ในที่สุดอาจารย์วิสเวียสก็กลับมา คราวนี้เธอกระโดดลงมาจากวังวนน้ำที่ก่อตัวบนเพดาน
“…ทำอะไรกันคะเนี่ย?”
เธอเอียงศีรษะเมื่อเห็นเหล่านักเรียนรุมตอมเจ้าชายรัชทายาทเหมือนแมลงวันผึ้ง
“…ช่างเถอะ”
แปะ! เสียงปรบมืออันเป็นเอกลักษณ์ของเธอ ทำให้เอียนหลุดพ้นจากฝูงชนมาได้
“ขอโทษที่มาสายนะคะ…แต่น่าเสียดายจริง ๆ ที่ต้องจบคาบเรียนไว้เท่านี้ก่อน…”
หญิงสาวยังคงน้ำเสียงเนิบนาบเหมือนคนง่วงดั่งเช่นเคย แต่ดวงตาของเธอที่จับจ้องไปที่เอียนนั้นเฉียบคมเหมือนใบมีด
“…”
เขาเองก็จ้องกลับไปที่เธอเช่นกัน ทั้งคู่จ้องตากันอยู่ครู่หนึ่ง และก็เป็นฝ่ายคนโตกว่าที่ยอมแพ้
“เฮ้อ…ทุกคนกรุณาเก็บคู่หูของตัวเองกลับไปด้วยค่ะ”
“เอ๋! แต่หนูยังไม่เคยได้ลองใช้เลยนะ!”
เด็กผู้หญิงคนหนึ่งโพล่งออกมา ในขณะที่กอดเจ้าจระเข้ยาวไม่ต่ำกว่า 2 เมตร เอาไว้
“เสียใจด้วยค่ะ…แต่ว่ากฏต้องเป็นกฏ…แล้วก็ห้ามนำออกมาเล่นโดยไม่ได้รับอนุญาติด้วยนะคะ”
เปร๊าะ!
โดยไม่สนเสียงบ่นของเหล่านักเรียน วิสเวียสดีดนิ้วออกคำสั่งให้เหล่าสัตว์วิเศษกลับไปยังที่ ๆ พวกมันมา
“อ้าา ไม่นะ จระเข้น้อยของฉัน!!”
โดยไม่สนใจการลาจากอันแสนเศร้า มวลคลื่นที่กำลังคำรามอยู่ด้านบน ตกลงมากลืนกินทุกคนในเบื้องล่างทันที!
ซ่าา!
“จระเข้!!”
…
และเมื่อเอียนลืมตาขึ้นมาอีกที เขาก็พบว่าตัวเองได้มายืนอยู่ในบริเวณโถงทางเดินแห่งหนึ่ง
“ถวายบังคมเพคะ…องค์ชายรัชทายาท”
พร้อมกับอาจารย์ที่ปรึกษาของเขาแค่สองคน
‘วิสเวียส สตรอมบอลี่…’
ดูเหมือนว่าผู้หญิงคนนี้จะทำการแยกเขาออกจากกลุ่มนักเรียนคนอื่น ๆ …ส่วนด้วยเจตนาใดนั้น เขาเองก็พอจะรู้อยู่บ้าง…
“หม่อมฉันรู้สึกทราบซึ้งเป็นอย่างมากที่ได้เป็นรับหน้าที่เป็นอาจารย์สอนพระองค์…”
ผมสีบลอนด์ขี้ม้าของเธอร่วงลงมาตามแรงโน้มถ่วง ยามเมื่อทำท่าถอนสายบัวให้แก่เขา แต่ถึงกระนั้นเขาก็หาความเคารพจากใจจริงไม่พบเลยแม้แต่น้อย
“…และก็ในฐานะที่หม่อมฉันเป็นอาจารย์ที่ปรึกษาของพระองค์…หม่อมฉันก็มีสิทธิ์ที่จะตำหนิการกระทำที่ไม่เหมาะสมของท่านได้สินะเพคะ”
หลังจากกล่าวคำถามที่ไม่ต้องการคำตอบเสร็จ หญิงสาวก็เงยหน้าขึ้นสบตากับเขาอย่างระแวดระวัง ผิดกับท่าทีเหมือนตัวสล็อตยามปกติ
“ฝ่าบาทองค์ชายรัชทายาท…พระองค์ทรงโจมตีบุตรชายบารอนผู้นั้น โดยไม่คำนึงถึงความต่างชั้นของสถานะ…เช่นนี้ถือว่าเป็นการข่มเหงรังแกผู้น้อย ซึ่งผิดจากหลักคำสอนของพระชนนี หม่อมฉันกล่าวผิดหรือไม่เพคะ?”
วิสเวียสร่ายยาวโดยไม่เปิดช่องให้เอียนแทรก ซึ่งเขาก็ไม่ได้กะจะทำเรื่องน่ารำคาญแบบนั้นตั้งแต่แรกแล้ว
แต่ว่า…
“…ใช้สถานะของอาจารย์ที่ปรึกษา ในการบ่งชี้ความผิดของราชวงศ์…เจ้าคิดดีแล้วหรือ? สตรอมบอลี่”
“…!”
หญิงสาวชะงักไป อาจเป็นเพราะที่ผ่านมาเขาไม่เคยโต้ตอบเลยสักครั้ง ทำให้เธอลืมไปว่าเขาเองก็เป็นสายเลือดสีน้ำเงินเหมือนกัน
*****
แผนการของวิสเวียสนั้นไม่ซับซ้อนมาก และก็ใช้ได้ดีมาโดยตลอดตั้งแต่ปีแรกที่รัชทายาทอยู่ในการดูแลของเธอ
เธอมักจะใช้นักเรียนที่มีสถานะระดับต่ำในการยั่วยุเจ้าชาย
หากเขางับเบ็ด เขาก็จะกลายเป็นเจ้าชายที่รังแกคนอ่อนแอ
แต่หากเขาเลือกที่จะเมิน เขาก็จะกลายเป็นคนขี้ขลาด…
ซึ่งรัชทายาทก็เลือกแบบที่สองมาโดยตลอด จนทำให้มีฉายาว่า ‘องค์ชายเกียจคล้าน’
คราวนี้เองก็เช่นกัน…บุตรชายบารอนที่มีหนี้ท่วมหัว แต่กลับสอบติดอันดับหนึ่งของโรงเรียน ช่างเป็นหมากที่ยอดเยี่ยม
โชคดีที่ต่อให้คราวนี้เธอไม่ต้องใช้เงินล่อ ชายคนนั้นก็เลือกที่จะท้าทายเจ้าชายด้วยตัวเอง อาจเป็นเพราะต้องการเรียกร้องความสนใจ? หรือไม่ก็…
“ฝ่าบาาทท!! กระผมมาเพื่อขอท้าดวล!!”
และก็เป็นอีกครั้งที่เธอยกมุมปากขึ้น
ถ้าหากรัชทายาทชนะ เขาก็จะกลายเป็นคนใจร้ายที่รังแกโอเมก้าแสนอ่อนแอ แต่ถ้าแพ้ เขาก็จะกลายเป็นเรื่องขบขันให้ขายขี้หน้า…ซึ่งอย่างไหนก็ดีต่อตัวเธอทั้งนั้น
แต่ว่า…
“…หะ”
เจ้าโอ้เมก้าคนนั้น…
“แต่น่าเสียดายนะ ที่ผมไม่ได้ถนัดแค่ธาตุเดียว!”
‘เจ้านั่นมันไม่ได้อ่อนแอเลยสักนิด!’
เธอมองเปลวไฟสีแดงที่ลุกโชดช่วงบนข้อเท้าของจูเลียซอย่างเหลือเชื่อ
‘…บ้าไปแล้ว เปลี่ยนธาตุในทันทีเลยเนี่ยนะ!?’
กลับกลายเป็นว่าเธอดูถูกฝีมือของคนที่สอบได้ที่หนึ่งเกินไปหน่อย
บุตรชายบารอนคนนั้นแข็งแกร่งมาก การต่อสู้ของพวกเขาเต็มไปด้วยความดุเดือด ชนิดที่ว่าต่อให้ใครเป็นฝ่ายแพ้-ชนะก็ไม่มีใครบ่น
‘…และเจ้าชายก็เป็นฝ่ายชนะมาได้…’
เธอยังจำใบหน้าตื่นเต้นของพวกนักเรียนรอบ ๆ ที่พากันชื่นชมเขาได้ดี…
คราวนี้แผนการของเธอเละไม่เป็นท่า และนั่นก็ทำให้เธอใจร้อนเกินไป…
…แต่ถึงกระนั้นเธอก็ไม่คิดว่าเขาจะเป็นฝ่ายย้อนกลับมาแบบนี้เลย
“…ใช้สถานะของอาจารย์ที่ปรึกษา ในการบ่งชี้ความผิดของราชวงศ์…เจ้าคิดดีแล้วหรือ? สตรอมบอลี่”
เกือบสองปีที่เป็นอาจารย์ที่ปรึกษา วิสเวียสเคยพูดคุยกับเขาตรง ๆ แบบนี้น้อยครั้งมาก…
‘เจ้าคิดดีแล้วหรือ? สตรอมบอลี่’
หญิงสาวตัวสั่น เมื่อนึกถึงว่าประโยคเมื่อครู่ไม่ได้มาถึงตัวเธอที่เป็นอาจารย์ แต่เป็นฐานะเจ้าตระกูล ‘สตรอมบอลี่’
‘ดันข้ามเส้นไปซะแล้ว…’
“หม่อมฉัน…ขอประทานอภัยเป็นอย่างยิ่งเพคะ”
นี่คือความผิดของเธอเองที่ใจร้อนเกินไป ไม่ว่าจะได้รับคำสั่งมาจากใคร เธอก็ไม่ควรรีบร้อนจนลืมสถานะตัวเองเช่นนี้…
ถ้ารัชทายาทหมดความอดทนล่ะก็ ไม่ใช่แค่เธอ แต่ตระกูลอัศวินเล็ก ๆ อย่างสตรอมบอลี่คงถูกบดขยี้ในพริบตา…
******
ความจริงแล้วเอียนเองก็ไม่ได้อยากต่อปากต่อคำสักเท่าไหร่ แต่พอคิดว่า ‘หมอนั่น’ เป็นต้นเหตุที่ทำให้เขาโดนหาเรื่อง เอียนก็อดอารมณ์บูดไม่ได้
เพราะงั้นเมื่อได้ยินคำขอโทษจากปากของเธอแล้ว เอียนก็สะบัดตัวหันหลังกลับทันที
“ไปบอกจูปิเตอร์ซะ ว่าอย่าได้กังวลไป…อย่างไรเสีย ‘ดวงตาแห่งท้องทะเล’ ก็เลือกเราอยู่ดี”
“!”
‘จูปิเตอร์ ไวน์เบิร์ก’ พระราชโอรสองค์โตสุด…พี่ชายคนโตของเอียน
วิสเวียสตัวเกร็งเมื่อรู้ว่าอีกฝ่ายทราบว่าเจ้านายของตนเป็นใคร แต่ก็ยังทำตัวนิ่งเฉยมาโดยตลอด
“…รับทราบเพคะ”
เธอเพิ่งจะสูดหายใจได้เต็มปอด หลังจากที่ได้ยินเสียงฝีเท้าเดินจากไป…
ตั้งแต่เมื่อไหร่กันที่เธอรู้สึกห่างเหินกับเขามากขนาดนี้?
วิสเวียสยังคงจำเจ้าชายผมสีน้ำเงิน ที่เดินตรงเข้ามาหาเธอในวันเปิดเทอมปีแรกได้ดี
“…ห้องน้ำ”
“หะ? เอ่อ…เดินตรงไป แล้วเลี้ยวขวาเพคะ”
ทั้งซื่อตรง และไม่อ้อมค้อม ผิดกับตัวเธอที่เห็นแก่ตัว และกลับกลอก
“…ขอบคุณ”
กล่าวขอบคุณออกมาได้อย่างง่ายดาย แม้ว่าจะไม่จำเป็นเลยก็ตาม
“…เฮ้อ”
หญิงสาวคลี่รอยยิ้มเศร้า ๆ ออกมา เมื่อนึกถึงเด็กคนหนึ่งที่เธอทำลายทิ้งเองกับมือ เพียงเพื่ออนาคตของตระกูล
แต่ทว่าเธอย้อนกลับไปไม่ได้อีกแล้ว มีแต่ต้องเดินหน้าต่อเท่านั้น
“…ทรงเปลี่ยนไปเยอะเลยนะเพคะ…ฝ่าบาท”
.
.
.
.
Extra
เอียน : *เดินกลับมา*
วิสเวียส : “! ม-มีอะไรหรอเพคะ??”
เอียน : “…ห้องพยาบาล”
วิสเวียส : “…เดินตรงไป แล้วเลี้ยวซ้ายเพคะ”
วิสเวียส : ‘ไม่เปลี่ยนไปเลยนี่หว่า…’