ตอนที่ 76 สู่สังเวียน
การตัดสินใจของหลินเซวียนทำให้ผู้คนสับสนขึ้นมาทันที พวกเขาไม่เคยเห็นการประลองของนักสู้มือใหม่ลึกลับผู้นั้น แต่เคยเห็นของฉีเจว่มาก่อน
เขาสามารถเอาชนะมาได้ติดต่อกันถึงสิบครั้ง มันเห็นได้ชัดว่านักสู้คนนี้ไม่ธรรมดา แต่มันก็ยังเป็นเรื่องยากที่จะทราบผลการชนะ โดยเฉพาะในมิติวิญญาณเสมือนจริง เพราะนักสู้แต่ละคนจะถูกปรับให้มีสถานะเท่ากัน การชนะติดต่อกันได้สิบครั้งนั้นจึงเป็นเรื่องยากที่จะจินตนาการ
“เฮ้อ เขายังเด็กอยู่คงไม่รู้อะไร โลกภายนอกนั้นไม่ใช่อะไรที่จะมาตัดสินได้ง่าย ๆ !” หลายคนส่ายหัวพร้อมถอนหายใจ ในสายตาพวกเขา การตัดสินใจของหลินเซวียนนั้นยังหุนหันพลันแล่นเกินไป
หลิงเจ๋อเองก็ชะงักไปเช่นกัน เขากังวลว่าคงไม่มีโอกาสเอาชนะหลินเซวียนได้แล้ว แต่ไม่คาดคิดว่าจะมีอะไรแบบนี้เกิดขึ้น เขาอุ้มสาวใช้ทั้งสองขึ้นก่อนจะยิ้มพร้อมกล่าว “ข้าลงเดิมพันหินวิญญาณหนึ่งหมื่นก้อน!”
“หินวิญญาณหนึ่งหมื่นก้อน!” ผู้คนรอบด้านต่างอ้าปากค้าง หินวิญญาณหนึ่งหมื่นก้อนนี้ไม่ใช่จำนวนน้อย ๆ มันสามารถใช้ในหอบ่มเพาะพลังได้หลายชั่วยาม
“สมแล้วที่เป็นนายน้อยตระกูลหลิง เขาช่างมั่งคั่งจริง ๆ ” หลินเซวียนกล่าวพร้อมรอยยิ้ม
“ไอ้หนู คิดจะเสียใจตอนนี้มันก็สายไปแล้ว!” มุมปากหลิงเจ๋อเผยรอยยิ้มชั่วร้าย
หลินเซวียนเย้ยเยาะกลับ “ที่ข้าอยากจะพูดคือ เศรษฐีอย่างหลิงเจ๋อคงขนหน้าแข้งไม่ร่วงหรอกหากเสียไปอีกสักหนึ่งหมื่นหินวิญญาณ“
ใบหน้าหลิงเจ๋อจมลง “เจ้าบอกว่าข้าจะแพ้งั้นหรือ? ไอ้หนู เจ้าคิดว่าผู้ที่ชนะติดต่อกันสิบรอบได้คืออะไร? ตอนนี้หากมาคุกเข่าขออภัยข้า ข้าอาจจะปล่อยเจ้าไป!”
“ไม่ล่ะ หินวิญญาณหนึ่งหมื่นก้อนของเจ้า ข้าจะเอามาให้หมด!” หลินเซวียนหันหลังกลับก่อนจะกล่าวเสียงดัง “เพราะนักสู้คนนนั้นคือข้ายังไงล่ะ!”
“ศิษย์น้องหลินจะลงไปแข่งงั้นหรือ?” เย่ฉิงประหลาดใจ
พวกเขาต่างพากันโล่งอกเมื่อได้ยิน พวกเขาเห็นหลินเซวียนมั่นใจนักหนาจนเกิดอาการลังเล
ตอนนี้เมื่อรู้ว่าหลินเซวียนจะลงไปประลองเอง คนเหล่านี้จึงผ่อนคลายลง พวกเขาไม่ทราบว่าหลินเซวียนแข็งแกร่งเพียงใด แต่ก็สัมผัสได้จากลมหายใจของหลินเซวียนว่าอยู่เพียงขั้นเปิดชีพจรระดับหก
“โอ๊ะ ข้ากลัวจังเลย!” หลิงเจ๋อเยาะเย้ย “ข้าขอสนุกกับการดูเจ้าถูกทรมานหน่อยละกัน!”
……
หลินเซวียนเดินออกจากห้องโถงและตามหลัวซิงชานไปยังชั้นล่าง
บันไดถูกลดระดับลงเป็นเกลียวและผนังทั้งสองด้านถูกปกคลุมไปด้วยลูกปัดที่สว่างไสวในความมืด
“ศิษย์น้องหลิน เจ้ามั่นใจนะ?” หลัวซิงชานกังวลเล็กน้อย “พื้นที่มิติวิญญาณอันนี้แตกต่างจากของสำนัก ความแข็งแกร่งของทั้งสองจะขึ้นอยู่กับขั้นพลังสูงสุดของแต่ละคน”
เมื่อเห็นหลินเซวียนยังงงอยู่ หลัวซิงชานจึงกล่าวต่อ “ยกตัวอย่างเช่น หากเจ้าประลองกับคนที่อยู่ขั้นเปิดชีพจรระดับเจ็ด เจ้าก็จะอยู่ขั้นเปิดชีพจรระดับเจ็ดเช่นกัน“
“เป็นเช่นนี้เอง” หลินเซวียนใจเต้นเล็กน้อย ‘นี่เป็นโอกาสที่จะได้สัมผัสกับระดับที่สูงกว่าแล้วสินะ’
“แต่มันก็ยังมีข้อบกพร่องสำหรับผู้ที่มีวรยุทธ์ขั้นต่ำกว่า มันจะทำให้พวกเขาไม่สามารถใช้พลังได้อย่างเต็มที่จากปรับตัวไม่ทัน”
หลินเซวียนเห็นด้วยกับสิ่งนี้ มันปรับตัวได้ยากจากผู้ที่อยู่ขั้นเปิดชีพจรระดับหกจู่ ๆ ก็เพิ่มไประดับเจ็ด แต่หลินเซวียนก็เชื่อว่าตนจะสามารถทำได้ไม่ยากนัก
หลังจากสนทนากันได้ชั่วครู่ ทั้งสองก็เดินลงไปถึงชั้นต่อไป
ในชั้นนี้มันมีห้องแยกส่วนตัวที่ปิดสนิท
หลินเซวียนเดินเข้าไปในห้องนั้นคนเดียว และพบว่าบรรยากาศภายในนี้เหมือนกับห้องในหอบ่มเพาะพลัง อีกทั้งยังมีเขตอาคมพิเศษอยู่
เพียงไม่นาน เขาก็ไม่ลังเลอีกพร้อมเดินตรงไปยังเขตอาคมและนั่งลง
หลังจากนั้น วิญญาณของเขาได้ออกจากร่างและเข้าไปในมิติที่แปลกประหลาด
ท้องนภาสีฟ้าที่เต็มไปด้วยหมู่เมฆ ภูเขาและแม่น้ำ มันราวกับโลกที่สงบสุข ตรงหน้าเขามีศาลาอยู่หลายหลัง บนนั้นมีนักสู้หลายคนนั่งอยู่
การปรากฏตัวของหลินเซวียนทำให้นักสู้เหล่านั้นหันมามอง แต่เมื่อเห็นขั้นพลังของหลินเซวียนพวกเขาก็ไม่สนใจอีก
“ทำไมนักสู้ขั้นเปิดชีพจรระดับหกถึงกล้าลงมา?” บางคนขมวดคิ้ว
“ใครจะไปรู้ละ มันคงเป็นเด็กใหม่ละมั้ง?”
“นี่เจ้าหนู เลขของเจ้าคืออะไร?” เสียงใครบางคนเอ่ยขึ้น
หลินเซวียนกระโดดไปอยู่บนโขดหินที่เป็นหนทางขึ้นไปศาลาก่อนจะกล่าว “หมายเลขเก้า“
“เก้า? เป็นเจ้านี่เองที่ได้ประลองกับฉีเจว่!” นักสู้หนุ่มในศาลาต่างมองอย่างประหลาดใจ
“เอาน่าน้องชาย นับว่ามาเก็บประสบการณ์ก็แล้วกัน” ใครบางคนปลอบใจ
ทันใดนั้นมีใครบางคนดึงหลินเซวียนไปพร้อมกล่าว “ดูนั่นสิ ชายหนุ่มชุดสีม่วงในศาลาฝั่งโน้นก็คือฉีเจว่ เขาอยู่ขั้นเปิดชีพจรระดับเจ็ดและใกล้จะบรรลุไประดับแปดแล้ว อีกทั้งยังเชี่ยวชาญในวิชาดาบแปดรูปแบบด้วย”
หลินเซวียนกล่าวขอบคุณชายผู้นั้นก่อนจะมองฉีเจว่ ฉีเจว่มองกลับมา สายตาของพวกเขาปะทะกันกลางอากาศ
“ฮึ!” น้ำเสียงของฉีเจว่เต็มไปด้วยความเย้ยหยันขณะยืนอย่างภาคภูมิใจ “เด็กใหม่ เจ้าเลือกสังเวียนได้เลย”
“สังเวียน?” หลินเซวียนชะงักก่อนจะเข้าใจในไม่นานจากคำอธิบายของคนในศาลา ตราในมือของเขา นอกจากจะใช้ระบุตัวตนแล้ว มันยังสามารถเลือกสถานที่ประลองได้
หลินเซวียนมองดู มันมีสถานที่แตกต่างกันมากมาย อาทิเช่นป่า คฤหาสน์ ลานประลองยุทธ์ หุบเขา และอีกนับไม่ถ้วน
“ข้าเลือกคฤหาสน์” หลินเซวียนไม่สนใจมากนัก
“โง่จริง!” ฉีเจว่อุทานเย้ยหยัน
นักสู้ใกล้ ๆ หลินเซวียนกระซิบบอก “น้องชาย เจ้าระดับห่างกับเขามาก การประลองของพวกเจ้าจะทำให้เจ้าไปอยู่ขั้นเปิดชีพจรระดับที่เจ็ดทันที โดยปกติ เด็กใหม่ที่มาจะยังไม่ค่อยชินกับพลัง เป็นการดีที่สุดที่จะเลือกพื้นที่ที่มีอุปสรรคหรือสิ่งกีดขวาง อย่างป่าหรือภูเขาอะไรทำนองนี้“
“สถานที่อย่างคฤหาสน์นั้นถูกพบตัวได้ง่าย เจ้าจะปรับตัวกับระดับพลังไม่ทันเอา!”
“เป็นเช่นนี้เอง” หลินเซวียนเอ่ยขึ้น “เช่นนั้นครั้งหน้าค่อยเลือกป่าก็แล้วกัน”
เมื่อเห็นหลินเซวียนเลือกแบบไม่คิด บรรดานักสู้ต่างพากันส่ายหัวเล็กน้อย
หลังจากสิบลมหายใจ ชายทั้งสองก็ถูกแสงสีขาวห่อหุ้มตัวก่อนภาพตรงหน้าจะเปลี่ยนไป
หลังจากหลินเซวียนเริ่มทรงตัวได้ เขาก็มองไปรอบด้านและพบว่าตัวเองกำลังอยู่ในห้องสี่เหลี่ยมที่มีอาวุธอยู่รอบด้าน และสิ่งของมากมาย
หลินเซวียนไม่ได้เข้าไปเลือกอาวุธ แต่กลับคงสมาธิอยู่กับร่างกายอย่างระมัดระวัง เขาพบว่าร่างกายเสมือนจริงตอนนี้อยู่ขั้นเปิดชีพจรระดับเจ็ดแล้ว อีกทั้งยังรู้สึกว่าทั้งความแข็งแกร่งและความเร็วก็เพิ่มขึ้นมาก หลังจากนั้นหลินเซวียนได้ลองเหวี่ยงหมัดพร้อมโคจรพลังดู
“พลังเพิ่มขึ้นตั้งเจ็ดส่วน!” หลินเซวียนเหมือนจะนึกอะไรได้ จากนั้นได้ลองใช้วิชาตัวเบาและออกวิ่ง
“ความเร็วก็เพิ่มขึ้น!”
“เฮอะ! ไอ้หนู ไม่คิดจะหนีงั้นหรือ? ข้าไม่ทราบว่าเจ้ามั่นใจหรือโง่กันแน่!” ขณะที่หลินเซวียนกำลังตื่นเต้นกับพลังของตน ฉีเจว่ที่กำลังถูกส่งตามมาก็ได้ปรากฏตัวขึ้น
“ในพื้นที่โล่งเช่นนี้ เจ้าตายแน่!” ฉีเจว่วิ่งไปที่เก็บอาวุธด้านข้างก่อนจะหยิบดาบยาวสีขาวออกมา
หลินเซวียนเองก็หยิบดาบกว้างขนาดกลาง จากนั้นได้ตั้งท่าดาบอัสนีพร้อมดวงตาที่เปล่งประกาย
ขณะเดียวกันภายในห้องโถงชั้นหนึ่งของใต้ดิน ทั้งสองคนได้ปรากฏตัวขึ้นบนม่านแสงที่ผนัง และบรรยากาศของห้องโถงก็เต็มไปด้วยความตึงเครียด