้ต่อสู้กันเอง ห้ามเข่นฆ่ากันเด็ดขาด อย่างที่ที่สองคือสำหรับเดิมพันชีวิต การประลองของหลินเซวียนและจางเฉียนจะเกิดขึ้นในลานประลองนี้
“อ๊ะ ศิษย์น้อง รอเดี๋ยว!” ซือขุนสบถในใจแต่ก็ยังคงเรียกหลินเซวียน
“งั้นก็ห้าร้อยหินวิญญาณ!” หลินเซวียนหันไปกล่าว
ซือขุนลังเลทันที ห้าร้อยหินวิญญาณนั้นไม่ใช่จำนวนที่น้อย
“รับเลย!” ศิษย์ด้านหลังส่งเสียงขึ้น
“ตกลง! ห้าร้อยก็ห้าร้อย!” ซือขุนกัดฟันแน่น ‘เราต้องเอาชนะมันให้ได้หลังจากขึ้นไปลานประลอง!’
“นำทางเลย” หลินเซวียนดีใจขึ้นมาทันที ใครจะปฏิเสธรางวัลแบบนี้ได้
จากนั้นไม่นานพวกเขาก็มายังลานประลอง
ลานประลองกันเองนั้น นิยมไม่น้อยในสำนักชั้นใน นอกจากจะใช้ขัดเกลาฝีมือของตัวเอง มันยังจะได้รางวัลด้วย กล่าวได้ว่าศิษย์มากมายชอบมายังที่นี่
การประลองระหว่างหลินเซวียนและซือขุนนั้นย่อมดึงดูดผู้คนเป็นธรรมดา
“เอ๊ะ ไอ้หนูนั่นอยู่แค่ขั้นเปิดชีพจรระดับหกเอง เขาจะประลองกับซือขุนจริงหรือ?”
“ข้าเดาว่าเขาคงถูกเจ้าซือขุนหลอกเข้าแล้ว เจ้าเด็กโง่เอ้ย”
ศิษย์ที่มาชมเริ่มสนทนากัน บางกลุ่มก็เยาะเย้ย บางกลุ่มก็เห็นใจ ในความคิดของพวกเขา หลินเซวียนคงเป็นเหยื่อรับน้องในครั้งนี้