บทที่ 1 ครอบครัวของมินจุน (1)
Ink Stone_Y
นิยายเรื่องนี้เป็นภาคต่อของเรื่อง ตกหลุมร้าย! ยากูซ่าพ่อลูกติด
สามารถอ่านภาคแรกได้ที่ https://fictionlog.co/b/5ef1c085dfc843001b9a4e7e
นิยายเรื่องนี้อัปเดตทุกวัน จันทร์-พฤหัส วันละ 1 ตอน ศุกร์ – อาทิตย์ วันละ 2 ตอน เวลา 19.30 น.
________________________________________
โทมะตื่นขึ้นจากการหลับใหล เขาลงจากเตียงโดยหันส่วนก้นลงก่อนตามความเคยชิน แล้ววิ่งไปยังห้องของไดกิทันที ห้องของไดกิกับห้องของโทมะเชื่อมถึงกันทำให้เข้าออกได้ง่าย ในความมืดมิดเด็กน้อยหลบหลีกเฟอร์นิเจอร์ไปทางนั้นทางนี้ เมื่อถึงเตียงของไดกิได้ เขาก็ยิ้มกว้างอย่างสดใส
โทมะส่งเสียงฮึบๆ ระหว่างปีนขึ้นไปบนเตียงที่สูงกว่าเตียงของตัวเองเล็กน้อย เขาแทรกตัวเข้าไปข้างไดกิแต่มีที่ว่างไม่มากพออย่างที่คิด เด็กน้อยจึงทำปากยื่นแล้วดันไดกิออกไปข้างๆ จากนั้นก็หันไปมองมินจุนพร้อมกับยิ้มอย่างพอใจ โทมะสวมกอดคอของมินจุนไว้แล้วหายใจฟี้ๆ กลับเข้าสู่ห้วงนิทราอีกครั้ง
อีกด้านหนึ่ง ไดกิรู้สึกเจ็บท้องน้อยอย่างรุนแรงจนลืมตาโพลงขึ้นมา และเมื่อรับรู้ได้ถึงสัมผัสอุ่นๆ ที่กดลงบนฝั่งหนึ่งของใบหน้า เขาก็เหลือบตาไปมองหาคนที่เป็นตัวการของเรื่องนี้ ทันใดนั้นริมฝีปากที่เม้มแน่นของเขาจึงเริ่มผ่อนคลายแรงลงและเปลี่ยนเป็นรอยยิ้มที่อ่อนโยน เขาไม่รู้เลยว่าโทมะแทรกตัวเข้ามานอนหลับอยู่ระหว่างเขากับมินจุนตั้งแต่เมื่อไร
ปกติเวลานอน โทมะจะนอนดิ้นหมุนตัวไปรอบเตียงหนึ่งรอบ เมื่อเด็กน้อยต้องหมุนตัวในพื้นที่แคบๆ ก้นของโทมะจึงไปแปะอยู่กับหน้าของไดกิ ส่วนใบหน้าของเจ้าตัวก็แนบสนิทอยู่กับมินจุน ผู้ร้ายที่เล่นงานท้องน้อยของไดกิอย่างรุนแรงก่อนหน้านี้ต้องเป็นส้นเท้าของโทมะอย่างแน่นอน
โชคดีที่เป็นท้องน้อย ไม่ใช่จุดสำคัญ ไดกิโล่งใจที่อย่างน้อยตัวเองยังรอดชีวิต เด็กน้อยผู้มีอายุเกาหลีครบห้าขวบคนนี้ สมบูรณ์แข็งแรงขึ้นทุกวัน หลายครั้งที่ไดกิเองยังสะดุ้งตกใจกับลูกเตะขณะหลับของโทมะ
ไดกิค่อยๆ ลุกขึ้น จากนั้นก็จัดให้โทมะอยู่ในอ้อมแขนของมินจุนโดยระวังไม่ให้โทมะตื่น แล้วจึงลงจากเตียง เขาตื่นนอนเร็วกว่าปกติสามสิบนาทีแต่ก็ไม่นึกอยากนอนต่อ แม้เตียงนี้จะกว้างพอให้ผู้ใหญ่สองคนนอนได้สบายๆ แต่เขาก็ตัดสินใจสละที่ให้ลูกชายสุดที่รักกับคนรักของเขาอย่างเต็มใจ ไดกิจ้องมองมินจุนที่ยังคงนอนหลับไม่รู้เรื่องรู้ราวโดยกอดโทมะเอาไว้แน่นแล้วยิ้มขึ้นมาอย่างอารมณ์ดี
“ทำไมถึงได้คล้ายกันมากขึ้นเรื่อยๆ แบบนี้นะ”
ไดกิมองคนทั้งสองที่คล้ายคลึงกันตั้งแต่ทรงผมกระทั่งท่านอน แล้วจุ๊บลงที่ปากของโทมะ จากนั้นเขยิบเข้าไปใกล้คนรัก หวังจะประทับรอยจูบที่ลึกซึ้งยิ่งกว่า ทว่าก่อนริมฝีปากที่สมเป็นชายจะได้สัมผัสกับริมฝีปากที่อวบอิ่ม ถ้อยคำที่ฟังไม่เข้าใจก็หลุดพลวดออกมาจากปากของมินจุน
“ไอ้…ซังกะบ๊วย…ไปให้พ้นเลย…”
ใบหน้าของไดกิเหยเกจนน่ากลัว เขาไม่รู้ความหมายของคำแรกที่ได้ยิน แต่มีความรู้สึกที่ไม่ดีนัก ส่วนคำว่า ‘ไปให้พ้น’ ที่หลุดตามออกมา แม้ว่าอีกฝ่ายจะละเมอพูด เขาก็รับไม่ได้ ไดกิเขม่นมองมินจุนที่หลับอยู่ด้วยสายตาดุร้าย และไม่รีรอที่จะใช้สองนิ้วหนีบคางที่เรียวแหลมของมินจุนขึ้นมาอย่างเต็มแรง จากนั้นก็ปิดปากมินจุน ผู้ที่กำลังจะเดือดร้อนไม่ให้หายใจด้วยริมฝีปากอันเซ็กซี่ของตัวเอง
“อื๊อ อึบ…อุ๊บ”
เมื่อมินจุนหายใจไม่ออกเพราะโดนจูบที่เหมือนการขบกัดเข้าให้ในขณะที่กำลังหลับ เขาจึงทุบหลังของไดกิ แต่ไดกิยังคงจูบมินจุนต่อจนหนำใจ ก่อนที่จะสะบัดหน้าของอีกฝ่ายออกไปอย่างไม่ไยดี ใบหน้าของมินจุนแดงก่ำ ตาโตแทบจะหลุดออกจากเบ้าด้วยความตกใจ เขาได้แต่ขยับปากพะงาบๆ พูดว่า
“อะ…อะไรเนี่ย”
มินจุนอยากแผดเสียงตะโกนออกมา แต่ความตกใจทำให้เขาไม่มีเสียง เมื่อตั้งท่าจะลุกขึ้น แขนอวบๆ ที่โอบรัดคอเขาไว้แน่นก็รั้งให้เขาล้มลงไปบนหมอนอีกครั้ง
“หม่าม้า…”
ตอนนั้นเองที่มินจุนเพิ่งรับรู้ว่าโทมะอยู่ข้างๆ เขาจึงลดเสียงลงแล้วโวยวายเบาๆ ว่า
“นี่คุณทำอะไรของคุณ”
“ไม่รู้รึไง”
“ก็ไม่รู้สิครับถึงได้ถาม ผมนอนอยู่ดีๆ มาใช้ความรุนแรงแบบนี้ได้ยังไง”
“ความรุนแรงเหรอ นายเคยได้ยินคำว่าความรุนแรงทางภาษาไหมล่ะ”
“คุณมาพูดอะไรประหลาดๆ อีกเนี่ย”
“นอนต่อไปซะ ก่อนที่ฉันจะดึงลิ้นนายออกมา”
“ลิ้น…? อุ๊บ”
เพราะรู้ว่าไดกิเป็นคนที่พูดอย่างไหนทำอย่างนั้น มินจุนจึงยกมือข้างหนึ่งขึ้นมาป้องปากของตัวเองไว้แล้วส่งสายตาอาฆาตไปที่ไดกิ ถึงกระนั้น เขาก็ยังกลัวว่าไดกิจะมาดึงลิ้นเขาไปจริงๆ จึงมุดหน้าลงไปที่เส้นผมนุ่มๆ ของโทมะ ไม่ว่าจะยามหลับหรือยามตื่น โทมะเป็นเสมือนเพื่อนยากที่ช่วยให้มินจุนอุ่นใจได้เสมอ
***
อิสึกิใช้หางตาส่งสัญญาณไปที่ฮาคุโตะอย่างไม่หยุดหย่อน เมื่อฮาคุโตะพอเดาได้ว่าคนไม่มีไหวพริบอย่างอิสึกิพยายามจะบอกอะไรกับเขา เขาก็นึกถึงพ่อของตัวเองที่ล่วงลับไปแล้วขึ้นมา ฮาคุโตะปรับโฟกัสสายตาให้เบลอเพื่อจะได้มองไม่เห็นใบหน้าของมินจุนซึ่งนั่งอยู่ที่โต๊ะกินข้าวพร้อมทั้งกลั้นหัวเราะไว้สุดชีวิต มินจุนวางปลาแซลมอนย่างลงบนข้าวของโทมะแล้วจ้องเขม็งไปที่คนทั้งคู่
“มีอะไรครับ อิสึกิ เมื่อกี้คุณหัวเราะใช่ไหม”
“เปล่าครับ”
“อย่ามาโกหก เมื่อกี้คุณหัวเราะดังคิกๆ เลยหนิครับ”
“หม่าม้า หัวเยาะว่าอะไยนะ”
โทมะคงตลกกับคำเลียนเสียงหัวเราะ เด็กน้อยยกมือขึ้นปิดปากที่กำลังเคี้ยวข้าวแล้วดึงแขนของมินจุนไว้ น่าจะเป็นเพราะกลัวว่าจะถูกไดกิดุหากพูดเวลาเคี้ยวอาหาร
“ไม่มีอะไรหรอก โทมะ โทมะเคี้ยวข้าวดีๆ นะ กินให้อร่อย”
“มะกี้ทำเฉียงคิกๆ ใจ้ไหม หม่าม้า”
“หม่าม้าเหรอ”
เมื่อมินจุนเอียงหัวไปทางหนึ่ง โทมะก็เอียงหัวไปทางทิศตรงข้ามแล้วหัวเราะเสียงดังเอิ๊กๆ หลังจากนั้น เด็กน้อยก็ทำตาโตพร้อมกับทำปากจู๋
“โอ๊ะ…คางหม่าม้ามีอันนี้แปะอยู่”
โทมะชูสองนิ้วเป็นรูปตัววีแล้วเอามาวางแนบบนคางของมินจุน ภาพนั้นทำให้อิสึกิต้องกลั้นหัวเราะ ทว่าสุดท้ายเขาก็ระเบิดหัวเราะออกมาเสียงดังลั่นไม่ต่างจากเสียงหมีคำราม
“ผมได้ยินชัดแจ๋วเลยนะ เมื่อกี้อิสึกิหัวเราะใช่ไหม”
“หม่าม้า นั่นเสียงหัวเยาะเหยอ โทมะนึกว่าเป็นเฉียงหมี”
“ใช่แล้ว มีคนที่หัวเราะแบบนั้นด้วย เห็นไหมอิสึกิ โทมะก็ได้ยินนะครับ”
“มะ ไม่ใช่อะไร…จริงๆ คือรอยบนหน้าของคุณมินจุนมันชัดมากซะจน…”
“คุณคิดว่าใครเป็นคนทำล่ะ”
มินจุนทำจมูกบานแล้วจ้องอิสึกิเขม็ง เขากำลังโมโหใส่อิสึกิอยู่ก็จริง แต่ความสนใจทั้งหมดของเขากลับพุ่งไปที่ไดกิ ผู้ที่ดูน่าเกรงขามแม้กระทั่งเวลาดื่มกาแฟ
ไดกิคงหนีบคางของมินจุนแรงมากจริงๆ จึงเกิดเป็นรอยรูปตัววีขึ้นบนคางของเขาได้ ซึ่งนั่นหมายความว่าไดกิใช้นิ้วแค่สองนิ้วจับคางอันน่าทะนุถนอมของมินจุน ทั้งๆ ที่ควรจะประคองไว้ด้วยมือทั้งสองข้าง จูบที่รุนแรงแบบไม่มีเหตุผลของไดกิ ไม่ว่าจะกี่ร้อยครั้งกี่พันหนมินจุนก็ยินดีเสมอ แต่มินจุนอยากแก้นิสัยของไดกิที่ชอบทำให้ใบหน้าของเขาเป็นรอย แม้จะต้องยอมแลกกับอะไรก็ตาม มินจุนเพ่งมองไดกิราวกับจะเจาะให้พรุน ในขณะที่ไดกินั่งอ่านหนังสือพิมพ์ต่อไปโดยไม่หันมาสนใจเลยแม้แต่น้อย
“หม่าม้า”
โทมะดึงแขนของมินจุนทำให้มินจุนฉีกยิ้มอย่างใจดีขึ้นมาทันที แล้วหันไปหาเด็กน้อย
“ทำไมเหรอ”
“คือ…ทำไมหม่าม้ามองป๊ะป๋าแบบย่ะฮับ”
พูดจบโทมะก็เหลือกตาขึ้นไปด้านบนจนเห็นแต่ตาขาวพร้อมกับทำปากยื่น จากนั้นก็ย้ายไปนั่งข้างๆ มินจุน ดูเหมือนว่าโทมะตั้งใจจะเลียนแบบท่าทางของมินจุนที่จ้องมองไดกิ เมื่อรูจมูกของเด็กน้อยกระพือกว้างตามมาด้วยเสียงหายใจฟึดฟัด ทุกคนที่อยู่ตรงนั้น ยกเว้นมินจุน ก็เป็นอันต้องกลั้นหัวเราะไปตามๆ กัน
เคนตะพูดขึ้นว่า ‘ขออนุญาตนะครับ’ ด้วยสีหน้ากล้ำกลืนฝืนทนแล้วพุ่งตัวออกไปจากห้อง ฮาคุโตะทำหน้าบิดเบี้ยว พึมพำชื่อของพ่อผู้ล่วงลับราวกับกำลังท่องคาถา ในตอนนั้นเอง เป็นอิสึกิคนเดิมที่เอามือครูดผนังพร้อมกับระเบิดหัวเราะออกมา เมื่อมินจุนถลึงตามองอิสึกิ ไดกิก็พับหนังสือพิมพ์แล้วลุกขึ้นจากที่นั่ง
“พอได้แล้ว นายไม่รู้เหรอว่ากำลังทำให้ทุกคนลำบาก”
“ลำบากอะไรครับ คนที่เสียหายมากที่สุดคือผมนะ คนพวกนั้นลำบากตรงไหน ในห้องนี้มีผมคนเดียวสินะที่ไม่ขำ”
“หม่าม้า โทมะม่ายขำ”
โทมะตักข้าวใส่ปากด้วยสีหน้าที่ไร้เดียงสา โดยไม่รู้เลยว่าตัวเองเพิ่งทิ้งระเบิดนิวเคลียร์ไป
“อาหย่อย”
ท่าทางกินข้าวหงุบหงับของโทมะน่ารักเสียจนทำให้ความโกรธของมินจุนละลาย
“คนที่อยู่ฝั่งเดียวกับหม่าม้ามีแต่โทมะจริงๆ กินเยอะๆ นะ”
“งือ โทมะเป็นของหม่าม้า”
“หยุดแบ่งพรรคแบ่งพวกแล้วหันมามองฉันหน่อย”
“ทำไมครับ เพิ่งจะเห็นรอยตัววีบนคางผมเหรอครับ”
“มินจุน”
เมื่อเห็นอีกฝ่ายทำหน้านิ่ง เรียกชื่อเขาด้วยเสียงทุ้มต่ำ มินจุนก็เข้าไปอุ้มโทมะที่กำลังตักข้าวแล้วลุกขึ้น ไดกิเคยรักเขามาก แต่ไม่ว่าจะเป็นตอนนี้หรือเมื่อก่อน อีกฝ่ายก็แทบจะไม่มีอะไรเปลี่ยนไปเลย มีแต่ลูกดอกที่เคยเอาไว้ใช้ขู่เท่านั้นที่หายไป แต่ความน่ากลัวป่าเถื่อนยังคงอยู่ ทุกครั้งที่เป็นแบบนี้ เกราะกำบังที่ใหญ่ที่สุดของมินจุนก็คือโทมะ
“หม่าม้า เป็นอาไย”
“โทมะต้องอยู่กับหม่าม้านะ”
“โทมะจากิมข้าว…”
“อยากให้คนอื่นมาเห็นภาพนี้ด้วยจริงๆ มินจุน นายแก่ขึ้นอีกปีแล้วนะ แต่ก็ยังทำตัวเหมือนเดิม ไม่อายลูกชายบ้างเหรอ”
ไม่รู้ว่าโชเข้ามาตอนไหน เขาส่งเสียงไม่พอใจขณะที่ในมือถือกิมจิขาวที่โทมะชอบมาด้วย ถ้าเป็นเวลาปกติ มินจุนคงแว้ดใส่โชเพราะคำพูดของเขา แต่มินจุนในตอนนี้ไม่ว่างจะใส่ใจคำพูดของโช ถึงไดกิจะเป็นคนอารมณ์แปรปรวน แต่ก็ไม่เคยโมโหใส่มินจุนก่อน มินจุนรู้สึกกระวนกระวายใจว่าตัวเองคงไปทำอะไรผิดสักอย่างแม้ว่าเขาจะจำไม่ได้เลยสักนิด
“ว้าว กิมจิขาว ให้โทมะกิมใจ้ไหมฮับ”
“ใช่แล้ว ลุงเอามาให้โทมะกินไง”
“ลุงครับ ช่วยดูบรรยากาศหน่อย”
มินจุนกัดฟันและกระซิบเบาๆ แต่โชก็ไม่สนใจอะไรทั้งนั้น เขาแกะโทมะออกจากอ้อมกอดของมินจุน แล้วย้ายเด็กน้อยกลับไปนั่งที่โต๊ะกินข้าวอีกครั้ง
“ฉันจะป้อนข้าวโทมะให้เอง พากันออกไปข้างนอกเถอะ ให้เด็กๆ มันได้หายใจหายคอบ้าง เคนตะเกาะต้นไม้ร้องครวญครางอยู่เนี่ย ไม่มีวันไหนสงบสุขเล้ย”
โชพูดกับไดกิพลางป้อนกิมจิขาวให้โทมะ มินจุนหันไปมองโทมะด้วยสายตาเว้าวอน แล้วเดินตามไดกิออกจากร้านอาหารไป
ระหว่างเดินไปตามทางเดิน มินจุนแสร้งทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นสายตาที่ไดกิมองมาทั้งยังหันหน้าหนีอีกด้วย
“จะเป็นแบบนี้ไปถึงเมื่อไร”
“ฮึ”
“เดี๋ยวรูจมูกก็ปลิวไปหรอก”
“ไม่ใช่แค่รูจมูกหรอกครับ คางก็ปลิวไปแล้ว”
“มินจุน”
“เรียกทำไมบ่อยๆ”
มินจุนตะโกนออกมาพร้อมกับจองหน้าไดกิ ขณะเดียวกันกับที่มีมือใหญ่ๆ จับไหล่ของเขาแล้วดันไปติดกับกำแพง
“อะ โอ๊ย! ทะ ทำไมทำแบบนี้…”
มินจุนรู้ดีที่สุดว่าถ้าอีกฝ่ายโกรธแล้วจะน่ากลัวแค่ไหน เขาตัวสั่น หลับตาปี๋ทั้งสองข้าง จากนั้นก็คิดขึ้นได้ว่าตัวเองจะไม่ยอมรับการกระทำที่รุนแรงแบบนี้ระหว่างคนรักกันโดยเด็ดขาด มินจุนจึงลืมตาแล้วเชิดหน้าขึ้น วินาทีนั้นเขาไม่มีอะไรจะเสียแล้ว
“นี่นาย”
“ทำไมครับ”
นัยน์ตาที่ดำสนิทฉายแววอันตราย แต่มินจุนที่กำลังเดือดก็ไม่หลงเหลือความกลัวอีกต่อไป
“‘ไอ้ซังกะบ๊วย’ หมายความว่าอะไร”
ดวงตาที่เคยจ้องไดกิค่อยๆ เหลือบมองไปด้านข้าง จากนั้นก็ไร้ทิศทาง ได้แต่มองไปมาตามทางเดินที่ไม่มีใครอยู่สักคน