บทที่ 5 ครอบครัวของมินจุน (5)
Ink Stone_Y
มินจุนตะโกนใส่จินมันด้วยความตกอกตกใจ เมื่ออีกฝ่ายใช้ตะเกียบคีบเนื้อวัวดิบหนึ่งก้อนคลุกเคล้ากับน้ำจิ้มน้ำมันงาแล้วนำไปจ่อที่ปากของโทมะ
“พ่อ เขายังเด็กอยู่เลย กินเนื้อวัวดิบไม่ได้นะ!”
“ไม่เป็นไรหรอกน่า แกก็กินตั้งแต่ตอนสองขวบ”
“ถึงยังงั้นก็เถอะ นอกจากปลาทูน่าแล้วโทมะก็ยังไม่เคยกินของดิบอย่างอื่นเลยนะ”
“งั้นก็ดีเลย ปลาทูน่าดิบกับเนื้อวัวดิบก็เหมือนๆ กันนั่นแหละ”
“ไม่สิ…ไม่ได้ ยังไงเขาก็ยังกินเนื้อวัวดิบไม่ได้”
โทมะไม่เข้าใจว่ามินจุนและจินมันกำลังพูดเรื่องอะไรกัน และรู้สึกลังเลเมื่อตะเกียบจ่อเข้ามาใกล้ปาก แต่พอเข้าใจสถานการณ์ก็เอาเนื้อวัวดิบที่ห้อยอยู่กับตะเกียบเข้าปากอย่างทันดีทันใด โทมะที่กำลังลองเคี้ยวอยู่ค่อยๆ หลับตาลง เขาเริ่มบิดตัวและขยับก้นแบบแปลกๆ ซึ่งเป็นพฤติกรรมของโทมะที่แสดงออกมาเวลาที่ไม่สามารถจัดการอารมณ์ของตัวเองได้ โทมะถึงกับน้ำตาไหลกับรสชาติอันน่าประหลาดใจของเนื้อวัวดิบที่อยู่ในปาก เขาดึงแขนของจินมันและอ้าปากกว้างราวกับลูกนก
“อุนตา อ้า”
“เจ้านี่กินเร็วจังเลยนะ อร่อยใช่ไหมล่ะ ดูสิ โอ๊ย น่ารักจริงเชียว”
“อะไรเนี่ย กินไปแล้วนี่! เอามานี่เลย”
เมื่อมินจุนพยายามแย่งจานเนื้อวัวดิบ ไดกิก็คว้าแขนของเขาเอาไว้แล้วส่ายหน้า มินจุนทำปากมุบมิบจ้องจินมันตาเขียว หลังจากนั้นจึงหันหน้าไปหาโทมะ
“โทมะ อันนี้กินแค่นิดเดียวพอนะ ถ้ากินเยอะเดี๋ยวจะปวดท้อง”
“อื้อ ยู้แย้ว”
ถึงแม้ว่าจะตอบรับไปเช่นนั้น แต่โทมะก็ยังจับจานเนื้อวัวดิบไว้แน่นด้วยสองมือของเขา ทำท่าเหมือนจะกินให้หมดทั้งจาน
“จะห่วงอะไรขนาดนั้น เดี๋ยวค่อยให้กินยาถ่ายพยาธิก็ได้ ใช่ไหม ไดกิ”
“โทมะเชื่อฟังมินจุน ไม่เป็นไรหรอกครับ”
“ทำไมไดกิของเราถึงได้พูดจาคมคายแบบนี้ ลองกินนี่ดูสิ นี่คือลิ้นวัว วัวหนึ่งตัวมันก็มีลิ้นแค่อันเดียว เพราะงั้นมันถึงได้หายากมากไงละ”
“พรืด…อุ๊บ”
มินฮยอกที่นั่งฝั่งตรงข้ามรีบเอามือปิดปากที่หลุดขำออกมาอย่างรวดเร็วแล้วเบือนหน้าหนี แต่ลมคงลอยเข้าหูของแอรยอนไปเรียบร้อยแล้ว เพราะตะเกียบไม้อันแหลมคมได้พุ่งเข้ามาตรงหน้า
“แม่ มันอันตรายนะเนี่ย จะแกว่งตะเกียบทำไมครับ”
“แล้วแกหัวเราะทำไม ที่ฉันพูดนี่มันมีอะไรน่าขำนักรึ”
“ก็แบบว่า มันก็แน่นอนอยู่แล้วที่วัวหนึ่งตัวมีลิ้นแค่อันเดียวนี่ครับ แค่คิดว่าถ้ามีลิ้นสองอัน พรืด…”
“คิดว่าฉันคลอดแกออกมาเพราะอยากกินซุปสาหร่ายเหรอ มาคิดดูตอนนี้ฉันเสียดายสาหร่ายนั่นจริงๆ เอาไปให้คุณยายที่อยู่ศาลาข้างบ้านยังจะดีกว่า ว่างั้นไหม เจ้าลูกชายคนรอง”
สายตาของแอรยอนที่หรี่มองมายังมินฮยอกพร้อมทั้งพ่นภาษาถิ่นที่ไม่รู้ต้นกำเนิดปะปนกันออกมาทำให้มินฮยอกยกช้อนขึ้นมาอย่างเงียบๆ จากนั้นแอรยอนจึงรีบหันไปหาไดกิแล้วพูดอย่างกระตือรือร้น
“โธ่เอ๊ย ดูสติสตังฉันสิ เดี๋ยวฉันจะย่างให้อย่างดีเลย ลองจิ้มกับน้ำจิ้มน้ำมันงากินดูนะ”
“แม่ ไดกิเขาไม่ค่อยกินอะไรแบบนี้หรอก แล้วไปล้มวัวอะไรมา ลิ้นถึงได้ใหญ่เท่าผ้าห่มแบบนี้”
“มินจุน เจ้าชินจังหมาของบ้านที่อยู่ด้านหลัง รอบนี้มันคลอดลูกออกมาตั้งห้าตัวเลยนะ ถ้าบอกว่าอันนี้ใหญ่เท่าผ้าห่ม ก็คงห่มได้แค่ไอ้นั่นของหมาบ้านนั้นเท่านั้นแหละ ว่าไหม”
เสียงสูดลมหายใจเข้าอย่างเร่งรีบของใครบางคนดังขึ้นท่ามกลางความเงียบงัน ความโชคดีที่ไม่รู้ภาษาเกาหลี หรือถึงแม้จะรู้ก็ไม่สามารถเข้าใจคำพูดของแอรยอนได้ช่วยชีวิตใครสองสามคนเอาไว้ ถึงกระนั้น นอกจากมินจุนที่ใกล้จะกลายเป็นศพแล้ว คนอื่นๆ รวมถึงไดกินั้นต้องกัดริมฝีปากอดกลั้นกับคำพูดของแอรยอน ถ้าหลุดหัวเราะออกไปละก็ต้องเละแน่ๆ
“มะ มะ… แม่ นั่นมันม้าหรือวัวกันแน่ ดูสิ เห็นไหม ถามว่าเห็นหรือยัง ใครหน้าไหนมันสั่งหมามากิน! เอาตัวมานี่เลย!” มินจุนที่หน้าซีดเผือดตะโกนออกไป
“มินจุน กินข้าวเถอะ แกกระโดดโหยงเหยงแบบนั้นเดี๋ยวคนเขาก็คิดว่าฉันพูดจริงหรอก ใช่ไหม รีบๆ กินเข้าไป”
แม้จะกระโดดโหยงเหยงเหมือนคนบ้าด้วยความรู้สึกขุ่นเคืองและคับข้องใจ แต่เมื่ออยู่ในสถานการณ์ที่ทำให้อะไรไม่ได้ มินจุนจึงต้องนั่งน้ำตาตก คีบเนื้อวัวที่แอรยอนปิ้งให้เข้าปากไปเรื่อยๆ เขาไม่ชอบเนื้อวัวเท่าไร ถึงกระนั้น เขาก็อยากช่วยลดปริมาณที่ไดกิจะต้องได้กิน
อาหารมื้อสายระดับงานเลี้ยงยังคงดำเนินต่อไปอีกสองชั่วโมงหลังจากนั้น ฮาคุโตะที่กินได้น้อยกว่าที่เห็นวิ่งไปห้องน้ำก่อนใครเพื่อน สักพักก็กลับมาพร้อมกับสีหน้าที่ซีดเผือดและยังคงหยิบตะเกียบคีบอาหารกินต่อ เคนตะแอบเอายาช่วยย่อยให้ไดกิโดยไม่ให้ใครรู้ ส่วนเรนก็จัดการกับอาหารที่วางอยู่ตรงหน้าตัวเองไปทีละชิ้นๆ ด้วยสีหน้าเคร่งขรึม แม้จะกังวลว่าอีกสักพักตัวเองอาจจะง่วง แต่ถ้าหักโหมจนเกินไปคงต้องวิ่งไปห้องน้ำ มินจุนจะเป็นห่วงเอาได้
คนที่ยังพอไหว กินจุและกินได้ทุกอย่างมีเพียงอิสึกิคนเดียวเท่านั้น และอิสึกิผู้มีใบหน้าที่เหี้ยมโหดที่สุดยังได้รับความเอ็นดูจากแอรยอนจากความกินเก่งของเขา หลังจากนั้น เขาถึงกับเรียกแอรยอนว่ามัมเลยทีเดียว แม้เรื่องนี้แอรยอนต้องเป็นคนสั่งอย่างแน่นอน
พ่อแม่ของมินจุน แม้แอรยอนจะเป็นคนที่ไม่เหมือนใคร แต่ก็เป็นคนที่ไว้ใจได้มากๆ เธอเป็นคนจำพวกที่ตัดสินคนอื่นด้วยมาตรฐานของตัวเอง แต่ถ้ารู้สึกว่าคนๆ นั้นใช้ได้ก็จะเชื่อใจและคบไปตลอดชีวิต เธอไม่ชอบพูดอะไรมาก ไม่ได้อยากทำอะไรเป็นพิเศษ เพียงเพราะผู้ชายที่ลูกชายของตัวเองกำลังคบด้วยเป็นยากูซ่า การกระทำของไดกิที่ปกป้องมินจุนในช่วงเวลาที่อันตรายเพียงสิ่งเดียวก็ทำให้อีกฝ่ายกลายเป็นลูกชายของเธอแล้ว
ปัญหาอยู่ที่จินมัน สำหรับเขาแล้ว มินจุนยังเป็นลูกชายคนเล็กอยู่เหมือนเดิม เขารู้สึกสิ้นหวังราวกับท้องฟ้าถล่มลงมาเมื่อลูกคนเล็กแสนน่ารักบอกว่าตัวเองเป็นเกย์ อย่างไรก็ตาม ตราบใดที่ลูกชายของเขามีความสุข เขาคิดว่าความทุกข์ของเขาก็ไม่ได้สลักสำคัญอะไร
ทว่าเมื่อลูกชายบอกว่ามีคนรักแล้ว ทั้งยังบอกว่าเขาคนนั้นเป็นยากูซ่าที่ปกครองโตเกียว เขาถึงขั้นคิดอยากจะกินยาให้ตายๆ ไปพร้อมกันเลยเดียว แต่เมื่อมินจุนพูดว่า ‘พ่อ น่ารักมากใช่ไหมล่ะ ลูกชายผมเอง ไม่เหมือนผมเหรอ’ ขณะที่ให้ดูรูปของโทมะ ความวิตกกังวลทั้งหมดก็สลายหายไปเมื่อได้มองดวงตาสดใสของโทมะ จินมันตกเป็นทาสหลานไปเสียแล้ว
อย่างไรก็ตาม จินมันผู้เก็บตัวยังคงไม่สามารถมองหน้าไดกิแบบตรงๆ ได้เลย เพราะยังคงตัดสินใจไม่ได้ว่าควรจะทำหน้าอย่างไรใส่เขาดี
มินจุนตกใจกับความมือใหญ่ใจป้ำของแอรยอนที่กำลังจะไปเตรียมอาหารเย็นหลังจากที่เพิ่งกินอาหารกลางวันเสร็จ เขาเสี่ยงชีวิตคัดค้านโดยพูดว่า ‘ผมกินไม่ได้อีกแล้ว ฆ่าผมให้ตายยังจะดีกว่า!’ ด้วยเหตุนี้ อาหารเย็นจึงจบลงด้วยมื้อเบาๆ แต่ไม่นานหลังจากนั้นก็มีปาร์ตี้เครื่องดื่มที่ทำเอาจนเมาหัวราน้ำ เรนที่นั่งคุกเข่าอยู่ด้วยกันกับบรรดากลุ่มพี่ชายของมินจุนนั้นกลายเป็นกับแกล้มของแอรยอน ทุกคนต่างใช้ภาษากายด้วยสีหน้าที่สนุกสนานและตกอยู่ในบรรยากาศที่เป็นเอกลักษณ์ของครอบครัวมินจุน
ระหว่างนั้น เมื่อเห็นจินมันลุกออกจากที่นั่ง ไดกิเองก็ลุกขึ้นตามไปอย่างเงียบๆ ทั้งๆ ที่จินมันยังไม่ทันได้เอ่ยอะไรสักคำ แต่ไดกิก็รู้สึกเป็นกังวล
จินมันเดินออกไปยังลานบ้าน เงยหน้าขึ้นมองดวงจันทร์ที่ลอยเด่นอยู่บนท้องฟ้าและรอให้ไดกิเดินเข้ามาหา ไดกิเองก็มองตามอีกฝ่ายไปยังดวงจันทร์ข้างขึ้นซึ่งมองเห็นได้เพียงซีกขวาซีกเดียว
“ฉันว่านะ พระจันทร์แบบนั้นดีกว่าพระจันทร์เต็มดวงอีก ไม่รู้ว่าเป็นเพราะขี้กลัวหรือเปล่า แต่ฉันชอบดวงจันทร์ที่กำลังจะเต็มดวงมากกว่าดวงจันทร์เต็มดวงที่กำลังจะดับแสงลงเสียอีก ฉันมักภาวนาให้มินจุนเติบโตขึ้นแบบนั้น …คือว่านายน่ะ ฆะ ฆ่าคน บ่อยไหม”
เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายพูดตะกุกตะกัก เขาก็รู้สึกได้ว่ามินจุนคล้ายกับจินมัน ไดกิตอบคำถามของจินมันอย่างจริงจัง
“ไม่ใช่แบบนั้นหรอกครับ”
“ยา… ยากูซ่าก็เป็นแบบนั้นหมดไม่ใช่เหรอ เที่ยวตระเวนเก็บค่าคุ้มครองไปทั่ว”
“พวกผมพยายามรักษาขอบเขตนะครับ โดยเฉพาะร้านค้าหลายแห่งในโตเกียวที่เปิดให้บริการในเวลากลางคืน มักจะมีความเสี่ยงและจำเป็นต้องได้รับความคุ้มครองจากใครสักคนน่ะครับ ซึ่งบางครั้งเราก็ต้องใช้กำลังอย่างเลี่ยงไม่ได้ แต่มันก็ไม่ได้เกิดขึ้นบ่อยนักหรอกครับ”
“…….”
“หลังจากได้พบกับมินจุน ผมก็หันไปให้ความสำคัญกับธุรกิจมากขึ้น ความปรารถนาของผมที่อยากจะให้ครอบครัวของผมใช้ชีวิตได้อย่างปลอดภัยน่าจะมีมากกว่าคนทั่วไปเสียอีก”
“…โทมะเป็นเด็กที่น่ารักมาก ฉันโชคดีมากทีเดียวที่ได้มีลูกหลานอย่างเขา ถ้าเธอทำเพื่อมินจุน ฉันก็คงไม่ต้องการอะไรไปมากกว่านี้ นายเองก็คงรู้ว่าเขาเป็นคนใจดีและอ่อนโยนมาก แต่ไม่รู้ว่าเพราะความอึดหรือความดื้อรั้นกันแน่ที่ทำให้เขาก่อเรื่องอยู่เสมอ ฉันเลยอยู่อย่างวิตกกังวลมาตลอด นายทำให้ฉันนอนหลับอย่างสบายใจได้เสียที”
จินมันละสายตาที่มองขึ้นไปบนดวงจันทร์แล้วหันไปมองไดกิ
“ฝากด้วยนะ”
“ผมเองก็ขอฝากตัวด้วยนะครับ”
ขณะที่จินมันเอามือวางไว้บนไหล่ของไดกิแล้วตบเบาๆ มินจุนก็วิ่งเท้าเปล่าออกมาและยืนขวางหน้าของไดกิเอาไว้
“พ่อ นี่เรียกไดกิของผมออกมาว่าเหรอ ผมจะวางใจไปเข้าห้องน้ำยังไม่ได้เลย แม่ไม่เอาไม้เรียวมาตีรึไง ทำไมพ่อทำแบบนี้อีกแล้ว”
“พ่อบอกแล้วใช่ไหมว่าให้คิดก่อนพูด ”
“มินจุน นายไม่ควรพูดแบบนั้นนะ”
เมื่อจินมันกับไดกิดุมินจุนกันคนละคำ มินจุนก็ค่อยๆ ลดคิ้วที่เลิกขึ้นจนขึ้นไปอยู่บนหน้าผากลงมา และมองคนทั้งคู่สลับกันไปมา
“ไม่ได้เรียกมาบ่นหรอกเหรอ ถ้างั้นออกมาข้างนอกทำไมล่ะครับ”
“เข้าไปข้างในเถอะครับ”
“เอางั้นเหรอ งั้นเดี๋ยวฉันรินโซจูให้นายสักแก้ว”
เมื่อทั้งสองหันหลังกลับโดยไม่ตอบคำถามของมินจุน และมุ่งหน้ากลับเข้าไปในบ้านอย่างรักใคร่กลมเกลียว มินจุนที่ยืนเท้าเปล่าอยู่ก็เรียกไดกิด้วยน้ำเสียงที่แฝงความหงุดหงิด
“ไดกิ พาผมไปด้วยสิครับ”
เมื่อหันกลับไปมองมินจุนที่ยืนอยู่แบบนั้น จินมันก็เอ่ยขึ้นมาอย่างเบาๆ
“ไปพาเขาเข้ามาเถอะ …ภายในสามสิบวินาทีนะ”
ไดกิแทบจะไม่สามารถยับยั้งความปรารถนาที่อยากกอดมินจุนเอาไว้ได้ ถ้าเป็นเรื่องของไดกิ แม้จะอยู่ต่อหน้าจินมัน มินจุนก็จะพุ่งเข้าใส่โดยไม่ระวังหน้าระวังหลัง ทันทีที่จินมันอนุญาตให้กอดได้อย่างเป็นทางการ แม้จะแค่สามสิบวินาทีเท่านั้น เขาก็หมุนตัวไปกอดมินจุนอย่างรวดเร็วราวกับสายลม
“เรามาจูบกันภายในสามสิบวินาทีกันเถอะ”
“มะ ไม่ได้เรียกมาให้ทำอย่างนั้นสักหน่อย… อื้อ”
ไดกิไม่สามารถทนได้อีกต่อไปและกัดริมฝีปากล่างของมินจุนอย่างรวดเร็ว เขาดันลิ้นเข้าไปในปากและจูบมินจุนอย่างดูดดื่มในเวลาสามสิบวินาทีอันแสนสั้น พวกเขาพร้อมจะนอนลงตรงนั้นได้ทันทีราวกับคู่รักที่ไม่ได้จูบกันมานาน
เขาทั้งสองยังคงจูบกันต่อไปโดยไม่หยุดพักหายใจ พระจันทร์สีขาวนวลกำลังส่องสว่างมายังพวกเขา