ตอนที่ 93 พบปะ
หลินเซวียนยิ้มอย่างเจียมเนื้อเจียมตัว ทหารพวกนี้ไม่ทราบว่า นอกจากจะหนีรอดแล้ว เขายังสังหารพวกมันได้อีกสามตัว
“พี่ชาย ข้าไม่ทราบว่าหอสมุนไพรร้อยปีไปทางไหนงั้นหรือ?” หลินเซวียนถามกลับ
“น้องชายควรรอในเมืองอย่างน้อยสักสองวันก่อน ภารกิจนี้ได้รับการเพิ่มระดับ ข้าเกรงว่าไม่ใช่แค่คนหรือสองคนจะสามารถทำได้”
“เพิ่มระดับ?” หลินเซวียนสงสัย ‘นี่หมายความว่าภารกิจได้เพิ่มความยากเข้าไปอีกสินะ’
‘แต่ถึงยังไงเราก็มาแล้ว แม้มันจะยากก็คงต้องลองดูก่อน‘ หลินเซวียนตามทหารเข้าไปในเมือง
“ข้าจะพาเจ้าไปยังหอสงครามก่อน” ชายที่มีรอยแผลเป็นบนหน้ากล่าวพร้อมรอยยิ้ม
ผังของเมืองนี้ก็เหมือนเมืองอื่น ๆ แต่มันไม่ได้มีแค่คนธรรมดา พวกเขาทุกคนล้วนเป็นผู้ใช้พลังวิญญาณ แต่ละคนต่างมีอาชีพเป็นของตัวเองในทุกขั้นพลัง
บางคนที่ขั้นพลังต่ำก็ทำงานเรื่องส่งของ รับจ้างทั่วไป ขณะที่คนขั้นพลังสูงจะทำหน้าที่ป้องกันเมืองเป็นต้น
ตลอดทางหลินเซวียนได้มองดูด้วยความอยากรู้อยากเห็น
เพียงไม่นานพวกเขาก็มาถึงยังหอสงคราม
หอนี้ตั้งอยู่ในเขตราชวังของเมืองที่มีตึกรามบ้านช่องรอบด้าน
“หอสงครามอยู่ข้างในนั้น” ชายแผลเป็นกล่าว
เมื่อเข้าไปยังหอสงครามแล้ว หลินเซวียนก็พบว่ามีผู้คนอยู่ที่นี่ไม่น้อย คนส่วนใหญ่เป็นคนหนุ่ม และอยู่ขั้นเปิดชีพจรระดับแปดขึ้นไป คนเหล่านี้คือศิษย์มีฝีมือของตระกูลและสำนักต่าง ๆ
เมื่อเข้ามาถึง สายตามากมายก็ได้มองไปที่หลินเซวียน
“เปิดชีพจรระดับแปด เจ้าหนุ่มนี้เป็นใคร?” ผู้คนเริ่มพากันพูดคุย
ขั้นพลังของหลินเซวียนนั้นไม่ได้โดดเด่น อย่างน้อยก็ในเฉพาะกลุ่มคนเหล่านี้ กล่าวได้ว่าอยู่ระดับล่างของพวกเขา
“สหายน้อยผู้นี้คือหลินเซวียนจากสำนักซวนเทียน และมาทำภารกิจที่หอสมุนไพรเช่นกัน เขาสามารถหนีรอดจากมนุษย์อินทรีถึงหกตัวได้ และมายังเมืองเป่ยเหว่ยเพียงลำพัง” ชายแผลเป็นกล่าว
“หนีรอดจากมนุษย์อินทรีหกตัวได้!” ทันใดนั้นสายตาที่เคยดูถูกได้หายไป พวกเขาต่างมองหลินเซวียนอย่างเคร่งขรึมแทน
“ฮึ่ม!” เสียงอุทานอันเย็นเยือกได้ดังขึ้น
หลินเซวียนมองไปและพบว่าฟานช่งกำลังนั่งอยู่ไม่ไกลนัก อีกทั้งยังมองมาด้วยความไม่พอใจ
“พวกเราจะเริ่มภารกิจได้เมื่อไหร่?” ใครบางคนเอ่ยขึ้น “หรือต้องรอต่อไป?”
“แต่เดิมมันเป็นเพียงภารกิจกู้ภัยง่าย ๆ เท่านั้น แต่ไม่นานมานี้ มันมีสงครามเกิดขึ้นใกล้ ๆ ที่นั่น มันจึงทำให้บริเวณโดยรอบเต็มไปด้วยอันตราย ภารกิจกู้ภัยหอสมุนไพรจึงค่อนข้างลำบากตอนนี้” ชายแผลเป็นกล่าว
“ถึงแม้มันจะอันตราย แต่ก็คงไม่ยากเกินหากส่งยอดฝีมือเข้าไปอีกไม่ใช่หรือ?” ใครบางคนเอ่ยถาม
“หลังจากสงคราม แม่ทัพของฝั่งเราได้ถูกยาพิษ และยาแก้พิษมีอยู่แค่ในหอสมุนไพรร้อยปีเท่านั้น พวกอสูรจึงได้ส่งกำลังมาล้อมมากกว่าเดิม” ชายแผลเป็นกล่าวพลางถอนหายใจ
“เป็นเช่นนี้เอง” หลินเซวียนตระหนักได้ว่าภารกิจดูจะไม่ง่ายอีกต่อไป
“แต่พวกเจ้าก็วางใจได้ แม่ทัพใหญ่เจิ้งจะนำยอดฝีมือเข้าไปครั้งหน้า และพวกเจ้าสามารถร่วมทัพได้”
“ครั้งนี้หากใครยื่นมือช่วยเหลือกองทัพ ผู้นั้นก็จะได้แต้มสงครามด้วย”
“แต้มสงคราม!” ชายหนุ่มเหล่านี้ต่างมีดวงตาที่เปล่งประกาย เพราะนอกจากสมุนไพรชั้นยอดแล้ว พวกเขายังจะได้แต้มสงครามด้วย
เมื่อเห็นหลินเซวียนยังสงสัยอยู่ ชายแผลเป็นจึงอธิบายต่อ “แต้มสงครามนี้สามารถใช้แลกเปลี่ยนทรัพยากรที่หอวรยุทธ์ในจักรวรรดิเซี่ย ไม่ว่าจะเป็นวิชา อาวุธ หรือเครื่องของอุปกรณ์ต่าง ๆ หากมีแต้มสงครามเพียงพอ เช่นนั้นก็นำไปแลกได้ตามต้องการ การได้มาซึ่งแต้มสงครามนั้น ขึ้นอยู่กับความสำเร็จของภารกิจและประสิทธิภาพของการสังหารศัตรู”
“นำไปแลกเปลี่ยนทรัพยากรได้!” หลินเซวียนพยักหน้า เขาเข้าใจทันทีที่ว่าทำไมคนหนุ่มเหล่านี้ถึงดีใจ เพราะมันเป็นเหมือนกับของมีค่า
หอวรยุทธ์ในจักรวรรดิเซี่ยนั้นไม่ใช่สถานที่ธรรมดา ทุกสิ่งภายในนั้นเป็นของคุณภาพเยี่ยมทุกชิ้น
ทันใดนั้นสตรีผ้าคลุมสีเงินได้เดินเข้ามาก่อนจะหรี่ตามองไปรอบด้าน
เมื่อสตรีผ้าคลุมสีเงินเดินเข้าไปในห้องโถง หลินเซวียนได้มองนางอย่างเคร่งขรึม
เพราะเขาสัมผัสได้ถึงแรงกดดันที่หนักอึ้งราวกับภูเขา
“ขั้นสมุทรวิญญาณ!” สายตาทุกคนในห้องโถงเต็มไปด้วยความกลัว
สตรีผ้าคลุมสีเงินนั้นไม่ได้อายุมากนัก เท่าที่เห็นคงประมาณสิบหกถึงสิบเจ็ดปี แต่ลมหายใจของนางกลับสูงกว่าคนเหล่านี้
ฟานช่งและคนอื่น ๆ ที่อยู่ขั้นเปิดชีพจรระดับเก้าถึงกับหัวใจสั่นแรง พวกเขาไม่อาจสงบได้เป็นเวลานาน
มันคือการบรรลุเส้นชีพจรทั้งเก้าในร่างกาย และก่อตัวให้เป็นมหาสมุทรแห่งพลังวิญญาณ เมื่อบรรลุขั้นนี้แล้ว ความสามารถในการต่อสู้จะเพิ่มขึ้นอย่างมาก แต่ไม่ใช่ว่าขั้นเปิดชีพจรระดับเก้าทุกคนจะบรรลุขั้นสมุทรวิญญาณได้
นักสู้หลายคนมักจะติดอยู่ในขั้นเปิดชีพจรระดับเก้าไปตลอดชีวิต แต่มันก็เป็นเรื่องปกติ อย่างไรก็ตาม สตรีผู้นี้กลับสามารถบรรลุขั้นสมุทรวิญญาณได้ กล่าวได้ว่า พรสวรรค์ของนางน่าสะพรึงอย่างแท้จริง
สตรีผู้นั้นมองไปยังผู้คนรอบด้านราวกับราชินี และท้ายที่สุดก็มองไปยังหลินเซวียน
“ข้าไม่คาดคิดว่าจะได้พบกับเจ้าที่นี่ หลินเซวียน!” เสียงของสตรีผ้าคลุมสีเงินดังขึ้นอย่างชัดถ้อยชัดคำ
‘หลินเซวียน? นางรู้จักไอ้หลินเซวียนคนนั้น!?’ ม่านตาฟานช่งตีบตันขณะมอง
“เสี่ยวเยว่!” หลินเซวียนพยายามสงบตัวเองไว้ หัวใจของเขาเต็มไปด้วยความผันผวน สตรีผู้นี้รู้จักเขาจริง ๆ นางมีชื่อว่า หลินเยว่ และมาจากคฤหาสน์จอมดาบ
“ฮึ่ม!” หลินเยว่ขมวดคิ้วพร้อมปล่อยคลื่นพลังไปทางหลินเซวียนอย่างคลุ้มคลั่งราวกับจะกลืนกินเขา
ขณะเดียวกัน พลังในตัวหลินเซวียนก็ปรากฏออกมาราวกับคมดาบที่ฟันทะลุทุกสิ่ง
“ห้ามใครเรียกชื่อนี้อีก” คลื่นพลังของหลินเยว่ถอยกลับไปเหมือนสายน้ำ จากนั้นนางมองหลินเซวียนอย่างลุ่มลึก
“คฤหาสน์จอมดาบ ไว้ข้าจะกลับไปสักวันหนึ่ง!” หลินเซวียนกล่าวขณะปล่อยลมหายใจอันแรงกล้าออกมา
ฉากนี้ทำให้ผู้คนรอบด้านมองอย่างงุนงง ชายหนุ่มคนนี้กับสตรีผู้หยิ่งผยองรู้จักกันได้ยังไง? อีกทั้งยังดูมีความแค้นกันด้วย?
หลินเซวียนไม่กล่าวสิ่งใดต่อ ขณะเดียวกัน ชายแผลเป็นได้อธิบายถึงสถานการณ์ให้หลินเยว่ฟัง นอกจากจะอยู่ขั้นสมุทรวิญญาณแล้ว หลินเยว่ยังเป็นผู้รับผิดชอบอาวุธและวิชาการต่อสู้ต่าง ๆ ในครั้งนี้ด้วย
หลินเซวียนหาที่นั่งและพยายามทำใจให้สงบ ‘หลินเยว่นั้นเป็นแค่อัจฉริยะในตระกูล แต่ก็ไม่ได้เป็นคนที่เก่งที่สุด แต่นางยังไปถึงขั้นสมุทรวิญญาณแล้ว เราเกรงว่าคนพวกนั้นในคฤหาสน์จอมดาบก็คงจะไม่ต่างกัน’
‘มีเวลาอีกตั้งปีครึ่ง และเราจะต้องกลับไปยังตระกูลอย่างสมศักดิ์ศรีให้ได้!’