“เฮ้ นายว่าฝ่าบาทเอียนแปลกไปไหม?”
นักเรียนชายคนหนึ่งกระทุ้งข้อศอกใส่เพื่อนของเขาที่เป็นเบต้าเหมือนกัน
“หะ? ก็ปกตินี่ ท่านก็ยังหล่อเหมือนเดิม?”
“ต-แต่ท่านยืนอยู่อย่างนั้นโดยไม่พูดมา 5 นาทีแล้วนะ…”
“หืมม”
เพื่อนของเขาทำเพียงลากเสียงตอบกลับมา
เขาเกาศีรษะ คนพวกนี้มัวแต่หลงเสน่ห์เจ้าชายจนลืมมองความผิดปกติไปเลยหรือนี่…
‘เพราะงี้เขาถึงได้เรียกว่า ความงดงามนั้นเป็นบาปสินะ’
แกร่ก! โพเดียมเริ่มมีรอยร้าว
ความจริงแล้วไนติงเกลก็อยากใช้สกิลแถ LV 100 ของเธอในการกล่าวสุนทรพจน์ต่อไปเหมือนกัน ถ้าไม่ติดว่าตอนนี้แค่จะทรงตัวอยู่ด้วยมือสองข้างก็จะตายอยู่แล้วอ่ะนะ…
เธอจึงได้แต่ปั้นหน้าให้ดูดีที่สุด เพื่อดึงดูดความสนใจแทน
[สกิล ‘นั่นมัน UFO!!’ LV 5 เปิดใช้งาน]
‘เดี๋ยวนะ เทคนิคในตำนานของฉันก็เอามาเป็นสกิลด้วยหรอ…’
ต้องขอบคุณความหล่อวัวตายควายล้มของเจ้าชาย ที่ปกติเพียงแค่มองก็เหมือนจะเห็นออร่า ‘พี่หล่อ พี่รวย’ เรืองแสงออกมาอยู่แล้ว และด้วยการผสมผสานเข้ากับสกิลของไนติงเกล ทำให้ออร่าของเจ้าชายแข็งแกร่งขึ้นไปอีก!
“น-นี่นายไม่คิดว่าพระองค์ทรงแปลกไปจริง ๆ หรอ?”
“หืมม จะว่าแปลกก็คงแปลกอยู่หรอก อา… ดูรัศมีความศักดิ์สิทธิ์ที่โผล่มาด้านหลังของท่านสิ!”
“หา!? พูดบ้าอะไ– …โอ้ จริงด้วย”
เบต้าหนุ่มหยุดพูดแล้วจ้องไปที่รัชทายาทอย่างพินิศ และเขาก็พบเรื่องน่าทึ่งเข้า
ภาพลวงตาของมงกุฏกับผ้าคลุมที่โผล่มาเสมอ เปลี่ยนกลายเป็นวงแหวนกับปีกแทน!
“จ-เจ้าชายกลายเป็น…นางฟ้า!”
โอ้ ว้าว อา!
เสียงของฝูงชนดังขึ้นมาเป็นระยะ ทั้งหมดต้องขอบคุณสกิลของเธอ+เบ้าหน้าของเจ้าชาย ที่ทำให้กุมหัวใจของหนุ่มสาวน้อยใหญ่ไว้อยู่หมัด!
หลังจากวันนั้นก็ได้มีข่าวลือออกมาประมาณว่า ‘องค์ชายรัชทายาทจงใจยื้อเวลากล่าวสุนทรพจน์ เพื่อปลอบประโลมจิตวิญญาณของผู้คน’ ทำให้ความนิยมของเขาเพิ่มสูงขึ้นอย่างงง ๆ
โชคดีที่สกิลภาพลวงตาถูกใช้ร่วมกับสกิล ‘การเชื่อมต่อระยะไกล’ ซึ่งเป็นผลงานของนายเอกผู้มากความสามารถ ทำให้หนูทดลอ– อะแฮ่ม! เป้าหมายอย่างไนติงเกลไม่ต้องเสียพลังเวทย์เลยสักนิด
ไม่เหมือนกับสกิลแรงโน้มถ่วงที่เธอต้องเป็นคนรับช่วงต่อเองเพราะอีกฝ่ายแบกพร้อมกันสองสกิลไม่ไหว
แกร่ก กึก!
แต่ตอนนี้ดูท่าโพเดียมน่าจะไม่ไหวแล้ว…
********************************
ตึก ๆ ๆ
เสียงฝีเท้าดังก้องกังวาลไปทั่วห้องโถงที่เงียบสงัดไร้ผู้คน
เธอสาวเท้าเดินไปอย่างไม่รีบร้อน แต่ก็เต็มไปด้วยความคาดหวัง
สถานที่ที่เธอกำลังมุ่งหน้าไปนั้น เป็นเขตหวงห้ามอย่างเด็ดขาด ไม่ว่าใครก็มิอาจย่างกรายเข้ามาได้
เพราะงั้นในบริเวณนี้จึงมีเพียงเสียงฝีเท้าและเสียงหัวใจเต้นของเธอเพียงผู้เดียวเท่านั้น
ตึก ๆ ๆ
ที่สุดปลายทางของโถงทางเดินคือประตูสีน้ำเงินที่สลักด้วยลวดลายดอกไม้งดงาม ในที่สุดเธอก็หยุดฝีเท้าลงที่หน้าประตูบานนั้น
เด็กสาวหยุดจัดระเบียบทรงผมเล็กน้อยก่อนจะผลักประตูเข้าไป
“อรุณสวัสดิ์เพคะ ฝ่าบาท”
“…”
เธอกล่าวทักทายผู้ที่เหม่อมองไปนอกหน้าต่างอย่างเงียบงันโดยไม่แม้แต่จะหันกลับมามองเลยด้วยซ้ำ
แต่แทนที่เธอจะโมโหกับกิริยาหยาบคายของเขา เด็กสาวกลับยิ้มอย่างอ่อนโยนให้คนผู้นั้นแทน แม้ว่าเขาจะไม่สนใจเธอเลยก็ตาม
“ครั้งนี้เองก็เอาแต่จ้องไปด้านนอกอีกแล้วนะเพคะ”
เด็กสาวถอดผ้าคลุมออก เผยให้เห็นเส้นผมสีน้ำเงินและใบหน้าน่ารักแบบสาวน้อย
เธอคือพระราชธิดาองค์เล็กสุดของราชวงศ์ไวน์เบิร์ก ‘อิซาเบล ไวน์เบิร์ก’ นั่นเอง
ณ บัดนี้ ‘เจ้าหญิงอิซาเบล’ ไม่มีอยู่อีกแล้ว เหลือเพียง ‘อิซซี่’ สาวน้อยในห้วงความรักแต่เพียงเท่านั้น
อิซาเบลเดินเข้ามาใกล้ชายที่เอาแต่จ้องหน้าต่าง และมองใบหน้าด้านข้างของเขาอย่างรักไคร่
“เอาแต่เงียบอีกแล้วนะเพคะ…อา แต่ท่านที่เป็นแบบนี้เองก็น่ารักไม่หยอก”
“…”
เจ้าหญิงหัวเราะคิกคักสมกับอายุของเธอ ผิดกับชายหนุ่มที่อายุไม่ต่างกันมาก แต่ทำตัวไม่หยี่ระต่อสิ่งใด เขาทำเพียงมองออกไปนอกหน้าต่างราวกับหุ่นกระบอกที่ไร้ชีวิต
“แต่อย่างไร…หม่อมฉันก็ยังชอบท่านที่หัวเราะมากกว่าอยู่ดีเพคะ”
เธอไม่แม้แต่จะอยากรู้ว่าเขากำลังมองไปยังที่แห่งใดและไม่แม้แต่จะสนใจว่าเขาจะรู้สึกยังไง เพราะตราบใดที่ชายคนนี้ยังอยู่ที่นี่ เธอก็สามารถอยู่เคียงข้างเขาได้ตลอดเวลา
สาวน้อยเอื้อมมือไปปัดเส้นผมของอีกฝ่ายผ่านรวงแก้มซีดขาวอย่างเบาบาง
“ตำนานนั้นกล่าวว่า เรือนผมของราชวงศ์นั้นจะส่องประกายยามต้องแสงตะวัน…”
แสงอาทิตย์ที่สะท้อนเข้ากับเส้นผมสีน้ำเงิน ก่อให้เกิดเป็นประกายขึ้นคล้ายกับแดดที่สะท้อนบนผิวน้ำ
ตอนนี้ข้อพิสูจน์ได้ปรากฏขึ้นต่อหน้าของเธอแล้ว อิซาเบลในเงามืดสางเส้นผมที่ดูราวกับใยไหมศักดิ์สิทธิ์ พลางรำลึกถึงอดีตไปด้วย
“จำได้ไหมเพคะ ตอนสมัยที่หม่อมฉันยังเล็ก หม่อมฉันมักจะขอเล่นผมท่านอยู่เสมอเลย…ตอนนั้นท่านพี่หญิงก็อยู่ด้วย”
กึก
นิ้วเรียวยาวของชายหนุ่มกระตุกเล็กน้อย ยามที่เธอกล่าวถึงอีกบุคคล แต่เด็กสาวไม่ได้สนใจ
เธอกำลังนึกถึงความทรงจำล้ำค่า สมัยที่พวกเขาสามคนยังนั่งเล่นกันอย่างมีความสุข
“หม่อมฉันชอบเวลาที่พวกเราสามคนได้อยู่ด้วยกันจริง ๆ เพคะ”
“…”
ดวงตาสีดำสนิทของชายหนุ่มลุ่มลึกลง
“น่าเสียดายที่ครั้งนี้หม่อมฉันไม่สามารถดึงนางเข้ามาได้ แต่ว่าครั้งต่อไป…”
และทันใดนั้นก่อนที่เธอจะพูดจบ เสียงอะไรบางอย่างที่คล้ายกับกระจกแตกก็ดังขึ้น
เพล้ง!
“!”
ก่อนที่จะได้ทันตั้งตัวรอยแตกขนาดใหญ่ก็ปรากฏขึ้นที่บานประตู และจากนั้นก็มันกระจายไปทั่วห้องเสมือนโรคติดต่อ
แคร่ก ๆ!
ทั้งหมดเกิดขึ้นภายในชั่วพริบตา แต่อิซาเบลกลับมีสีหน้าประหลาดใจเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ราวกับว่าแค่ถูกเด็กซนมาเคาะประตูบ้านเล่น
แต่แน่นอน ว่าในใจก็ไม่ได้เยือกเย็นเหมือนที่แสดงออก เธอเองก็เสียดายเวลาที่อุตส่าห์ตกแต่งที่นี่ขึ้นมาให้เหมือนสถานที่จริงที่สุดเช่นกัน
“ดูเหมือนที่แห่งนี้จะถูกค้นพบแล้วสินะเพคะ…เฮ้อ ช่างเถอะ อย่างไรเสียยามเมื่อท่านจากไปมันก็จะพังลงอยู่ดี”
หลังจากเกิดเรื่องทั้งหมด เด็กสาวก็เพิ่งจะปล่อยมือออกจากเส้นผมของเขา
“หม่อมฉันจะรอวันที่พวกเราสามคนได้กลับมาอยู่ด้วยกันอีกครั้งนะเพคะ ——”
เพล้ง!
ภาพสุดท้ายที่เขาได้เห็นก็คือ รอยยิ้มดั่งดอกไม้แรกแย้มของอีกฝ่าย ซึ่งขัดกับสภาพแวดล้อมที่พังทลายลงอย่างสิ้นเชิง
โดยไม่รู้ตัว ชายหนุ่มเอื้อมมือออกไป แต่สุดท้ายก็สัมผัสได้เพียงความว่างเปล่า…
***************************************
เมื่อเขาลืมตาขึ้นอีกที ก็พบว่าตัวเองกลับมาที่โลกความเป็นจริงแล้ว
“…”
ภาพรอยยิ้มของเด็กสาวเมื่อครู่ยังตราตรึงอยู่ในสมองของเขา ต่อให้พยายามสะบัดออกไปเท่าไหร่ก็ไม่อาจลืมได้
“หม่อมฉันจะรอวันที่พวกเราสามคนได้กลับมาอยู่ด้วยกันอีกครั้งนะเพคะ เสด็จพี่”
…
“…อิซซี่–”
ปัง!
ทันใดนั้นเองก็มีเสียงเปิดประตูดังสนั่นราวกับลูกกระสุน จนเขาอดยกหัวขึ้นมามองไม่ได้
และแล้วชายหนุ่มก็ได้เห็นใบหน้าที่คุ้นเคยสองคน กับคนไม่รู้จักอีกหนึ่งโผล่หัวเข้ามา
“ว้าว ฝ่าบาทยังอยู่ในห้องน้ำจริง ๆ ด้วย! ทั้ง ๆ ที่เมื่อครู่ยังหาไม่เจอเลยแท้ ๆ!”
“…”
เอียน ไวนเบิร์ก ตื่นขึ้นมาในห้องน้ำบนโลกความจริง พร้อมกับถูกคนสามคนล้อมเอาไว้…