บทที่ 3 ครอบครัวของมินจุน (3)
Ink Stone_Y
“ไดกิ คุณยอมไปจริงๆ เหรอครับ”
“นายยังถูกคุณตาลักพาตัวไปเพราะพวกเราได้เลยนี่”
“เรื่องนั้นผมทำให้ได้อยู่แล้วครับ เพราะแบบนี้ ผมถึงเกลียดคุณไม่ลง ผมรักคุณ รักมาก มากจริงๆ”
มินจุนอยู่ในอ้อมกอดของไดกิ เขาถูไถใบหน้าไปบนหน้าอกของอีกฝ่าย ไดกิรวบเอวของมินจุนเข้ามาแนบชิดกาย สายตาของทั้งคู่สอดประสานกัน พาให้เกิดบรรยากาศที่แปลกพิกล มินจุนสัมผัสหน้าอกของไดกิด้วยใบหน้าที่มีสีเข้มขึ้น
“จูบผมหน่อยสิครับ ได…”
ทันใดนั้น น้ำเสียงอันสดใสก็ดังแทรกบรรยากาศที่เย้ายวนขึ้นมา
“หม่าม้า ทำอะไย ทำไมทิ้งโทมะไว้คนเดียว”
“คุณหนูโทมะ วิ่งไปแบบนั้นเดี๋ยว…ขอโทษครับ ผมแค่ไปหยิบเสื้อคลุมแป๊บเดียว”
เคนตะวิ่งกระหืดกระหอบเข้ามาพร้อมเสื้อคลุมลายลูกเจี๊ยบในมือ ก่อนจะรีบสวมเสื้อคลุมให้โทมะที่ยืนจับผ้าเช็ดตัวที่หลุดร่วงไปครึ่งหนึ่งเอาไว้แน่นแล้วออกจากห้องไป โทมะมองทั้งสองคนด้วยใบหน้าบูดบึ้ง ปลายจมูกของเด็กน้อยเป็นสีแดงเหมือนเพิ่งผ่านการร้องไห้มา ไดกิเห็นโทมะเป็นแบบนั้นจึงมองมินจุนด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความรู้สึกเสียดาย ก่อนจะอุ้มเด็กน้อยขึ้นมากอด
“กำลังจะไปหาโทมะไง”
“จริงหยอ”
โทมะยิ้มอย่างสดใจขึ้นมาทันทีและโอบกอดคอของไดกิไว้ ขณะที่มินจุนก็ยิ้มอย่างมีความสุขอยู่ในอ้อมกอดของอีกฝ่ายเช่นเดียวกับโทมะ
* * *
ไดกิตื่นขึ้นมาตอนรุ่งสาง เขาขยับเข้าไปใกล้หน้าต่าง เฝ้ามองทิวทัศน์ยามค่ำคืนของกรุงโซล งานที่ยุ่งมากทำให้ไม่มีเวลาจนต้องเลื่อนวันที่จะไปพบพ่อแม่ของมินจุนออกไปเรื่อยๆ แต่ด้วยความร้อนใจ ไดกิจึงยกเลิกตารางงานทั้งหมดเป็นเวลาสามวัน และขึ้นเครื่องบินมาที่เกาหลีใต้ตอนกลางดึกของเมื่อวาน
หากมาถึงไม่ดึกจนเกินไป เขาตั้งใจจะเดินทางตรงไปที่ชอนจู บ้านเกิดของมินจุนเลย แต่กว่าจะมาถึงเกาหลีก็สามทุ่มแล้ว ไดกิจึงต้องพักค้างคืนที่โซลอย่างเลี่ยงไม่ได้ และตัดสินใจว่าจะออกเดินทางไปยังชอนจูในตอนเช้าของวันพรุ่งนี้แทน
ไดกิหันไปมองที่เตียง บนเตียงกว้างที่ผู้ใหญ่สามคนยังนอนได้สบายๆ นั้น โทมะกำลังหมุนตัวไปที่ตำแหน่งสิบเอ็ดนาฬิกา ซึ่งทำให้มินจุนที่นอนอยู่ใต้เท้าของโทมะขยับตัวพลิกไปมา ก่อนกวาดมือไปทางที่ไดกิเคยนอนหลับอยู่ก่อนหน้านี้
เมื่อขยับมือกวาดไปมาเบาๆ ได้สองครั้งแล้วไม่เจอใคร มินจุนจึงเขย่าผ้าปูที่นอนจนเกิดเสียงลม แล้วผุดลุกขึ้นนั่งบนเตียง เขาขยี้ตาที่ยังไม่ค่อยจะลืม ก่อนมองไปรอบๆ และเมื่อหันไปเห็นไดกิที่ยืนอยู่ริมหน้าต่าง มินจุนก็ยิ้มยิงฟันขาวขึ้นมาท่ามกลางความมืด
มินจุนลุกขึ้นจากเตียงอย่างระมัดระวังเพื่อไม่ให้โทมะตื่น เขาเดินเข้าไปหาไดกิ ก่อนจะซุกอยู่ในอ้อมแขนของอีกฝ่ายโดยไม่ลังเล ไดกิกอดคนที่เขามองได้ไม่รู้จักเบื่ออย่างมินจุนเอาไว้อย่างแนบแน่นด้วยความรัก
“ทำไมไม่นอนล่ะครับ ตื่นขึ้นมาทำไม เอ๊ะหรือว่าตื่นเต้นจนนอนไม่หลับ บอกแล้วไงครับว่าไม่ต้องตื่นเต้น”
“เปล่านะ ฉันตื่นเพราะโดนนายถีบต่างหากล่ะ”
แน่นอนว่าไดกิโกหก หลังจากเช็คอินห้องสวีทของโรงแรมแล้ว มินจุนก็ต้องพาโทมะที่ร้องไห้กระจองอแง รบเร้าว่าเป็นตายร้ายดียังไงก็จะนอนกับหม่าม้าเข้านอน ไดกิที่ไม่ได้ทำกิจวัตรตามที่เคยจึงตื่นขึ้นมาเองตอนใกล้เช้า ระหว่างที่กำลังสองจิตสองใจว่าควรปลุกมินจุนขึ้นมาจุดไฟปรารถนาที่ไม่ได้เติมเต็มในช่วงที่ผ่านมาเพราะตัวเองกลับบ้านดึก หรือกล่อมตนเองให้หลับต่อดี ไดกิก็สลัดความง่วงงุนและมองดูทิวทิศน์ยามค่ำคืนอยู่ครู่หนึ่ง พลางข่มความปรารถนาอันร้อนแรงของตนเองไว้
“แต่ผมไม่ใช่คนนอนดิ้นนะ”
“นายจะไปรู้ได้ยังไงว่าตัวเองนอนไม่ดิ้น”
“ไม่อ่ะ ผมนอนไม่ดิ้นจริงๆ ใครๆ ก็บอกว่าผมนอนไม่ดิ้น…”
มือที่เคยจับเอวเปลี่ยนเป็นรัดเอวของมินจุนไว้แน่นราวกับเชือก แม้ว่ามินจุนเอนหัวไปด้านหลังอย่างว่องไว แต่มือของไดกิก็บิดหูของมินจุนได้อย่างเต็มแรงด้วยปฏิกิริยาตอบสนองแบบฉับพลัน
“นายไม่มีไหวพริบ หรือจงใจพูดแบบนี้กันแน่ บอกแล้วใช่ไหมว่าถ้าไม่อยากเห็นฉันเป็นบ้า ก็อย่าปริปากพูดถึงผู้ชายคนอื่น ใครเป็นคนบอกนาย ใครที่บอกว่านายนอนไม่ดิ้น”
“อ๊ากกก เปล่านะ ไดกิ! โอ๊ย หูผม พะ พ่อผมบอกต่างหากล่ะ”
“คราวนี้ถึงกับโกหกเลยสินะ”
“เปล่าสักหน่อย โอ๊ย ปล่อยก่อนค่อยคุยกันได้ไหม ให้ตาย…พ่อเป็นคนบอกจริงๆ ไว้ไปถามเองสิ หูเหอฉีกพอดี…”
“‘หูเหอ’ แปลว่าอะไรอีกล่ะ ตื่นแล้วก็จูบกันหน่อยสิ”
แม้จะออกคำสั่งอย่างเย็นชา แต่ไดกิก็จ้องมองมินจุนด้วยสายตาที่อบอุ่น เขาก้มหน้าลงไปหาริมฝีปากอันอวบอิ่ม
“ผมไม่อยากทำแค่จูบน่ะสิ…เราไม่ได้ทำกันนานมากแล้วนี่นา ไม่นึกเลยว่าผมจะต้องอยู่อย่างโดดเดี่ยวไปจนถึงชอนจูเลย”
“ฉันก็เหมือนกัน เราไปตรงนั้นกันดีไหม”
เมื่อไดกิพยักหน้าและชี้ไปทางโซฟาตัวใหญ่ที่วางอยู่กลางห้อง มินจุนก็เหลือบมองตรงนั้น ก่อนแลบลิ้นเลียริมฝีปากล่างยั่วยวนไดกิ
“เจ้าเล่ห์นักนะ ผมไม่…”
“มะอาว! อืมม งืมม…”
โทมะที่ละเมอหนักเป็นพิเศษเพราะอยู่ในช่วงกำลังโตผุดลุกขึ้นนั่งบนเตียง ก่อนละเมอเคี้ยวแจ๊บๆ แล้วล้มตัวนอนลงตามเดิม มินจุนที่เฝ้ามองภาพนั้นอยู่ลูบไล้เรือนร่างเปล่าเปลือยของไดกิไปมา ก่อนจะเขย่งปลายเท้าแล้วประทับจูบลงบนริมฝีปากของอีกฝ่าย
“ไว้เราค่อยออกแรงกันทีหลัง วันนี้แค่ผ่อนคลายเบาๆ แล้วนอนต่อกันอีกสักนิดดีไหมครับ”
“แล้วผ่อนคลายเบาๆ มันทำยังไงล่ะ”
“ตรงนี้…”
มินจุนเกือบจะพูดออกไปแล้วว่า ‘ถามเพราะไม่รู้จริงๆ เหรอ’ แต่แล้วเขาก็สอดมือเข้าไปในเสื้อคลุมของไดกิ ก่อนกอบกุมสิ่งที่กำลังตื่นตัวเอาไว้ในกำมือ
“เราแค่มาสัมผัสให้กันและกันไงครับ”
“ที่ไหนดีล่ะ”
“ตามมาสิครับ”
มินจุนจับมือไดกิ ก่อนมองดูโทมะที่ผล็อยหลับไปอีกครั้ง จากนั้นจึงเดินตรงไปยังห้องน้ำ
“วัยนี้ห้องน้ำคงจะไม่ค่อยเหมาะ…”
“คิดว่าทำในอ่างอาบน้ำสิครับ ไม่ใช่ห้องน้ำ”
มินจุนบอกกำชับกับไดกิที่กำลังบ่นพึมพำและดึงอีกฝ่ายเข้าไป แม้ไดกิจะทำเหมือนไม่ชอบ แต่ก็เดินเข้าไปตามแรงดึงของมินจุน รอยยิ้มบางๆ ไม่ยอมเลือนหายไปจากใบหน้าของเขาเลย
* * *
‘อีกสามร้อยเมตร เลี้ยวซ้าย’ เมื่อเสียงพูดดังออกมาจากระบบนำทาง มือของมินจุนที่กำลังจับมือของไดกิอยู่ก็กระชับแน่นขึ้นโดยอัตโนมัติ อีกไม่กี่อึดใจก็จะถึงบ้านของเขาที่ตั้งอยู่ในชอนจูแล้ว
ความทรงจำใหม่ๆ เกิดขึ้นเมื่อมินจุนได้นั่งรถกับไดกิเป็นครั้งแรกหลังจากมาถึงเกาหลี ทั้งสองคนจับมือกันแน่นแบบนี้มาตลอดทางตั้งแต่โซลถึงชอนจู ความที่ชีวิตถูกคุกคามจนไม่สามารถใช้ชีวิตร่วมกับครอบครัวอย่างมีความสุขได้ คงเป็นเรื่องที่คนทั่วไปจินตนาการภาพไม่ออก ดังนั้น เรื่องเล็กน้อยเหล่านี้จึงทำให้มินจุนรู้สึกตื้นตันจนท่วมท้นไปทั้งหัวใจ
ทุกครั้งที่รถยนต์แล่นผ่านร้านอาหารเกาหลีหรือร้านซี่โครงวัว โทมะที่นั่งอยู่ในคาร์ซีทสำหรับเด็กก็เผลอน้ำลายไหล ออกมาเมื่อเห็นรูปวัวที่อยู่บนป้ายโฆษณา มินจุนเช็ดมุมปากให้โทมะพลางจับมือของลูกชายเอาไว้แน่น
“หม่าม้า ไปบ้านอุนยายแย้วจะได้กิมวัวไหม”
“แน่นอนสิ คุณยายบอกว่าจะล้มวัวตัวนึงไว้รอเราเลยนะ”
“จิงหยอ ว้าว ดีจัง โทมะยักวัว จะกิมเยอะๆ เยย”
โทมะจุ๊บมินจุน เด็กน้อยมีความสุขมากจนไม่รู้ว่าทำยังไง ความน่ารักอย่างล้นเหลือของเด็กน้อยทำให้มินจุนตั้งใจจะดึงมือออกจากมือของไดกิเพื่อมากอดโทมะ แต่ไดกิกลับขมวดคิ้วพลางจับมือมินจุนไว้ไม่ยอมปล่อยจนข้อนิ้วแทบจะแตก
“อะไรครับเนี่ย ปล่อยก่อนสิ”
“หนวกหูน่า มือข้างนี้เป็นของฉัน”
“ครับ…? ห้ามไม่ได้จริงๆ ถ้าจะมาทะเลาะกับโทมะที่นี่ คุณก็แก้ปัญหาเองนะครับ ผมจะไม่ช่วยคุณจากกับดักของแม่ด้วย”
“กับดักอะไรกัน”
“อ้อ มีครับ กับดักที่มีไว้ให้คนหล่อมาติดเท่านั้น มันเป็นนรก นรกที่คุณไม่มีทางหลุดพ้นไปได้จนกว่าจะตาย ต้องกินและกินต่อไปเท่านั้นถึงจะหนีพ้นครับ จริงสิ เคนตะเตรียมยาช่วยย่อยมาแล้วใช่ไหมครับ”
มินจุนถามเคนตะที่นั่งข้างคนขับว่าเตรียมยาช่วยย่อยมาแล้วใช่ไหม เขาถามเป็นครั้งที่สามแล้วเพื่อให้แน่ใจ
“ครับ”
“เตรียมมาเยอะใช่ไหมครับ”
“ผมไม่ทานก็ได้นะครับ”
อิสึกิที่กำลังขับรถเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงที่ตื่นเต้น
“ใครบอกจะให้อิสึกิทานล่ะ เมื่อกี้ผมเพิ่งบอกไปเองนะว่าคนหล่อเท่านั้นที่จะติดกับดัก เดี๋ยวก็ได้รู้เองว่าที่ผมพูดหมายความว่ายังไง เอาล่ะ ทุกคนพร้อมแล้วใช่ไหมครับ”
“พร้อมแล้วครับ ตอนนี้เหลืออีกแค่โค้งเดียวก็น่าจะถึงบ้านของคุณมินจุนแล้วครับ”
“ถ้าอย่างนั้นอีกโค้งเดียวก็คงได้รู้กัน ไม่ต้องกังวลแล้วยิ้มให้กว้างที่สุดเท่าที่จะทำได้นะครับ คุณแม่ของผมเป็นโรคเรื้อรัง ท่านจะโมโหมากเวลาเห็นคนขี้เหร่ เข้าใจไหมครับ”
“คุณมินจุน พูดเกินไปแล้ว ที่รักของผมบอกว่าผมหล่อที่สุดในโลก…”
“ครับๆ เดิมทีความรักก็เป็นโรคที่น่ากลัวแบบนั้นล่ะครับ”
“หม่าม้า อิสึกิป่วยหยอ ต้องฉีดยาเข็มยักษ์ใจ้ไหมฮับ”
“ไม่ใช่ลูก โทมะของหม่าม้าไม่ต้องสนใจเรื่องนั้นหรอก โทมะ เวลาเจอคุณยายกับคุณตาแล้วต้องพูดว่ายังไงนะ”
“ฉะหวัดดีฮับอุนยาย ฉะหวัดดีฮับอุนตา ฉะหวัดดีฮับอุนอา”
“ถูกต้อง เก่งมาก แล้วถ้าพวกท่านให้ค่าขนม หม่าม้าบอกว่าให้หนูทำยังไง”
“ใฉ่ไว้ในนี้ฮับ”
โทมะพูดขึ้นอย่างเสียงดังพลางจับกระเป๋าสตางค์กบสีเขียวที่ห้อยคออยู่โบกไปมา
“ถ้าได้เงินค่าขนม โทมะจะเอาไปทำอะไรครับ”
“ชื้อจักกะยานฮับ ”
“ใช่แล้ว เก่งมาก โดยเฉพาะคุณยาย ไม่สิ คุณตา หนูต้องจุ๊บท่านเยอะๆ แล้วก็พูดแบบนี้นะ ทำแบบนี้เงินจะได้ไหลมาเทมา โทมะทำได้…โอ๊ย! อะไรวะ…อุ๊บ”
มินจุนยกมือขึ้นปิดปากหยุดคำสบถที่กำลังจะพ่นออกมา พลางหันไปจ้องไดกิที่ตีหัวเขาในระดับบีบีกันเมื่อครู่นี้
“ตีผมทำไมเนี่ย จริงๆ เลย เจ็บเป็นบ้า”
“ฉันบอกแล้วไงว่าอย่าสอนอะไรแปลกๆ ให้โทมะ”
“แปลกตรงไหนครับ ที่ประเทศผม พวกท่านจะให้ค่าขนมหลานด้วย แล้วถ้าโทมะตอบว่า ‘ไม่เป็นไรครับ’ คุณตาคุณยายก็จะยิ่งเสียใจนะครับ ผมขอยกตัวอย่างพี่ชายของผม ตอนคุณยายยังมีชีวิตอยู่ เขาเก็บเงินค่าขนมที่ได้จากคุณยายตลอดสามปีจนซื้อรถมินิแวนได้เลยนะครับ ครั้งนี้ผมจะเปลี่ยนจักรยานของโทมะให้เป็นของดีที่สุดระดับในโลกเลย”
“ให้มันมีขอบเขตบ้างนะ”
“ชิ ทุกวันนี้พอไม่มีอะไรจะพูด ก็บอกว่าให้มันมีขอบเขต…”
“ว่าไงนะ”
“โฮก อย่านะ ป๊ะป๋า”
“หม่าม้ามีแต่โทมะคนเดียวจริงๆ ขอจุ๊บหน่อย”
“อื้อ ได้เยย”
รถยนต์กำลังเลี้ยวโค้งพอดีขณะที่ทั้งสองคนกำลังคลอเคลียใบหน้าและมอบจุ๊บให้กัน ทันใดนั้นเสียงผิวปากเบาๆ ก็เล็ดลอดออกมาจากริมฝีปากของอิสึกิ ไดกิเองก็หันไปมองมินจุนด้วยความตกใจ จากนั้นก็เอื้อมไปจับมือเขาไว้แน่นตามสัญชาตญาณ
“ทุกคนเกร็งท้องไว้ แล้วมาเอาตัวรอดกันเถอะครับ”
เขาใส่สีตีไข่เพิ่มอีกนิด บ้านแบบดั้งเดิมหลังใหญ่ที่ผสมผสานสถาปัตยกรรมสมัยใหม่ไว้ที่หลังคามุงกระเบื้องอันโอ่อ่าราวๆ เก้าสิบเก้าช่อง ตั้งตระหง่านหันหน้ามามองพวกเขา นอกจากนี้ ยังมีป้ายขนาดใหญ่แขวนไว้กลางประตูหน้าบ้าน โดยบนป้ายเขียนเป็นภาษาเกาหลีและภาษาญี่ปุ่นว่า
[ยินดีต้อนรับ! ไดกิ โจ ลูกชายของฉัน โทมะ โจ หลานของเรา และยินดีต้อนรับเจ้าลูกหมาของเราด้วย]
จู่ๆ ไดกิก็รู้สึกอยากกลับญี่ปุ่นขึ้นมาทันทีทันใด เขาหันไปมองมินจุน มินจุนจับมือของไดกิไว้แน่นด้วยมือทั้งสองข้างของเขาและกระซิบเบาๆ ว่า
“รู้ใช่ไหมครับว่าผมรักคุณ เรามาเอาชนะไปด้วยกันนะครับ”
ทว่าเมื่อรถยนต์หยุดลงที่หน้าบ้านแบบดั้งเดิมหลังใหญ่หลังนั้น และประตูรถถูกเปิดออก มือหนาๆ ก็พาโทมะหายไปโดยที่มินจุนยังไม่ทันได้พูดอะไรเสียด้วยซ้ำ ราวกับถูกดูดเข้าไปในเครื่องดูดควัน มินจุนที่รีบตามลงมาจากรถกับไดกิที่ลงมาจากอีกฝั่งถูกผู้หญิงตัวสูงใส่ชุดฮันบกอันงามสง่าคว้าตัวไว้ พวกเขาได้แต่มองเหม่อไปที่โทมะซึ่งกำลังหมุนตัวไปมาเป็นวงกลม