บทที่ 100 วันสุดท้ายของปี 1970
กลับมาที่บ้านของหลินชิงเหอ ตอนนี้หญิงสาวกำลังตุ๋นเนื้อกระต่ายไปด้วยแล้วก็ถกเรื่องน้องชายของเธอกับโจวชิงไป๋ไปด้วย “เกิดอะไรขึ้นกับน้องชายสามของฉันกันนะ? เขาดูซูบผอมลงกว่าแต่ก่อนหรือเปล่าคะ?”
โจวชิงไป๋เองก็ไม่รู้ เขาจึงเสนอขึ้นมา “คุณอยากกลับไปเยี่ยมไหมล่ะ?”
“ไม่กลับแล้วค่ะ” หลินชิงเหอเอ่ย เธอไม่มีความประทับใจดี ๆ ในตระกูลหลินเลย ปีที่แล้วพวกเขาทำให้เธอมีข้ออ้างดี ๆ ที่จะตัดขาดออกจากตระกูลอย่างไม่ลังเลใด ๆ แม้แต่น้อย
โจวชิงไป๋รู้สึกจนใจ ขณะที่หญิงสาวไม่สนใจตระกูลหลินอีกต่อไป
เนื้อกระต่ายตุ๋นส่งกลิ่นหอมชวนน้ำลายไหล นอกจากนี้หลินชิงเหอยังเติมเครื่องปรุงทั้งหลายเข้าไปอีก ทำให้เนื้อกระต่ายมีกลิ่นหอมชวนรับประทานมากขึ้น
แน่นอนว่าท่านพ่อกับท่านแม่โจวไม่พลาดของอร่อยแบบนี้
“เอาอาหารจานนี้ไปให้คุณพ่อกับคุณแม่นะคะ อย่าลืมบอกพวกท่านด้วยว่าเนื้อกระต่ายนี้น้องชายสามของฉันเป็นคนส่งมาให้ เขาต้องอยู่นอกบ้านทั้งวันกว่าจะจับมาได้เลยล่ะค่ะ” หลินชิงเหอยื่นจานกระต่ายตุ๋นจานเล็ก ๆ ให้โจวชิงไป๋และออกคำสั่ง
เหตุที่เธอบอกแบบนี้ก็เพื่อป้องกันไม่ให้พวกเขาคิดว่าเธอยังสนับสนุนตระกูลฝั่งแม่อยู่ เธอไม่ใช่เจ้าของร่างเดิมแล้ว ดังนั้นตระกูลหลินอย่าคิดเลยว่าจะได้อะไรจากเธอ คนเดียวที่เธอนึกถึงมีแค่น้องชายสามเท่านั้น
ต่อให้วันนี้น้องชายสามของเธอจะส่งกระต่ายมา เธอก็ให้ซาลาเปากลับเพียงสามลูกเท่านั้น
ไม่ใช่ว่าเธอไม่อยากจะให้ แต่เป็นเพราะตอนนี้เขาแต่งงานแล้ว นอกจากเป็นน้องชายของเธอแล้วเขาก็เป็นทั้งสามีและพ่อของคนอื่น ๆ
หญิงสาวจึงไม่ได้ให้ของมากนักนอกจากซาลาเปาสามลูก เพื่อไม่ให้ภรรยาของอีกฝ่ายเกิดความละโมบมากเกินไป
เพราะเมื่อรวมความกรุณาที่เธอให้ไปกับของบำรุงร่างกายหลังคลอดเมื่อคราวที่แล้ว สะใภ้สามตระกูลหลินก็น่าจะพอใจกับซาลาเปาสามลูกในครั้งนี้
ความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์ควรเป็นแบบนี้ ได้มาแล้วก็ต้องให้กลับ อย่ารับไว้ฝ่ายเดียวราวกับว่าไม่มีอะไรในโลกนี้ที่ไม่ใช่ของของตน
แต่เธอไม่รู้เลยว่าคุณค่าของซาลาเปาสามลูกนี้ไม่ได้ด้อยกว่ากระต่ายหนึ่งตัวเลย
ซาลาเปาใหญ่ขนาดนี้คงคิดเป็นราคาสองหรือสามเหมา หากเข้าไปซื้อในเมืองก็จะต้องใช้คูปองอาหาร ไม่อย่างนั้นก็อย่าหวังว่าจะซื้อได้เลย
แล้วซาลาเปาสามลูกต้องใช้คูปองอาหารเท่าไหร่กัน?
แถมภายในซาลาเปายังมีไส้อัดแน่นเต็มลูก มีทั้งหมูสามชั้น ไข่ และแป้ง ของพวกนี้มีมูลค่ามากนัก ยังไม่นับส่วนประกอบที่เหลืออีก
การให้ซาลาเปาสามลูกในคราวเดียวจึงไม่นับว่าตระหนี่แต่อย่างใด
ได้ยินคำพูดของภรรยาแล้ว โจวชิงไป๋ก็ถึงกับเหงื่อตก แต่ถึงอย่างนั้นเมื่อเขานำอาหารไปส่ง เขาก็บอกว่าน้องชายสามของภรรยาเป็นคนไปจับกระต่ายมาให้
ท่านแม่โจวฟังแล้วก็เข้าใจ
ทันทีที่ลูกชายคนเล็กกลับไปแล้ว นางก็เอ่ยกับท่านพ่อโจว “คราวที่แล้วฉันยังไม่ได้พูดอะไรกับแม่เจ้าใหญ่เลยนะ”
ท่านพ่อโจวแสดงความเห็น “อย่ากังวลเรื่องนั้นมากนักเลย”
ท่านแม่โจวไม่ตอบอะไรและรีบไปอุ่นแป้งจี่ จากนั้นพวกเขาก็ทานเนื้อกระต่ายตุ๋นคู่กับแป้งจี่ ซึ่งทานเท่าไหร่ก็ไม่พอ เพราะว่ามันอร่อยโอชะอย่างยิ่ง
“จากที่ผมเห็นนะ ครอบครัวอาสี่กำลังไปได้สวยเลยล่ะ หลังปีที่วุ่นวายนั้นไปแล้วผมก็ไม่เห็นว่าอาสี่จะอดอยากเลยเพราะเมียเขาบำรุงอย่างดี” ท่านพ่อโจวให้ความเห็น
เขารู้สึกว่าฝีมือการทำอาหารของภรรยาลูกชายคนเล็กเข้าขั้นปรมาจารย์โดยไม่มีที่ติใด ๆ เลย
ในแต่ละครั้งที่ผ่านมา อาหารจานเนื้อที่บ้านนั้นนำมาให้ล้วนเป็นอาหารเลิศรส ลูกชายและหลานชายทั้งสามต่างได้ทานอาหารอร่อย ๆ แบบนี้ตลอด แล้วพวกเขาจะมีความเป็นอยู่ที่ไม่ดีได้อย่างไรล่ะ?
“ฉันไม่ได้บอกว่าหล่อนไม่ดูแลอาสี่กับเด็ก ๆ นี่นา แค่มันใช้เงินเยอะเกินไปหน่อยเท่านั้น” ท่านแม่โจวถอนหายใจ
เรื่องการดูแลสามีและลูก ๆ ไม่มีใครในหมู่บ้านโจวเจี่ยเทียบชั้นกับภรรยาของอาสี่ได้ ยิ่งกว่านั้นสามีชราของนางยังพูดถูกด้วย
ดูเหมือนว่าตั้งแต่ที่อาสี่ลาออกจนถึงตอนนี้ เขาก็ดูสุขภาพดีอย่างเห็นได้ชัด ไม่มีแววความอ่อนล้าให้เห็นแม้แต่นิดเดียว
เช่นเดียวกับเจ้าใหญ่และน้อง ๆ มีใครบ้างล่ะที่ไม่ว่องไวกระฉับกระเฉง?
“ขณะที่เรายังทำงานได้ก็ให้พวกเขาเก็บเงินไว้เถอะ” ท่านพ่อโจวเอ่ย
ท่านแม่โจวพยักหน้าและไม่พูดอะไร นางรู้สึกพอใจอย่างเห็นได้ชัดจึงตัดสินใจพับเรื่องนี้ไว้และปล่อยให้สะใภ้สี่ทำอะไรได้ตามใจชอบ จากนั้นก็ค่อยแอบให้เงินสินสอดในอนาคตของเจ้าใหญ่กับน้อง ๆ
พวกเขาย่อมไม่ปล่อยให้หลานชายทั้งสามเป็นหนุ่มโสดหรอกถูกไหม?
หลินชิงเหอที่ไม่รู้ความคิดของท่านแม่โจวกำลังทำอาหารแสนอร่อยให้กับโจวชิงไป๋และเด็ก ๆ
อาหารเย็นนี้เป็นซุปกุ้งแห้งกับหมั่นโถวข้าวโพด มีเนื้อกระต่ายแสนอร่อยอยู่ด้วยแล้ว ทั้งครอบครัวก็ทานกันจนอิ่มหนำสำราญ
“พ่อครับ เมื่อไหร่เราจะออกไปจับกระต่ายบ้างล่ะครับ?” เจ้าใหญ่เอ่ยขณะเคี้ยวหัวกระต่ายในระหว่างมื้ออาหาร
“หนาวขนาดนี้ลูกจะออกไปไหนอีกล่ะ?” หลินชิงเหอจ้องมองเขา
“ในช่วงเก็บเกี่ยวฤดูใบไม้ร่วงมีกระต่ายอ้วนหลายตัวอยู่ในทุ่งด้วยล่ะครับ แต่พวกมันวิ่งเร็วมากจนพ่อจับไม่ทัน” เจ้ารองบอก
ช่วงการเก็บเกี่ยวฤดูใบไม้ร่วงมีกระต่ายโผล่มามาก พวกมันกระโดดแผลวและหนีไปอย่างรวดเร็วมากเสียจนแม้แต่โจวชิงไป๋ก็ยังจับไม่ได้สักตัว
“พ่อทำงานเก็บเกี่ยวจนหมดแรงเข้ากระดูกแต่ลูกก็ยังอยากให้เขาจับกระต่ายให้อีกเหรอ? ทำไมลูกไม่ล่ากระต่ายมาให้พ่อกินบ้างล่ะ?” หลินชิงเหอบอกเจ้ารอง
“ผมยังเด็กอยู่ไม่ใช่เหรอครับ? เมื่อไหร่ที่ผมโต ผมจะต้องจับมันได้แน่ ๆ” เจ้ารองลั่นวาจา
“งั้นก็กินอีกสิจะได้โตไว ๆ” หลินชิงเหอตัดบท
กระต่ายป่าพวกนี้ว่องไวมาก ยิ่งกว่านั้นกระต่ายตัวหนึ่งยังมีโพรงสามโพรง ดังนั้นมันเป็นเรื่องง่ายนักเหรอที่จะล่ามัน? แถมแต่ละคนต่างหมดพลังไปกับการเก็บเกี่ยวช่วงฤดูใบไม้ร่วงกับช่วงฤดูร้อนกันหมดแล้ว
โอกาสที่จะจับกระต่ายได้ตัวหนึ่งจึงมีน้อยมาก และต้องใช้โชคช่วยอย่างมากในการจับมาได้
โจวชิงไป๋กินเนื้อด้วยอาการสงบขณะมีความสุขไปกับการปรนนิบัติเป็นพิเศษจากภรรยา
เขาออกจากบ้านไปในวันต่อมา แต่เมื่อกลับมาบ้านอีกครั้ง เขาก็กลับมามือเปล่า กระต่ายช่างล่ายากจริง ๆ
การล่าแต่ละครั้งต้องมีทั้งโชคและกำลัง
ต่อให้มีกำลังแต่ไม่มีโชคก็ยังจับมันไม่ได้
“ก่อนวันปีใหม่คุณว่างมากนักหรือไงคะ? ขึ้นเขาไปทำให้ตัวเองหนาวตายบนนั้นมันรู้สึกดีงั้นเหรอ? ที่บ้านไม่มีเนื้อให้เรากินเหรอคะ?” หลินชิงเหอเอ่ยเหน็บแนมในทันทีที่สามีกลับมาบ้าน
ไม่ว่าหญิงสาวจะพูดอะไรก็ตาม เธอก็ไม่ละเลยที่จะให้เขาได้ดื่มน้ำขิง
วันนี้เป็นวันที่สามสิบของเดือนสิบสองตามปฏิทินจันทรคติ ในปีนี้ทุกคนต่างแยกครอบครัวกันอยู่ แต่ยังคงกลับมารวมตัวและทานอาหารเย็นด้วยกันในงานเลี้ยงก่อนวันขึ้นปีใหม่
วันนี้เป็นวันสุดท้ายของปี ค.ศ. 1970 แล้ว
หลินชิงเหอนำอาหารหลักไปร่วมโต๊ะด้วยสองจานเหมือนอย่างเคย เป็นเนื้อหมูตุ๋นกับวุ้นเส้น และลูกชิ้นหมู
อาหารจานเนื้อสองจานต้องหมดเร็วแน่นอน
โดยเฉพาะลูกชิ้นหมูที่มีรสชาติอร่อยมาก เด็ก ๆ อย่างโจวหยางต่างชอบทาน พวกเขาใช้ตะเกียบจิ้มและกัดกินเคี้ยวหนุบหนับอย่างเอร็ดอร่อย
หลังจบงานเลี้ยงอาหารเย็นในวันสิ้นปีแล้ว บรรดาผู้หญิงก็เริ่มจับกลุ่มคุยกัน ขณะต้านีกับเอ้อร์หนีทำหน้าที่เก็บล้างข้าวของ
สะใภ้รองไม่ได้อยู่ต่อ หล่อนรีบผละจากไปในทันที
หลินชิงเหอก็ไม่ได้อยากให้หล่อนอยู่ที่นี่นัก หลังการต่อสู้ครั้งล่าสุด พวกหล่อนก็เป็นเหมือนขมิ้นกับปูน สะใภ้รองไม่กล้าพูดอะไรพล่อย ๆ แต่ก็ไม่พูดกับหลินชิงเหออีกเลยเช่นกัน
หลินชิงเหอทำเพียงไม่สนใจเรื่องนี้
“ตอนนี้ฉันรู้สึกว่าพี่ทานอาหารไม่ค่อยลงนะคะ มีอะไรหรือเปล่าคะ?” หลินชิงเหอถามสะใภ้สาม
“เด็กคนนี้ซนมากจริง ๆ ทำให้พี่แพ้ท้องยิ่งกว่าครั้งก่อนอีก” สะใภ้สามเอ่ยอย่างจนใจ
“แพ้ท้องเหรอคะ?” หลินชิงเหอเดา
“ใช่จ้ะ พี่ชอบมีอาการตอนเช้าตรู่อยู่เรื่อยเลย” สะใภ้สามพยักหน้า
หลินชิงเหอได้ยินแล้วก็คิดว่ามันต้องลำบากแน่!
ถึงจะเป็นแบบนี้ โจวชิงไป๋ก็ยังอยากจะได้ลูกสาว ผู้ชายไร้ความรู้สึกคนนี้นี่
หลินชิงเหอตัดสินใจไม่ปล่อยให้โจวชิงไป๋ได้ใกล้ชิดเธอ เขาต้องรอจนกว่าเธอจะซื้อถุงยางได้ก่อน ไม่อย่างนั้นเธอก็ไม่อยากจะนึกเลยว่าหากเธอตั้งครรภ์แล้วจะต้องเจออะไรบ้าง!
…………………………………………………………………………………
สารจากผู้แปล
แม่เริ่มกลัวการมีลูกแล้วล่ะค่ะ ก่อนได้ถุงยางมาแม่จะเสร็จพ่อก่อนไหม ติดตามตอนหน้าค่ะ
ไหหม่า (海馬)