ตอนที่ 95 จู่โจมแบบกลุ่ม
กลุ่มของพวกเขาเดินทางอย่างรวดเร็วภายในป่า หลินเซวียนจะออกไปนำหน้าทุกครั้งเมื่อมีคำเตือนจากเซียนสุรา
ครึ่งชั่วยามต่อมา กลุ่มของหลินเซวียนก็ได้มาถึงเมืองหลินซาน
หลินเซวียนได้นำแผนที่ออกมาศึกษา
“ในเมืองหลินซานมีสัตว์อสูรมากมายอยู่รอบด้าน และไม่มีทางจะซ่อนตัวได้เลย” เฟิงปู้ฟ่านชี้ไปตรงกลางแผนที่ “นี่คือจุดที่หอสมุรไพรร้อยปีตั้งอยู่ พวกเราต้องบุกเข้าไปให้ถึงที่นั่น”
“ไม่สงสัยเลยว่าทำไมถึงชื่อเมืองหลินซาน เพราะมันล้อมไปด้วยเทือกเขาไท่หังทั้งสามด้าน” หลินเซวียนมองแผนที่ เมื่อเห็นผืนป่ารอบด้าน เขาจึงต้องเลือกเส้นทางที่จะผ่าน
“ไปดูก่อนก็แล้วกัน!” หลินเซวียนเก็บแผนที่และพุ่งออกไปพร้อมกับกลุ่มของตน
ทันใดนั้นพวกเขาได้หยุดเคลื่อนไหวทันที ครั้งนี้ไม่ได้เกิดจากการเตือนของหลินเซวียน แต่พวกเขาทั้งสามต่างตกตะลึงและรู้สึกได้ถึงแรงกดดันตรงหน้า พลังวิญญาณมากมายของสัตว์อสูรรวมตัวกันอยู่ในระแวกนี้ มันราวกับหอกที่มองไม่เห็นกำลังทิ่มแทงอยู่รอบด้าน
“มันแรงกดดันของฝูงหมาป่าขนเพลิง!” เฟิงปู้ฟ่านลดเสียงของตนลงขณะกล่าว
หลินเซวียนหยุดอยู่กับที่พร้อมสื่อสารกับเซียนสุราข้างใน
“ด้านซ้ายมีพวกมนุษย์อินทรี ส่วนด้านขวามีพวกด้วงหินอยู่” เซียนสุราใช้สัมผัสของตนเพื่อบอกหลินเซวียน
“ตอนนี้พวกเราต้องตัดสินใจเลือกเส้นทางที่จะไป!” หลินเซวียนกล่าวเสียงต่ำ “มีฝูงหมาป่าขนเพลิงอยู่ตรงหน้า ส่วนด้านซ้ายเป็นพวกมนุษย์อินทรี ส่วนด้านขวาเป็นด้วงหิน”
เฟิงปู้ฟ่านยิ้มอย่างขมขื่น กล่าวตามตรง พวกเขาไม่อยากจะเผชิญหน้ากับกลุ่มใดทั้งนั้น
“พวกเราจะทำตามศิษย์พี่ทั้งสอง!” จางเหาและหลิวหลานมองหลินเซวียนอย่างเลื่อมใส
หลินเซวียนมองเฟิงปู้ฟ่านก่อนจะกล่าว “ข้าไม่แนะนำให้ไปทางซ้าย ระหว่างตรงกลางและทางขวา ศิษย์พี่เฟิงว่าทางไหนดีกว่ากัน?”
“ข้าฟังน้องหลินดีกว่า” เฟิงปู้ฟ่านรู้สึกว่าคนที่แนะนำได้ดีที่สุดก็คือหลินเซวียน
แน่นอนว่าเขารีบเอ่ยอย่างรวดเร็ว “พวกเราจะไปทางขวา หากเทียบกับสัตว์อสูรทั้งสอง พวกด้วงหินน่าจะผ่านไปง่ายกว่า“
หลินเซวียนตัดสินใจได้ทันที เพราะพวกเขาอ่อนสุดในสี่กลุ่มหลัก ดังนั้นย่อมเสียเปรียบหากเผชิญหน้ากับจิ้งจอกขนเพลิง หรือมนุษย์อินทรี
แต่ด้วงหินนั้นมีดีแค่พลังป้องกัน ส่วนพลังอย่างอื่นแค่ธรรมดา
“ศิษย์พี่เฟิงนำหน้า พวกเจ้าทั้งสองแยกไปอยู่คนละข้าง พวกเราจะเดินทางแบบขบวน เมื่อไปได้สักครึ่งทาง ข้าจะเปลี่ยนตำแหน่งกับศิษย์พี่เฟิง” หลินเซวียนกล่าว เวลานี้กลุ่มยึดเขาเป็นแกนหลักไปแล้ว
ทั้งสามคนไม่มีข้อโต้แย้งใด
จากนั้นไม่นาน ตรงหน้าของพวกเขาได้มีพลังงานผันผวนปรากฏขึ้น และตามมาด้วยเสียงคำราม
“ระวัง!”
ทั้งสี่เคลื่อนที่อย่างระมัดระวังโดยมีเฟิงปู้ฟ่านนำหน้า
แต่เมื่อพวกเขาพบกับสัตว์อสูร ความตกตะลึงก็บังเกิด
มีด้วงหินหลายร้อยตัวคลานอยู่ข้างหน้าพวกเขา สัตว์อสูรตัวมีนี้ยาวประมาณหนึ่งจั้ง พวกมันมีหาง แขน และขา รูปร่างดูคล้ายกิ้งก่า อีกทั้งยังมีกระดองที่หนาเตอะและมีหนามพิษติดอยู่
โฮ้ โฮ้ โฮ้!
เสียงคำรามดังขึ้นอีกครั้ง ด้วงหินหลายร้อยตัวกำลังร้องเพลงพร้อมกัน มันราวกับว่าเสียงฟ้าร้องนับไม่ถ้วนดังก้องอยู่ในหูของพวกเขา พลังวิญญาณของพวกมันได้รวมตัวขึ้นกลางอากาศ ก่อให้เกิดบรรยากาศน่าสะพรึง
ความกลัว ถูกฆ่า และกระหายเลือด!
เสียงคำรามของสัตว์อสูรส่งผลเชิงลบให้พวกเขาในทันที โดยเฉพาะจางเหาและหลิวหลาน ใบหน้าของพวกเขาซีดลงและเหงื่อท่วนตัว
แต่ในหมู่พวกเขา คนที่สงบนิ่งมากที่สุดก็คือหลินเซวียน เพราะหลินเซวียนเข้าใจถึงเจตนารมณ์แห่งดาบ พลังทางจิตของเขาจึงแข็งกล้าขึ้น แม้จะมีสัตว์อสูรนับร้อยตรงหน้ามันก็ไม่ทำให้เขาหวั่นกลัว
“ใจเย็นไว้!” หลินเซวียนกระซิบ
เสียงของเขาราวกับคมดาบที่ตัดความรู้สึกเชิงลบของพวกเขา จางเหาและหลิวหลานได้สติกลับมาก่อนจะเริ่มหายใจ
“ขอบคุณพี่หลินมาก!” พวกเขารู้สึกขอบคุณอย่างแท้จริง
แม้ตอนแรกพวกเขาจะไม่พอใจหลินเซวียน แต่หลังจากร่วมทางกันมา พวกเขาก็เริ่มนับถือชายผู้นี้ ตอนนี้แม้จะปะทะกับกองทัพศัตรู หลินเซวียนก็ยังไม่เสียสติ
มันจึงทำให้พวกเขารู้สึกนับถือหลินเซวียนขึ้นมา
เฟิงปู้ฟ่านเองก็ตกตะลึงมากกว่าใคร เมื่อเจอสถานการณ์เช่นนี้ เขาสามารถทำได้แค่ปกป้องตัวเอง แต่หลินเซวียนกลับไม่มีความผันผวนใด ๆ ทั้งสิ้น ช่องว่างในเรื่องนี้ทำให้เขาเกิดความกลัวขึ้นมา
อีกด้านหนึ่ง เมื่อฝูงสัตว์อสูรเห็นมนุษย์ไม่มีความกลัว พวกมันจึงโกรธและคำรามอย่างบ้าคลั่ง
บนอากาศ เงาอสูรอันน่าสะพรึงของพวกมันได้ปรากฏขึ้นอย่างช้า ๆ พร้อมกรงเล็บที่กำลังข่วนดิน
ทันใดนั้นบรรยากาศรอบด้านก็เริ่มสั่นไหว
แต่หลินเซวียนทราบว่าเงาอสูรนั้นเป็นแค่ภาพลวงตา
“เปิด!” ทันใดนั้นแสงดาบได้ส่องสว่างขึ้นจากตัวหลินเซวียน อีกทั้งยังมีเงาดาบขนาดใหญ่ปรากฏขึ้นด้านหลังของเขา
เงาอสูรและพื้นแผ่นดินได้ถูกแยกออกเป็นเสี่ยง ๆ ราวกับกระดาษที่ถูกตัด
โฮ้ โฮ้ โฮ้!
สัตว์อสูรเกราะดินเขย่าร่างอย่างรุนแรงก่อนจะพุ่งเข้ามาอย่างบ้าคลั่ง
“เอาเลย!” หลินเซวียนตะโกน จากนั้นทั้งสี่คนได้พุ่งเข้าไปปะทะราวกับดาบที่แหลมคม
“โล่!” เฟิงปู้ฟ่านตะโกนขึ้น จางเหาและหลิวเหลียนรีบนำโล่สีดำออกมาและโคจรพลังวิญญาณ
พลังวิญญาณสีเหลืองปรากฏขึ้นเป็นรูปร่างของเกราะป้องกันที่หนาแน่น เฟิงปู้ฟ่านที่อยู่ด้านหน้าถือดาบใหญ่สีน้ำเงินเข้าต่อสู้กับศัตรู เขาสังหารทุกตัวที่ขวางทางอย่างองอาจ
หลินเซวียนรับหน้าที่สังเกตการณ์และระวังพวกที่บินได้
ขณะเดียวกัน สัตว์อสูรเกราะดินกระโดดเข้าใส่หลินเซวียนอย่างรวดเร็ว
“ฝ่ามืออัสนี!”
เงาฝ่ามือสายฟ้าลอยออกมาปะทะกับสัตว์อสูรที่กระโจนเข้ามา แต่จำนวนมันมีมากเกินไป
จางเหาและหลิวหลานได้โคจรพลังเข้าไปมากขึ้นจนเกราะขยาย ถึงอย่างนั้นพวกเขาก็สัมผัสได้ถึงแรงกระแทกมหาศาลจากโล่เป็นครั้งคราว
อย่างไรก็ตาม หลินเซวียนไม่ได้คิดจะสังหารกองสัตว์อสูรเหล่านี้ เขาแค่พยายามจะฝ่าไปเท่านั้น
กลุ่มของพวกเขาฝ่าดงเข้าไปอย่างรวดเร็ว ขณะเดียวกันเฟิงปู้ฟ่านเริ่มสนับสนุนไม่ไหว
“พี่เฟิง เปลี่ยนตัว!” หลินเซวียนตะโกนขึ้น
ชายทั้งสองกระโดดสลับที่กัน หลินเซวียนได้ไปอยู่ตรงหน้าสุด
จากนั้นดาบเพลิงโลหิตได้ปรากฏขึ้นในมือของเขา
“วายุสะบั้นเมฆา!”
ทันทีที่มาถึง เขาใช้วิชาที่แข็งแกร่งทันที พายุหมุนสามลูกพุ่งไปจากจุดที่ยืนอยู่และพัดสัตว์อสูรจนกระเด็น
พวกสัตว์อสูรตัวใดที่อยู่ด้านหน้าจะถูกดาบของเขาแทงไปเช่นกัน
โฮ้ โฮ้ โฮ้!
ทันใดนั้นด้วงหินตัวขนาดใหญ่ได้ปรากฏตัวขึ้น จากนั้นมันได้พุ่งมาทางกลุ่มของหลินเซวียนทันที
เข็มพิษตรงกระดองของมันส่องประกายสีเขียวอันเย็นเยือก มันราวกับว่าสามารถคร่าผู้คนได้ในครั้งเดียว