ตอนที่ 1-1 หม่าม้า
สายตาของเขาจับจ้องไปยังข้าวห่อสาหร่ายในมือ มินจุนค่อยๆ แกะพลาสติกออกพร้อมกับรู้สึกพิศวงกับประสิทธิภาพการย่อยอาการของตัวเองที่กระตือรือร้นอยากอาหารแม้กระทั่งในเวลาแบบนี้
ก็นะ คนเฒ่าคนแก่ก็เคยพูดไว้นี่นา ไม่ว่าจะอยู่ในสถานการณ์ไหนก็ตาม อิ่มท้องไว้ก่อนถึงจะเป็นเรื่องดี ไม่รู้สิ เดิมทีเราก็หน้าตาดีอยู่แล้ว พอกินเสร็จตายไป ผิวอาจจะเปล่งประกายแวววาวจนยมทูตมาเอาไปเป็นแฟนก็ได้ ฮือออ คิดๆ ดูแล้วก็กลัวแฮะ คุณพ่อ คุณแม่ ยกโทษให้ลูกชายอกตัญญูคนนี้ด้วยนะครับ ถ้าการเกิดเป็นเกย์มันคือบาป และบาปนั้นส่งผลให้ผมต้องตายแบบนี้ ช่วยคิดเสียว่าส่งผมไปแต่งเข้าบ้านใครสักคนที่อยู่ไกลแสนไกล…
มินจุนยกหลังมือขึ้นปาดน้ำตาที่ไหลลงมา ก่อนจะยัดข้าวห่อสาหร่ายเข้าปาก
“ไอ้เวรไทเซ! มาขู่กันได้ยังไงว่าจะจับไปขายคลับเกย์ถ้าเกิดแจ้งความ ถึงฉันจะตายไป แต่มันไม่จบแค่นี้แน่ ฉันจะไปยั่วยวนยมทูตในโลกหน้าให้มาพาตัวแกไปด้วยแน่นอน คอยดู!”
ปังงง!
“อ๊าก ตกใจหมด! หัวใจวายตายขึ้นมาใครจะรับผิดชอบฮะ”
มินจุนกรีดร้องเมื่อได้ยินเสียงดังขึ้นอย่างกะทันหันแล้วค่อยหันกลับไปมองด้านหลัง ทว่าข้าวห่อสาหร่ายที่เพิ่งกินได้ไม่เท่าไรกลับตกลงพื้น เขารีบแนบตัวเข้ากับกำแพงตึกตามสัญชาติญาณทันที นี่มันคลื่นสีดำในตำนานที่เขาพูดกัน จากนั้นก็กลืนน้ำลายดังอึกพร้อมตัวสั่นงึกงัก หลังพบขบวนรถเบนซ์สีดำที่เคยเห็นแต่ในภาพยนตร์ มินจุนรู้ได้เลยว่ารถเหล่านี้ไม่ได้ชวนให้รู้สึกประทับใจสักเท่าไร
ระหว่างอาศัยอยู่ในญี่ปุ่น ก็อาจจะได้พบเจอคนประเภทที่นั่งอยู่บนรถแบบนี้บ้างสักครั้งละมั้ง ถามจริงๆ เลยนะ ถ้ายากูซ่ามีแฟนจะเป็นอย่างไรกัน ถึงเขาจะคิดอะไรเพี้ยนๆ ไปบ้าง แต่ก็ยังคงรักษาระยะห่างกับขบวนรถเบนซ์ที่ค่อยๆ เคลื่อนตัวช้าลง หรือก็คือต่อหน้ายากูซ่าราวกับวัดด้วยไม้บรรทัด เหมือช่วงเวลาที่สามารถตายได้ทุกเมื่อ แม้มินจุนจะภาวนาอย่างเอาเป็นเอาตายว่าอย่ามาสนใจกันเลยก็ตาม
‘ไม่ใช่ว่าเราหล่อมากจนไปเตะตาหัวหน้าคนพวกนั้นเข้าหรอกนะ ทำยังไงดี พวกนี้ไม่ใช่เล่นๆ ด้วยสิ องค์กรคือสิ่งสำคัญ เคยได้ยินว่าหนึ่งต่อสิบก็มี ตายๆ ตรงนั้นของเราคงฉีกแน่ มันถึงตายได้เลยไม่ใช่เหรอนั่นน่ะ ถึงจะอยากตายยังไง แต่ก็ไม่อยากตายในสภาพนั้นหรอกนะ’
เมื่อได้ยินเสียง ปึง จากการปิดประตูรถและก็ตามด้วยเสียงเรียก ‘คุณชาย!’ มินจุนก็เกาะกำแพงแน่น พลางรี่ตามองไปทางรถเบนซ์ ทว่ากลับมีอะไรบางอย่างวิ่งตึกๆ เข้ามาหาก่อนจะพุ่งตัวใส่อ้อมกอดของเขา มินจุนสัมผัสได้ถึงไออุ่นและกลิ่นตัวของเด็กน้อย เขาจึงเผลอกอดสิ่งมีชีวิตที่วิ่งเข้าสู่อ้อมอกตัวเองเสียแน่น
“หม่าม้า…หม่าม้า”
หม่าม้า ช่างเป็นคำที่ฟังแล้วอบอุ่นเสียจริง ฉันเองก็คิดถึงแม่ที่เกาหลี… เดี๋ยว หม่าม้าเหรอ ใครกัน มินจุนดันตัวเด็กน้อยในอ้อมกอดออกทันที
“เดี๋ยวก่อน หนูน้อย หม่าม้าเหรอ ดูดีๆ นะ ถึงรูปร่างแบบนี้จะชวนให้สับสนไปบ้าง แต่พี่ก็เป็นผู้ชายนะ เป็นผู้ชายเหมือนหนูไง เข้าใจที่พี่พูดใช่ไหม”
พอผละตัวออกมามองแบบนี้ก็เห็นชัดเจนว่าเป็นเด็กชายอายุประมาณสามขวบ หน้าตาน่ารักพอๆ กับนักแสดงเด็กของฮอลลีวูดจนน่าตกใจ เด็กชายตัวยุ้ยผมสีดำสวมชุดทางการทับด้วยเสื้อโค้ต ดวงตาคลอน้ำตา บุ้ยปากจ้องตากับเขา
“หม่าม้า… กิ๊ดถึงฮับ หม่าม้า”
แม้ลิ้นจะยังไม่แข็งแรงนัก แต่เด็กน้อยก็พูดทุกสิ่งที่ตัวเองอยากจะบอกกับมินจุนด้วยน้ำเสียงอ้อแอ้ไม่หยุด
“อืมๆ ถ้าพี่เป็นหนูก็คงจะคิดถึงเหมือนกัน เจ้าหนูน้อย…”
“โทมะๆ โทมะ โจ”
“งั้นเหรอ โทมะ โทษทีนะ แต่พี่ไม่ใช่หม่าม้าของหนู”
“มะเอา หม่าม้า… แงงง!”
ในที่สุดโทมะก็ร้องไห้จ้าแล้วพุ่งเข้าใส่อ้อมกอดมินจุนอีกครั้ง น้ำหูน้ำตานองหน้า แถมยังอ้าปากร้องไห้จนน้ำลายเลอะเต็มเสื้อแพดดิ้งของเขาไปหมด รวมถึงกอดมินจุนแน่นขึ้นด้วย
แกร๊ก แกร๊ก แกร๊ก มินจุนได้ยินเสียงอาวุธน่าหวาดเสียวจากด้านหลัง หากเป็นคนปกติคงจะไม่เคยได้ยินมันมาก่อน เขาตัวแข็งทื่อเหมือนหุ่นยนต์ทันทีเมื่อหันกลับไปเจอปากกระบอกปืนสีดำ ชั่วขณะนั้นมินจุนกอดเด็กน้อยแล้วถอยกรูดไปด้านหลังก่อนจะทรุดฮวบลงกับพื้น เจ้าของกระบอกปืนคือชายหนุ่มสามคนในชุดสูทสีดำคุณภาพดีต่างจากปกติทั่วไปเหมือนสั่งตัดกันมาเป็นกลุ่ม มีสองคนกำลังจ้องมองมินจุน ทว่าอีกคนนึงไม่ได้มอง
สองคนนั้นท่าทางน่ากลัวอวดเบ่งจนแม้แต่สุนัขที่เดินผ่านไปมายังรู้โดยไม่ต้องมีใครบอกว่า ‘ฉันคือยากูซ่า’ ส่วนอีกคนหนึ่งกลับให้ความรู้สึกว่าเป็นชนชั้นสูงมากกว่ายากูซ่าธรรมดา อีกฝ่ายพยายามพูดกับโทมะ แต่ปืนที่ถืออยู่ยังคงเล็งมาที่หน้าผากเขา
“คุณชายมาทางนี้เถอะครับ ถ้าขืนยังทำแบบนี้คนผู้นี้จะเดือดร้อนได้นะครับ”
เดือดร้อน? เดือนร้อนอะไร หมายถึงจะฆ่าทิ้งโดยไม่ให้เหลือหลักฐานเลยสักนิดงั้นเหรอ หลังจากจินตนาการว่าศพตัวเองจะถูกฝังอยู่ในแผ่นดินของกรุงโตเกียว มินจุนก็ดันโทมะออกไปอีกครั้ง
“คือ… ทะ โทมะ ถึงจะพูดไปแล้วก็เถอะ แต่พี่ไม่ใช่หม่าม้าของหนูนะ”
“หม่าม้า ฮือออ แงงง หม่าม้า”
เมื่อเสียงร้องไห้ของโทมะยิ่งดังขึ้น มินจุนจึงหันไปมองชายหนุ่มที่ดูเหมือนจะเป็นหัวหน้าแล้วเอ่ยถาม
“แม่ของเขาอยู่ที่ไหนเหรอครับ”
“ขออภัยที่ทำให้ตกใจนะครับ ถึงจะลำบากไปสักหน่อย แต่ช่วยส่งคุณชายมาทางนี้ได้ไหมครับ”
“ได้สิครับ ผมเองก็อยากจะทำแบบนั้น”
มินจุนลูบศีรษะโทมะพร้อมกับเริ่มกล่อมเด็กน้อย
“โทมะเด็กดี ต้องไปแล้วนะ คุณลุงเขามารับแล้ว โทมะเด็กดีเป็นเด็กว่านอนสอนง่ายใช่ไหม”
“งือ โทมะเปงเดะดีฮับ หม่าม้าไปด้วยกัง”
“ไม่ได้หรอก โทมะกลับไปก่อน แล้วเดี๋ยวพี่จะตามไปนะ”
เฮ้อ ตอนเป็นเด็กเราเองก็โดนหลอกและร้องไห้กับคำพวกนี้มากขนาดไหนกันนะ แต่ก็รู้ว่าสักวันก็ต้องโกหกแบบนี้เหมือนกัน โทมะเอียงคอมองมินจุนครู่หนึ่ง ก่อนจะส่ายศีรษะไปมาแล้วพูดยืนกราน
“มะเอา ไปด้วยกัง โทมะไม่ไปคนเดว”
สมัยนี้ระดับสติปัญญาของเด็กไม่ธรรมดาเลยจริงๆ สงสัยคงเรียนรู้ตั้งแต่ออกมาจากท้องแม่แล้ว มินจุนอดทนอย่างที่สุดและพยายามเกลี้ยกล่อมโทมะอีกครั้ง
“งั้นบอกหน่อยสิว่าบ้านอยู่ไหน เดี๋ยวพี่ชายคนนี้จะไปหาแน่นอน สัญญา! จริงๆ น้า เกี่ยวก้อยสัญญาใครผิดสัญญากลืนเข็มพันเล่ม”
ทว่าเสียง ‘แกร๊ก’ ดังขึ้นอย่างน่าเสียวและมีอะไรบางอย่างชนเข้ากับท้ายทอยของเขา ปืนที่เคยทิ้งระยะห่างออกไปตอนนี้กลับมาจ่อด้านหลังของมินจุนแล้ว
‘ไม่สิ เมื่อกี้เราพูดอะไรผิดไปหรือเปล่านะ เดี๋ยว! เดี๋ยวก่อนสิ…’
“ถ้างั้นกลืนเข็มสอง… สองพันเล่ม…”
มินจุนคิดว่าเพราะจำนวนเข็มทำให้ปืนขยับมาจ่อหัวจน ร่างกายจึงสั่นสะท้านพร้อมกับเพิ่มจำนวนเข็มลงไปด้วย
“มะเอา หม่าม้าไปด้วยกัง!!”
โทมะคว้าเสื้อแพดดิ้งของมินจุนแน่นและเริ่มออดอ้อน หัวหน้ายากุซ่าที่มองอยู่จึงเอ่ยตักเตือนโทมะด้วยน้ำเสียงตื่นตระหนก
“คุณชายถ้ายังเป็นอย่างนี้ ป๊ะป๋าจะโกรธเอานะครับ”
พอได้ยินคำว่าป๊ะป๋าการกระทำทุกอย่างก็หยุดลง จากนั้นโทมะก็เริ่มร้องไห้ออกมาทันที เดี๋ยว ป๊ะป๋าเหรอ งั้นก็หมายความว่าเด็กคนนี้มีพ่อน่ะสิ เมื่อกี้เขาเรียกโทมะว่าอะไรนะ.. อ่า ใช่แล้ว เรียกว่าคุณชายไง คุณชาย! คุณชาย… เป็นลูกคนรวยที่ไหนละเนี่ย ไม่ ไม่ ไม่ใช่สิเว้ย! คนพวกนี้เป็นยากุซ่าไม่เหรอ ถ้างั้นพ่อของเด็กคนนี้ก็… เป็นไปไม่ได้น่า คงไม่ใช่บอส…หรอกนะ
บนโลกนี้มันมีเรื่องน่าตื่นเต้นอย่างกับในละครแบบนี้ที่ไหนกันล่ะ
“เกิดอะไรขึ้น”
แม้จะมาแค่เสียง ทว่าหลังได้ยินน้ำเสียงทุ้มต่ำแสนเซ็กซี่คล้ายจะเสร็จกิจก็ทำเอาส่วนล่างของมินจุนอ่อนแรง หัวใจเต้นตึกตักขึ้นมาอย่างกะทันหัน มันคือเสียงร่ำร้องจากสัญชาตญาณความเป็นเกย์ของเขานั่นเอง มินจุนกอดโทมะในอ้อมแขนแล้วค่อยๆ หันกลับไป ทว่าเด็กน้อยที่กำลังร้องไห้งอแงอยู่กับหน้าอกเขากลับหันควับไปทางเจ้าของเสียงทุ้มสุดเซ็กซี่แล้วตะโกนใส่ทันที
“ป๋มเกียดป๊ะป๋า จะไปกับหม่าม้า ฮือออ”
‘ให้ตายเถอะ อย่าบอกว่าเกลียดสิ! เกิดฉันโดนเหมารวมแล้วโดนจับตัวไปด้วยจะทำยังไง’
“ไปขึ้นรถ ทั้งคู่”
‘เห็นไหม บอกทั้งคู่เลยเนี่ย… อะไรนะ!’
ไม่ใช่แล้ว แบบนี้มันไม่ใช่แล้ว…
จากนั้นก็ไม่รู้มินจุนไปเอาความกล้ามาจากไหน เขาอุ้มโทมะลุกขึ้นแล้วสบตากับชายคนนั้น
หนึ่งวินาที สองวินาที สามวินาที….
มันไม่ใช่ระยะเวลาที่ยาวนานเลย แต่สำหรับมินจุนแล้วทุกอย่างกลับนิ่งสงัด กระทั่งอากาศก็ยังหยุดนิ่งราวกับเวลาผ่านไปเป็นพันเป็นหมื่นปี ‘ผู้ชาย’ นั่นคือเป็นคำแรกที่เข้ามาในหัวเขา เป็นคำที่เหมาะสมกับอีกฝ่ายอย่างถึงที่สุด เหมาะกับคำว่าผู้ชายจริงๆ มินจุนนึกมาตลอดว่ายากุซ่าเป็นชื่อที่ตั้งให้คนน่ากลัว ไหล่กว้าง มีไขมันระหว่างชั้นผิวหนาขรุขระ เมื่อพูดถึงยากุซ่าก็ต้องมีรอยบากบนหน้าบนเป็นมาตรฐาน
ที่จริงในโทรทัศน์มันก็เป็นแบบนั้นแหละ
แต่คนๆ นี้กลับเป็นชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหล่า เซ็กซี่สมกับเป็นผู้ชายที่สามารถพบเจอได้แค่ครั้งเดียวในชีวิต จนสามารถบรรยายชวนให้ตั้งครรภ์ได้เพียงแค่มองความเซ็กซี่นั่นครั้งเดียว
“หม่าม้า ไปด้วยกัง ป๊ะป๋าพูกว่าทั้งคู่ๆ”
มินจุนย้ายสายตาไปมองโทมะที่อยู่ๆ ก็หยุดร้องไห้แล้วมีท่าทางชอบใจขึ้นมาโดยไม่รู้สาเหตุ ขณะนั้นสติเขากลับมา เลยหันไปมองยังชายหนุ่มอีกครั้งแล้วก็ต้องก้มหน้าลงมองพื้นทำมุมสี่สิบห้าองศาในทันที มินจุนอ้าปากพูดและพยายามอย่างถึงที่สุดเพื่อไม่ให้ตัวเองสั่น
“ทะ…ทำไมผมต้องไปด้วยล่ะครับ”
“…”
“ช่วยอธิบายให้น้องเขาเข้าใจหน่อยนะครับ”
“…”
“วะ ว่าผมไม่ใช่แม่ของเขา ไม่สามารถกลับไปด้วย… ได้…”
ทันทีที่มือใหญ่สวมถุงมือหนังหยิบบุหรี่ขึ้นมา ชายหัวล้านแปลกหน้าที่ยืนอยู่ข้างๆ ก็เดินขึ้นมาจุดไฟแช็กให้อย่างนอบน้อมโดยไม่ต้องมีคำพูดใด เสียงของเขาเริ่มสั่นเลยค่อยๆ แอบซ่อนท่าทางของตัวเองพร้อมกับกลืนคำพูดที่เหลือกลับลงไป ทว่ทามินจุนรับกลิ่นบุหรี่ไม่ได้ตั้งแต่กำเนิดจึงยกมือขึ้นปิดจมูกพลางบ่นพึมพำ
‘โธ่เอ๊ย ถึงฉันจะเตรียมตัวตายแล้วก็เถอะ แต่ก็ยังไม่ได้เตรียมใจเลยนะ ถ้าเกิดโดนปืนยิง ค่าตัวลดลงเดี๋ยวยมทูตก็เมินฉันหรอก ไอ้คนเห็นแก่ตัว น่ารังเกียจ’
“นี่”
“ครับ?”
“ใครเห็นแก่ตัว”
มินจุนคิดว่าการสัมผัสได้ถึงเสียงหัวเราะในน้ำเสียงอันสุนทรีย์ชวนให้รู้สึกสยดสยองแค่เพียงได้ฟังของชายหนุ่ม มันเป็นเครื่องหมายแห่งความตายใช่หรือเปล่า
ดูเหมือนเขาจะเผลอปล่อยคำบ่นในใจออกมาอีกแล้ว แต่นอกจากจะไม่ตกใจแล้วยังนิ่งใส่อีกต่างหาก มินจุนเงยหน้าที่เคยทำมุมสี่สิบห้าองศากับพื้นขึ้นมามองชายหนุ่มตรงๆ ด้วยหัวใจที่เรียกร้องว่าอยากเห็นหน้าค่าตาอีกฝ่ายก่อนตาย
“คือผม… ช่วงนี้ลำบากมาก มากจริงๆ ครับ ถึงจะอยากตาย แต่บอกตามตรง ไม่คิดไม่ฝันว่าจะต้องตายด้วยปืนแบบนี้ คิดแค่ว่าต้องตายแบบธรรมดาๆ …อาจจะกินยา วิ่งให้รถชน ไม่ก็ลงไปในน้ำ เหมือนที่คนธรรมดาทั่วไปเขาตายกันน่ะครับ ผมไม่ได้ทำบาปอะไรนอกจากเดินผ่านถนนแคบๆ นี้เลยครับ ถึงจะไม่มีโชคแค่ไหน ยังไงก็… จริงๆ เลย เกาหลีก็กลับไม่ได้..”
“เป็นคนเกาหลี?”
“คะ.. ครับ?”
“อย่าตอบคำถามด้วยคำถาม”
“ครับ!”
แววตาของชายหนุ่มตรงหน้าคล้ายมีประกายไฟวูบขึ้นมาชั่วขณะ มินจุนกลืนน้ำลายลงคอแล้วตอบเสียงดัง รู้สึกเหมือนร่างกายตัวเองกลายเป็นหินลับมีดอย่างน่าเหลือเชื่อ เมื่อสายตาแหลมคมราวกับใบมีดจ้องผ่าน
“ขึ้นรถ”
อีกฝ่ายโยนบุหรี่ลงพื้น ทิ้งคำพูดไว้เพียงหนึ่งคำแล้วหันหลังเดินออกไปขึ้นรถของตน ชายหนุ่มอีกคนที่มีท่าทางเหมือนหัวหน้าคนพวกนั้นดูสุภาพขึ้น แต่ก็ยังคงพยายามกึ่งบังคับพาโทมะที่เกาะติดกับเขาเหมือนหมากฝรั่งขึ้นรถเบนซ์ที่ตัวมินจุนเองก็เพิ่งเคยนั่งเป็นครั้งแรกในชีวิต
“เดี๋ยวก่อนครับ ทำแบบนี้ได้ยังไงกัน! นี่ นี่! อย่าเพิ่งออกรถนะ ผมจะลง”
หลังจากถูกดันเข้าไปด้านใน มินจุนก็พยายามตะเกียกตะกายเพื่อลงจากรถ ทว่าแม้แต่โทมะก็ยังไม่ใยดีเขาเลย หัวหน้าคนพวกนั้นจึงเอ่ยขึ้นมาด้วยน้ำเสียงเรียบๆ ว่า
“ผมจะไม่ห้าม ถ้าคุณอยากลงจากรถที่กำลังวิ่งอยู่ แต่ผมไม่อาจรับประกันได้ว่ารถที่ตามมาด้านหลังจะหลบให้คุณหรือเปล่า หากคุณเป็นคนฉลาด ผมขอเตือนให้เข้าใจสถานการณ์ที่เป็นอยู่”
ถ้าลงไปแบบนี้ เราได้ตัวแบนเป็นปลาหนังแผ่นบนยางมะตอยแน่ อึก! จู่ๆ ภาพศพแมวที่เคยเห็นพร้อมกับพ่อบนถนนทางหลวงก็ผุดขึ้นมา มีแต่หนังติดถนนยางมะตอยไร้ร่องรอยของศีรษะ มันเป็นภาพที่ตามหลอกหลอนจนทำให้มินจุนต้องเป็นทุกข์อยู่หลายปี คนตัวเล็กจึงกลับไปนั่งรวบขาอย่างเรียบร้อยในที่ของตัวเองแล้วกอดโทมะไว้ราวกับเป็นฟางเส้นสุดท้ายของชีวิต