ตอนที่ 72 หนึ่งฝ่ามือ
ซือขุนและคนอื่น ๆ กังวลเล็กน้อยขณะมองหลินเซวียนที่ไร้ซึ่งความกลัว
ใบหน้าของหลินเซวียนนั้นสงบนิ่งราวกับไม่ได้คิดจริงจังอะไร
“ฮึ่ม ไอ้หนูนั้นมันโง่ดีแท้ที่จะมาท้าศิษย์พี่จางเฉียน สงสัยไม่อยากตายแบบธรรมดา!” พรรคพวกของซือขุนเย้ยเยาะ
“ไม่ต้องห่วง ข้าจะสั่งสอนมันแทนพี่จางเฉียนให้เอง!” ใบหน้าซือขุนเปลี่ยนเป็นชั่วร้ายทันที
“ศิษย์น้องหลิน ตกลงจะประลองใช่หรือไม่?” ซือขุนเอ่ยถามอีกครั้ง
“ใช่…” หลินเซวียนครุ่นคิดชั่วครู่ก่อนจะกล่าว “ใช่! ข้าหวังว่าศิษย์พี่จะออมมือสักหน่อย”
ซือขุนรออย่างหวาดหวั่น เพราะเขากลัวหลินเซวียนจะไม่ยอมประลอง หลังจากได้คำตอบ ใบหน้าอันอ้วนพีของซือขุนก็เผยความยินดี
‘ฮึ ข้าจะแสดงพลังให้เจ้าดูเอง!’
หลังจากหาลานประลองได้ ซือขุนและหลินเซวียนก็ขึ้นไปทันที
ศิษย์ชั้นในทั้งหมดได้มารวมตัวกันที่นี่
“ฮืม โง่มากที่หลินเซวียนกล้าขึ้นไปบนนั้น! เขาไม่รู้หรือว่าซือขุนอยู่ขั้นเปิดชีพจรระดับเจ็ด?”
“ซือขุนคนนี้คือลูกน้องของจางเฉียน แล้วหลินเซวียนก็ไปยั่วยุจางเฉียนมา ข้ากลัวว่าเขาจะต้องถูกซ้อมก่อนที่จะได้ไปยังลานในประลองเป็นตายแน่!”
ผู้คนมากมายถกเถียงกันด้านล่างเวที ขณะเดียวกันที่บนเวที ซือขุนได้เปลี่ยนท่าทีพร้อมเอ่ยคำข่มขู่ออกมา “ไอ้หนู! หากเจ้ากล้าทำให้ศิษย์พี่จางเฉียนขุ่นเคืองอีก เจ้าตายแน่!”
“อะไรกัน? เจ้าเป็นคนของจางเฉียนหรอกหรือ?” หลินเซวียนทำท่าประหลาดใจเล็กน้อย
“ฮ่า ฮ่า ฮ่า ฮ่า!” กลุ่มของพรรคปราณเทวะหัวเราะกันดังลั่นเมื่อทราบว่าแผนการของตนสำเร็จ
“เอาล่ะ เจ้าได้เห็นสิ่งที่อยากจะเห็นแล้ว มาเริ่มเลย!” ท่าทีหลินเซวียนกลับมาสงบอีกครั้ง
“เจ้าหมายความว่าอะไร?” ซือขุนและคนอื่น ๆ ชะงักโดยพลัน
“ข้าก็แค่ลองเล่นตามน้ำดูยังไงล่ะ! แต่ยังไงก็ต้องขอบคุณสำหรับหินวิญญาณห้าร้อยก้อนด้วย!”
ประกายแสงสีทองได้ปรากฏขึ้นใต้เท้าของหลินเซวียน จากนั้นก้าวอัสนีได้ระเบิดออกอย่างรวดเร็ว เขากลายเป็นสายฟ้าและหายไปจากจุดที่ยืนอยู่
“อยู่แค่ขั้นเปิดชีพจรระดับหก แต่กล้าอวดดี!” ซือขุนชักดาบออกมาก่อนจะสร้างคลื่นดาบสีฟ้ารอบตัวเอง
“เอาแล้ว! ซือขุนอย่าประมาทล่ะ ในบรรดาศิษย์หน้าใหม่ เขาได้อันดับหนึ่งเลยนะ!” ศิษย์หลายคนเริ่มจำกระบวนท่านั้นได้
“วิชาป้องกันคลื่นดาบวารีของข้านั้นแข็งแกร่งอย่างมาก ต่อให้อยู่ขั้นพลังเดียวกันก็ไม่สามารถทะลวงมันได้ เมื่อเจ้าเป็นคนเปิดการโจมตี ข้าจะตอบโต้ด้วยการป้องกันเอง!” ซือขุนได้ใช้แผนตอบโต้หลินเซวียน
แผนของเขานับว่าดี แต่ที่โชคร้ายคือต้องมาสู้กับหลินเซวียน
แกร๊ก แกร๊ก!
ทันใดนั้นเสียงแตกได้ดังขึ้น ผู้คนรอบด้านถึงกับประหลาดใจเมื่อเห็นคลื่นน้ำรอบตัวซือขุนเริ่มแตกร้าว จากนั้นไม่นาน สายฟ้าสีทองก็ได้ทะลวงมันจนแหลกเป็นจุณ
“ไม่มีทาง เป็นไปได้ยังไง?” ดวงตาของซือขุนมองไปรอบด้าน “มันอยู่แค่ขั้นเปิดชีพจรระดับหก แล้วทำไมถึงทำลายเกราะพลังของข้าได้?”
หลินเซวียนไม่ให้เวลาเขาคิดมากนัก ฝ่ามือสีขาวได้ปรากฏขึ้นก่อนจะประทับลงบนหน้าอกซือขุน จากนั้นสายฟ้าสีทองได้ไหลเข้าไปในตัวของซือขุนทันที
ความเจ็บปวดอย่างรุนแรงนี้ทำให้ร่างของซือขุนสั่นระริกก่อนจะหมดสติและล้มฟุบลงกลับพื้น
เพียงฝ่ามือเดียว ซือขุนก็พ่ายแพ้!
“นี่คือศิษย์หน้าใหม่จริงหรือ? พลังช่างน่าสะพรึงนัก!”
“ทำไมเขาถึงทรงพลังนัก!?”
“ข้าแทบจะอดใจรอดูการประลองที่ลานเป็นตายในสามเดือนข้างหน้าไม่ไหวแล้ว!”
……
ความแข็งแกร่งของหลินเซวียนทำให้พวกเขาตกตะลึงกันทั่วหน้า แม้ร่างกายของชายหนุ่มจะดูเพรียวบาง แต่มือของเขากลับรวดเร็วดั่งอสุนี
“ห้าร้อยหินพลังปราณ ส่งมา” หลินเซวียนหันไปหาพรรคพวกของซือขุน
พวกเขาย่อมไม่เต็มใจจะส่งให้แต่ก็ช่วยไม่ได้ จากนั้นพวกเขาได้ขึ้นไปลากซือขุนลงมาอย่างรวดเร็ว ตอนนี้พวกเขาต้องแจ้งให้จางเฉียนทราบว่า หลินเซวียนคนนี้น่าสะพรึงกว่าที่คาดคิด
เมื่อหลินเซวียนก้าวลงเวที เขาก็พบว่าสายตาของผู้คนดูเปลี่ยนไป อันที่จริงมันเป็นเรื่องปกติอยู่แล้ว มันคือกฎของโลกใบนี้ที่ต้องเคารพผู้แข็งแกร่ง และสำนักซวนเทียนก็ไม่มีข้อยกเว้น
หลังจากได้รับหินวิญญาณห้าร้อยก้อน หลินเซวียนก็อารมณ์ดีขึ้น เขาคลอเพลงเบา ๆ ขณะเดินลงจากเวทีประลอง
ในสวนอันหรูหรา ศิษย์ของพรรคปราณเทวะได้แห่กันไปหาจางเฉียนและบอกเล่าเกี่ยวกับหลินเซวียน
“เจ้าจะบอกว่าไอ้หลินเซวียนคนนั้นมีคุณสมบัติสายฟ้าที่หายากงั้นหรือ? อีกทั้งยังสู้กับคนที่ขั้นพลังสูงกว่าได้?” จางเฉียนประหลาดใจ
“ครับ” ซือขุนกล่าวด้วยท่าทีสั่นกลัว “พลังสายฟ้าของเขาร้ายกาจมาก หลังจากโดนแล้ว มันจะไม่สามารถใช้แรงต่อต้านได้”
“พวกเจ้าใจกล้าดี นี่คือขวดยาฟื้นฟู รับมันไว้แล้วไปเสีย” หลังจากได้ยิน จางเฉียนก็สงบลง
หลังจากพวกซือขุนออกไป ชายหนุ่มเสื้อฟ้าด้านข้างได้เอ่ยขึ้น “ดูเหมือนเจ้าหนูนี้จะไม่ได้กระจอกอย่างที่คิดไว้“
“เฮอะ! ก็แค่มดปลวก!” ดวงตาของจางเฉียนยังเย็นเยือกเช่นเดิม “อีกไม่นานข้าก็จะบรรลุขั้นเปิดชีพจรระดับเก้าแล้ว จากนั้นเป้าหมายต่อไปก็คือศิษย์สายตรง!”
เมื่อได้ยินคำว่าศิษย์สายตรง ดวงตาของชายหนุ่มเสื้อฟ้าก็เปล่งประกลายก่อนจะกล่าวพร้อมรอยยิ้ม “ดูเหมือนโอกาสของท่านใกล้จะมาถึงแล้ว…”
เมื่อไม่สามารถเข้าไปยังหอบ่มเพาะพลังได้ ความเร็วในการบ่มเพาะพลังของหลินเซวียนจึงลดลง ตอนนี้เขาต้องการแรงกดดันเพื่อมากระตุ้นศักยภาพของตน
ดังนั้นเขาจึงไปถามเย่ฉิงเกี่ยวกับสถานที่ที่เหมาะสมกับการฝึกฝน
เมื่อเย่ฉิงได้ยินว่าเขาต้องการความกดดันเพื่อกระตุ้นศักยภาพ นางก็มองเขาแปลก ๆ
“บ้าดีเดือดดีแท้! “
“ก็มันไม่มีหนทางอื่นแล้ว มีแค่คนเดียวที่จะรอดไปได้ไม่ข้าก็จางเฉียน!” หลินเซวียนกว่าอย่างช่วยไม่ได้
“เจ้าช่างบ้าเลือดเหมือนศิษย์พี่หลัวจริง ๆ !” เย่ฉิงกล่าวพร้อมบิดมุมปาก
“ศิษย์พี่หลัว?” หลินเซวียนจำได้ว่าตนมีศิษย์พี่อีกคนที่อยู่ภายใต้การชี้แนะของอาจารย์มู่หรง
“เขาเป็นคนยังไงงั้นหรือ? ข้าไม่เคยเจอเขาสักครั้ง?” หลินเซวียนถามอย่างสงสัย
“เจ้ามากับข้า ข้าจะพาเจ้าไปยังสถานที่ดี ๆ แห่งหนึ่ง เจ้าจะต้องพอใจแน่นอน!” เย่ฉิงกล่าวอย่างลึกลับ
ใบหน้าหลินเซวียนเต็มไปด้วยความสงสัยขณะตามเย่ฉิงไป พวกเขาเดินทางอย่างรวดเร็วจนมาถึงพื้นที่ส่วนลึกของสำนักชั้นใน มันเป็นที่ที่เก็บสัตว์วิญญาณไว้
“ท่านพาข้ามาที่นี่ทำไม? อยากให้ข้าสู้งั้นหรือ?” หลินเซวียนสงสัยอีกครั้ง
“เจ้างั่ง!” เย่ฉิงกลอกตามองเขา จากนั้นนางได้เดินไปหาผู้ดูแลสัตว์วิญญาณก่อนจะเช่ากระเรียนวิญญาณมา
“นี่ ศิษย์น้องหลิน จ่ายเงินเร็วเข้า!” เย่ฉิงสะกิด
“เท่าไหร่?” หลินเซวียนเอ่ยถามต่อ
“ห้าร้อยหินวิญญาณ”
“ห๊ะ!” หลินเซวียนมองไปยังสัตว์วิญญาณก่อนจะยื่นหินวิญญาณให้อย่างเศร้าโศก เขาพบว่าการเป็นศิษย์ชั้นในนั้น หินวิญญาณจะหดหายอย่างรวดเร็ว!
“ขึ้นมา!” เมื่อเห็นหลินเซวียนส่งหินวิญญาณแล้ว เย่ฉิงก็ได้เผยรอยยิ้ม
นี่คือกระเรียนวิญญาณระดับหนึ่ง มันมีความแข็งแกร่งพอ ๆ กับมนุษย์ขั้นสมุทรวิญญาณ กระเรียนตัวนี้ยาวประมาณหนึ่งจั้ง และยังมีบ้านขนาดเล็กอยู่บนหลังของมัน
เมื่อหลินเซวียนเข้าไปในนั้น เขาก็เห็นเย่ฉิงกระตุ้นตราวิญญาณ จากนั้นนกกระเรียนก็กางปีกบินขึ้นไป
“พวกเราจะไปที่ไหนเนี้ย?”
“พาเจ้าไปพบศิษย์พี่หลัวไงล่ะ!” เย่ฉิงกล่าว “และข้าจะแนะนำสถานที่ฝึกฝนที่ดีให้เจ้าด้วย มันเป็นที่รวมของพวกคนบ้าอย่างเจ้า!”
“สถานที่ที่ดีสำหรับฝึกฝน?” ดวงตาหลินเซวียนเปล่งประกาย “มันเหมือนหอบ่มเพาะพลังงั้นหรือ?”
“ก็เกือบจะ แต่มันน่าสนใจเสียยิ่งกว่าหอบ่มเพาะพลังอีก!” เย่ฉิงแอบยิ้มอย่างลึกลับ