กลิ่นหอมตลบอบอวนไปทั่วห้อง แต่น่าแปลกที่เธอกลับไม่รู้สึกดีเลยสักนิด
ไนติงเกลยกผ้าเช็ดหน้าขึ้นมาปิดจมูก พลางลอบแอบมองพ่อแม่ของตัวเองอย่างลับ ๆ
ลุดวิก ฟอร์ซ มีผมสีขาวราวกับไข่มุกเช่นเดียวกับไนติงเกล ต่างจากผู้แม่ที่มีผมสีน้ำตาลเกาลัด ซึ่งเป็นสีธรรมดาที่พบเห็นได้บ่อยในอณาจักรวอร์ลุงกาแห่งนี้
‘ไนติงเกลไม่ได้อะไรมาจากแม่เลย…’
ขนาดนั่งสำรวจจนหมดทุกซอกทุกมุมแล้ว เจ้าบ้านก็ยังอ่านเอกสารไม่เสร็จเสียที จนท้องของเด็กสาวเริ่มส่งเสียงคำรามออกมา โชคดีที่ไม่มีใครได้ยิน
ในที่สุด ดยุคฟอร์ซก็เงยหน้าขึ้นมาเสียที แต่ดวงตาเย็นเฉียบที่มองมานั้น ทำเอาเธอรู้สึกอยากให้เขากลับไปจ้องเอกสารต่อยาว ๆ เลยทีเดียว
“ได้ข่าวมาว่าฝันร้ายอีกแล้ว?”
“…ค่ะ”
‘ทุกคนดูเหมือนจะชินชากับอาการฝันร้ายของเธอเหลือเกินนะ ไนติงเกล? ในนิยายไม่เห็นมีเขียนไว้เลย’
และก็เป็นอีกครั้งที่เธอรู้สึกหมดหวังกับนิยายห่วยแตกเล่มนั้น
เธอกำลังรอประโยคต่อไปจากพ่อ แต่กลับกลายเป็นว่าอีกฝ่ายดันเล่นเกมจ้องตากับเธอตาไม่กระพริบ
ลุดวิก “…”
ไนติงเกล “…”
‘อะไร๊!? มีอะไรก็พูดมาสิ ฉันไม่เนียนหรืออะไร มีอะไรก็พูดมาเลย แกจะนั่งจ้องหน้าฉันทำแมวอะไร!!’
แต่สุดท้ายก็ไม่มีอะไร เขาผายมือให้เริ่มระบประทานอาหารไปทั้งอย่างนั้น
‘พี่แกต้องการอะไรวะฮะ??’
ถึงจะงง แต่ก็ทำอะไรไม่ได้ เด็กสาวหั่นเสต็กพริกไทยดำเข้าปากด้วยท่วงท่างดงาม
และนี่ก็คือข้อดีอีกหนึ่งอย่างของความทรงจำจากร่างกาย ‘มารยาทผู้ดี’ ไงล่ะ!
…แต่ต่อให้ร่างกายคุ้นชินยังไง ก็ไม่ได้ทำให้ลิ้นของเธอคุ้นชินตามไปด้วยเลยสักนิด
เพราะเมื่อนำเสต็กชิ้นน้อยยัดใส่ปาก เธอก็พบกับสัมผัสชุ่มฉ่ำของเนื้อวัวที่ไม่สุกมากกระจายอยู่เต็มช่องปาก อีกทั้งยังมีกลิ่นของไวน์ผลไม้ที่คละคลุ้งในโพรงจมูก ราวกับว่ามันต้องการจะมอมเมาเธอให้หลงไหลไปกับรสสัมผัสของวัตถุดิบ
รวมถึงรสชาติของพริกไทยที่ถูกหมักเข้ากับเนื้อวัวจนเข้าที่ ช่วยสอดแทรกประสานอยู่บนผิวหนังที่ถูกย่างจนเกรียมเล็กน้อย ช่วยเพิ่มเทคเจอร์ให้กับอาหารจานนี้อย่างสมบูรณ์แบบ
…นี่คือรสชาติอันชั่วร้ายที่ทำให้คนสามารถยอมตายเพียงเพื่อได้ลิ้มรสมัน
‘ค-โครตอร่อย!!’
ความอร่อยของอาหารทำให้เธอแทบจะลืมกลิ่นหอมของโอเมก้ากับสายตาเย็นเฉียบของพ่อไปจนหมด
เด็กสาวยังคงท่าทีสง่างามเอาไว้อยู่ แต่เมื่อสังเกตุดี ๆ ก็จะพบว่าความเร็วในการตักนั้นเพิ่มขึ้นเล็กน้อย
‘ฉันยอมตาย ถ้าเกิดได้กินอาหารอร่อยอย่างนี้ทุกวัน…แต่จะว่าไป สถานการณ์ตอนนี้มันก็เหมือนกันเลยนี่หว่า?’
เธอยักไหล่ ก่อนจะยัดเสต็กเนื้อเข้าปากเป็นคำต่อไป โดยไม่ได้รับรู้เลยว่ามีสายตาหนึ่งจ้องเธออยู่
“…”
คนผู้นั้นคือนายหญิงของบ้าน แม่ของไนติงเกลนั่นเอง
ดวงตาสีเกาลัดมองท่าทีอารมณ์ดีของลูกสาวอย่างไร้อารมณ์ แต่เพียงไม่นานนัก เธอก็ถอนสายตากลับไป
ครอบครัวฟอร์ซต่างก้มหน้าก้มตาจัดการอาหารของตัวเองต่อไป
*****************************************
หลังจากรับประทานอาหารเสร็จ คนรับใช้ทั้งบ้านก็พากันแหแหนออกมาส่งคุณหนูไปโรงเรียน ประหนึ่งถ้าเรียกคนทำสวน กับคนเลี้ยงม้ามาได้ก็คงทำไปแล้ว
นั่นแหละฮะ มากันหมดทุกคน ยกเว้นพ่อแม่ตัวเอง
ดยุคฟอร์ซอ้างว่าต้องไปจัดการธุระต่อ จึงมาส่งไม่ได้ ส่วนดัชเชส…ก็นะ โอเมก้าที่มีคู่แล้วคงไม่ถูกอนุญาติให้ออกมาข้างนอกอย่างโจ่งแจ้งหรอก
แค่พวกเขายอมสละเวลามาทานอาหารเช้าร่วมกันก็บุญแค่ไหนแล้ว
ไนติงเกลยักไหล่ ตอนนี้เธอถูกพาขึ้นมาอยู่บนรถม้าแล้ว กำลังเตรียมตัวออกเดินทางไปโรงเรียน
‘ว่าแต่มีเวทย์มนต์ไม่ใช่หรอ ทำไมไม่วาร์ปไปล่ะ? สงสัยกลัวไม่ได้อวดรวย…’
การอวดรถม้าในสมัยนี้ ก็คงจะคล้ายกับการอวดรถสปอร์ทในโลกของเราล่ะมั้ง
ในรถม้ามีเพียงไนติงเกลแต่เพียงผู้เดียว ส่วนคนรับใช้คนอื่น ๆ นั่งอีกคันตามมาข้างหลัง ทำให้เธอมีโอกาสพักหายใจหายคอบ้าง
แต่หน้าเสียดายที่โอกาสพักครั้งนี้ทั้งสั้นทั้งเมื่อย เพราะขับมาได้เพียง 15 นาที เธอก็สามารถมองเห็นเค้าโครงของโรงเรียนได้อย่างลาง ๆ แล้ว
“ด่านต่อไป โรงเรียนสินะ…”