ตอนที่ 9 วิชาดาบธารเมฆา
หลัวอี้กระโจนไปข้างหน้าพร้อมหลบกรงเล็บของหมาป่า
การก้าวเท้าของหลัวอี้นั้นใช้พื้นที่แคบอย่างมาก การเคลื่อนไหวทั้งหมดของเขาแทบจะเป็นการก้าวเท้าเดียว เขาหลีกเลี่ยงการโจมตีของหมาป่าตาสีชาดได้ด้วยความเร็วอันเหลือล้ำ
“ควบคุมการเคลื่อนไหวได้แม่นยำนัก!” หลินเซวียนอุทานขึ้นในใจ นับตั้งแต่ดูมา หลัวอี้ยังไม่เคยก้าวพลาดแม้แต่ครั้งเดียว การก้าวเท้านี้มีประสิทธิภาพอย่างยิ่ง แต่มันก็อันตรายพอควร หากพลาดขึ้นมาก็สามารถบาดเจ็บได้
ขณะที่หลินเซวียนนึกคิดอยู่ ทันใดนั้นเสียงของเสื้อผ้าถูกข่วนก็ดังขึ้น เวลานี้หน้าอกของหลัวอี้เกิดรอยแผลแดงสามเส้น
“ฮึ่ม! คลื่นปราณฟ้า!”
หลัวอี้เอ่ยออกมาอย่างเย็นเยือก ท่วงท่าการใช้ดาบของเขาได้เปลี่ยนไปทันที มันเคลื่อนไหวราวกับสายน้ำที่ไหลเชี่ยว
ดาบยาวสามศอกถูกห่อหุ้มด้วยพลังสีน้ำเงิน ทุกครั้งที่โบกสะบัด มันราวกับมีระลอกคลื่นเคลื่อนไหวตามหลัง ดาบของหลัวอี้กวาดไปมาอยู่ชั่วครู่ จากนั้นพลังวิญญาณสีครามได้ปรากฏขึ้นกลางอากาศ
ฟู้ว!
หมาป่าตาสีชาดรู้สึกถึงอันตรายขึ้นทันที ขนของมันลุกตั้งเป็นแนวเดียวกัน
ย๊าก!
ความเร็วของหมาป่านั้นช้าไปก้าวหนึ่ง ร่างของมันถูกผ่าเป็นสองซีกด้วยคมดาบอันน่าสะพรึง โลหิตของมันสาดกระจายไปทั่วท้องทุ่ง
“วิชาดาบของหลัวอี้ยอดเยี่ยมมาก!” เสียงร้องแสดงความชื่นชมดังขึ้นจากกลุ่มของเขา
“ข้าคิดว่าการก้าวเท้าของเขายอดเยี่ยมกว่า” บางคนได้เอ่ยขึ้น “ศิษย์พี่อี้ จังหวะเท้าของท่านงดงามนัก!”
หลัวอี้มองไปยังพรรคเทพสงครามด้านหลังก่อนจะกล่าว “เอาล่ะ เก็บศพมันแล้วรีบกลับไปปิดส่งงานเถอะ“
เวลานี้หลินเซวียนที่แอบมองอยู่ในดงหญ้ายังนึกถึงการก้าวเท้าเมื่อครู่อยู่
มันไม่ใช่วิชาพิเศษอะไร แต่เป็นการก้าวเท้าที่สมบูรณ์และแม่นยำ
“มันละเอียดและนุ่มนวลนัก น่าสนใจมาก!” หลินเซวียนตื่นเต้นอย่างยิ่ง เขาคิดอยากจะฝึกฝนให้หนักทางด้านนี้ด้วย
“ต้องตามหาหญ้าพลังหยินก่อน” เขายังไม่ลืมสิ่งที่ตั้งใจ เมื่อนึกได้หลินเซวียนยกกระเป๋าเป้ขึ้นพร้อมเดินทางอีกครั้ง
ในที่สุด เขาก็พบหญ้าพลังหยิน มันตั้งอยู่ใกล้กับแหล่งต้นน้ำของภูเขา
หลินเซวียนรู้สึกดีใจเป็นอย่างมาก เขารีบหยิบกล่องไม้ออกจากกระเป๋าเป้พร้อมหยิบหญ้าพลังหยินสองสามใบใส่ลงไป
“อ๊ะ หญ้าพลังหยิน!” ทันใดนั้นได้มีเสียงคนตะโกนขึ้น
หลินเซวียนหัวใจจมลงทันที เขารีบหยิบหญ้าพลังหยินออกมาใบหนึ่งและวางไว้ที่เดิม
“เจ้าหนู วางหญ้าทั้งหมดในกล่องนั้นลงเดี๋ยวนี้!” ชายหนุ่มตะคอกขึ้นดัง
หลินเซวียนขมวดคิ้วเมื่อหันไปมอง เขาเห็นชายหนุ่มหน้าเหลี่ยมพร้อมแขนเสื้อปักลายดวงจันทร์
“พวกปราณเทวะ” หลินเซวียนจิกคิ้วแน่น แต่ไม่นานเขาก็ค่อย ๆ หายใจออกอย่างผ่อนคลาย
“มันยังมีอยู่อีกใบที่นั่น เจ้าไปหยิบเอาได้เลย” หลินเซวียนกล่าวเสียงต่ำ
“ใบเดียว?” ชายหนุ่มกล่าวเยาะเย้นขึ้น “ข้าต้องการทั้งหมด! เจ้ากล้าปล้นภารกิจของกลุ่มปราณเทวะงั้นหรือ? เบื่อชีวิตแล้วหรือไง!”
“ดูเหมือนพวกนี้จะโอหังมากกว่าที่คิดไว้เสียอีก” หลินเซวียนจับดาบในมือไว้มั่นขณะกล่าวตอบ “ไปเสียถ้าไม่อยากเจ็บตัว!”
“ฮืม เจ้ากล้างั้นหรือ?” ศิษย์ผู้นั้นกล่าวออกอย่างโกรธเกรี้ยว “เจ้ากล้ามากที่มาหาเรื่องคนของกลุ่มปราณเทวะ!”
“เข้ามา ข้าจะแสดงให้เจ้าเห็นเองว่านายน้อยผู้นี้เก่งกาจเพียงใด” ชายหน้าเหลี่ยมดึงดาบออกมาแทง
“วิชาดาบธารเมฆา!”
ถึงแม้นิสัยชายหน้าเหลี่ยมจะหยิ่งผยอง แต่เขาก็ระมัดระวังตัวพอควร ดังนั้นเขาจึงเริ่มด้วยกระบวนท่าที่ร้ายกาจตั้งแต่แรก เพราะไม่ได้คิดจะประมาทหลินเซวียน
วิชาดาบนี้ล่องลอยบางเบาราวกับเมฆและพริ้วไหวราวกับสายน้ำ มันให้ความรู้สึกอ่อนโยนประดุจมือของคนรัก
หลินเซวียนเองก็ระมัดระวังตั้งแต่แรกเช่นกัน อย่างที่คิดไว้ ‘ศิษย์ที่สามารถเข้าร่วมกลุ่มปราณเทวะได้นั้นย่อมไม่ธรรมดาทั้งเรื่องฝีมือและความยโส’
มือของหลินเซวียนเองแทบจะไม่สั่นไหวขณะจับดาบ มันมั่นคงราวกับต้นไม้ที่หนักแน่น
หลิยเซวียนรู้สึกขอบคุณตนเองที่หมั่นฝึกฝนวิชาดาบมาตลอดสามปี โดยเฉพาะเพลงดาบดาวตก มิเช่นนั้นคงไม่สามารถมีความมั่ใจขึ้นไปสู้กับคนเหล่านี้ได้
เขายกแขนขึ้นพร้อมดาบในกำมือ
หลินเซวียนใช้วิชาดาบพื้นฐาน มันไร้ซึ่งความพิเศษ เรียบง่าย และใช้งานได้จริง
“ฮ่า ฮ่า น่าขันนัก!” ชายหน้าเหลี่ยมพลันหัวเราะขึ้น “คิดจะใช้วิชาดาบพื้นฐานกับกลุ่มปราณเทวะงั้นหรือ แค่วิชาดาบยังไม่มีแล้วยังจะกล้าโอหังอีก มอบชีวิตมาให้ข้าดีกว่า!”
กฎเหล็กของสำนักซวนเทียนนั้นยังเหมือนเดิม ห้ามผู้ใดเข่นฆ่ากันในสำนัก แต่เมื่อออกมานอกบริเวณสำนัก กฎทุกอย่างก็นับว่าไร้ผล
“เพลงดาบธารเมฆา อ่อนนุ่มเหมือนก้อนเมฆ พริ้วไหวดั่งสายน้ำ!”
ชายหน้าเหลี่ยมแยกดาบออกเป็นสองเล่ม เล่มหนึ่งแพรวพราวสดใส อีกเล่มหนึ่งไร้ซึ่งตัวตน หากเป็นคนธรรมดาจะมองไม่เห็นตัวดาบนี้ กล่าวได้ว่าวิชาดาบของเขาไม่ใช่ธรรมดา
ขณะทำการโจมตี ชายหน้าเหลี่ยมได้เผยรอยยิ้มบนใบหน้าราวกับเห็นอนาคตว่า หลินเซวียนกำลังร้องไห้คุกเข่าร้องขอความเมตตา
แต่เพียงไม่นานหลังจากนั้น เหตุการณ์ก็ได้เปลี่ยนไป
ดาบเหล็กดำในมือของหลินเซวียนเองก็ราวกับมังกรทมิฬ มันแทงไปยังมุมหนึ่งของดาบทั้งสองทันที รูปดาบทั้งสองเล่มได้บิ่นออกไปโดยพลันและทำให้การโจมตีของชายหน้าเหลี่ยมไร้ผล
“อะไรกัน? เป็นไปไม่ได้!” ม่านตาของชายหน้าเหลี่ยมเบิกกว้าง ดาบทั้งสองเล่มนั้นเป็นวิชาขั้นสูง พลังของมันสามารถดูดซับได้ทั้งแรงกระแทกและโจมตีอย่างฉับพลัน
แต่หลินเซวียนกลับมองจุดตายของมันออกพร้อมทั้งทำลายลงอย่างง่ายดาย
“บัดซบ! พึ่งโชคงั้นเรอะ!” ชายหน้าเหลี่ยมไม่สามารถคิดได้ว่าหลินเซวียนทำได้เพราะตัวเอง ดังนั้นจึงคิดว่าเป็นเพราะโชค
“มาดูกันว่าโชคจะเข้าข้างเจ้าอีกนานเพียงใด!” ชายหน้าเหลี่ยมกล่าวอย่างเกรี้ยวกราดขณะตวัดดาบยาวไปรอบตัว เศษก้อนหินและใบหญ้าถูกตัดขาดทันที
หลินเซวียนไม่ได้รีบเผด็จศึก พลังของศิษย์หน้าเหลี่ยมผู้นี้ทัดเทียมกับเขา หลินเซวียนจึงคิดจะใช้โอกาสนี้เพื่อฝึกฝนตนเองไปด้วย วิชาดาบพื้นฐานและการก้าวเท้าของเขาไม่เคยถูกฝึกด้วยกัน อีกทั้งยังไม่เคยใช้มันเผชิญหน้ากับศัตรูสักครั้ง ตอนนี้เขาจึงอยากจะลองดูสักหน่อย
ขณะเดียวกัน ฉากการก้าวเท้าของหลัวอี้ก็พลันปรากฏขึ้นมาในหัวไปด้วย
“ลองดู” หลินเซวียนเอนตัวไปข้างหน้าเพื่อเตรียมตัวใช้การก้าวเท้า
การกระทำนี้ทำให้ชายหน้าเหลี่ยมกระโดดถอยหลังทันที แต่เมื่อสังเกตเห็นว่าการโจมตีของหลินเซวียนดูอ่อนแอ อีกทั้งการก้าวเท้ายังผิดจังหวะ ใบหน้าของเขาจึงเผยรอยยิ้มเย้ยหยัน
“หมดแรงหรือไงเจ้าหนูพึ่งโชค! เช่นนั้นก็ตายเสียเถอะ!” เหนือคมดาบสีเงินได้มันเกิดประกายแสงขึ้นพร้อมเผยพลังอันน่าสะพรึง
หลินเซวียนถอนหายใจเล็กน้อย เขาตระหนักได้ว่าชายหน้าเหลี่ยมกำลังจะเอาจริง เป็นผลให้เขาต้องยอมแพ้เรื่องการฝึกไปก่อน
เขาตวัดดาบในมือจนอย่างไม่รอช้า มันแทงไปยังข้อมือของชายหน้าเหลี่ยม
ประกายอันเย็นเยือกได้เฉือนตรงข้อมือศัตรู เป็นผลให้เลือดสดพวยพุ่งออกมาอย่างน่าสยอง
ดาบในมือชายหน้าเหลี่ยมหล่นลงกับพื้น ใบหน้าของเขาบิดเบี้ยวขณะกุมข้อมือไว้พร้อมมองหลินเซวียนอย่างหวาดผวา
“เจ้า… เจ้าคิดจะทำอะไร?” ชายหน้าเหลี่ยมดูตื่นตระหนก “ข้าเตือนเจ้าก่อนนะว่าข้าเป็นคนของกลุ่มปราณเทวะ ดังนั้นอย่าบังอาจให้มากนัก!”
หลินเซวียนขี้เกียจที่จะถกเถียงด้วยอีก เขาเก็บดาบและหยิบหญ้าพลังหยินที่เหลือก่อนจะจากไปทันที
จากนั้นเหตุการณ์ไม่คาดฝันก็ได้เกิดขึ้น ชายหน้าเหลี่ยมรีบลุกขึ้นจากพื้นและถอยร่นไปในระยะปลอดภัย ไม่นาน เขายิงลูกธนูสีทองขึ้นฟ้า
ลูกศรนั่นระเบิดออกกลางอากาศกลายเป็นรูปของดวงอาทิตย์สีทอง มันส่องแสงสว่างจ้าไปทั่วนภา
“ไอ้หนู เจ้าตายแน่ กล้าดียังไงถึงหามาเรื่องกลุ่มปราณเทวะ!” ชายหน้าเหลี่ยมตะโกนอย่างโกรธเกรี้ยว