บทที่ 111 ช่างรู้จักกินจริง ๆ
“อาสี่ แกตัดใบตองไปทำอะไรน่ะ?” พี่ชายรองกับพี่ชายสามเอ่ยขณะถือไซดักปลาไหลนาที่มีปลาไหลนาอยู่ในนั้นไม่มากนัก หลังเลิกงานแล้วทั้งสองก็ได้ไปดูไซที่ตั้งดักปลาไหลไว้ตั้งแต่เมื่อวานนี้
แล้วก็มีปลาไหลอยู่ในนั้นจำนวนหนึ่ง
“ชิงเหอบอกว่าเธอจะทำเค้กพุทราจีนน่ะครับ” โจวชิงไป๋บอก
“โอ้ อาสี่ แกนี่อยู่ดีกินดีจริง ๆ” พี่ชายรองอดไม่ได้ที่จะเอ่ยอย่างอิจฉา
เขาเองก็อยากกินเค้กด้วยเหมือนกัน
มุมปากของโจวชิงไป๋โค้งขึ้นเล็กน้อย “ถ้าพี่รองอยากกิน ก็ให้พี่สะใภ้รองทำให้กินสิครับ”
“พี่สะใภ้รองของแกอยู่อย่างมัธยัธถ์จะตาย หล่อนจะทำแบบนั้นได้อย่างไรเล่า?” พี่ชายรองตอบ
“ใช้ชีวิตอยู่อย่างประหยัดจะดีกว่านะ” พี่ชายสามพูดแทน
“แค่เค้กเล็กน้อยเองครับ” โจวชิงไป๋ไม่ได้สนใจอะไรมาก
ไม่ใช่ว่าครอบครัวของเขาทำเค้กไม่เป็น อีกอย่างหนึ่งเขาเองก็อยากกินด้วย ฝีมือการทำอาหารของภรรยาเขาเข้าขั้นเยี่ยมยอดและเธอไม่เคยทำอะไรไม่อร่อยเลยสักครั้ง
เขาแยกตัวจากพี่ชายทั้งสองหลังจากนั้น
พี่ชายรองกับพี่ชายสามกลับบ้านและแบ่งปลาไหลกันอย่างเท่าเทียม
“แม่เจ้าใหญ่ช่างรู้จักกินจริง ๆ นะคุณ เมื่อกี้เราก็เพิ่งเห็นอาสี่ตัดใบตองกลับบ้านแล้วบอกว่าพวกเขากำลังจะทำเค้กกินกัน” พี่ชายสามเอ่ยขึ้นมา
สะใภ้สามไม่ได้สนใจอะไร “แล้วมันผิดตรงไหนล่ะคะ? ก็แค่เค้กก้อนเดียวเอง ถ้าคุณอยากกิน ฉันก็ทำให้คุณกินได้นะคะ”
พี่ชายสามส่ายหน้าด้วยรอยยิ้ม ช่างเถอะ ปีนี้ภรรยาของเขาตั้งครรภ์อีกรอบและกำลังท้องโตขึ้นเรื่อย ๆ ถึงตอนนั้นก็คงจำเป็นที่จะต้องทานอาหารดี ๆ ระหว่างพักฟื้นหลังคลอด สู้เก็บเงินไว้จะดีกว่า
ส่วนพี่ชายรองไม่ได้นำเรื่องนี้กลับไปบอกที่บ้านเพราะว่ามันไม่มีประโยชน์ที่จะบอก
ในเย็นนั้นเอง หลินชิงเหอก็ได้ลงมือทำเค้กพุทราจีน เธอหั่นครึ่งพุทราจีน เอาเมล็ดออก และประดับบนก้อนเค้กที่นึ่งสุกแล้ว
เนื้อเค้กมีสีน้ำตาลเพราะว่าเธอใส่น้ำตาลทรายแดงลงไป มันให้รสสัมผัสฟูฟ่องและนุ่มลิ้น ช่างอร่อยเลิศนัก
หญิงสาวทำเค้กไว้หนึ่งก้อนใหญ่ เธอตัดออกเป็นสี่ส่วนและให้เจ้าใหญ่นำไปให้คุณปู่คุณย่าเพื่อแสดงความกตัญญูต่อพวกเขา
หลังจากที่เจ้าใหญ่นำเค้กไปส่ง คนอื่น ๆ ในตระกูลโจวก็รู้ว่าสะใภ้สี่ได้ทำเค้กแสนอร่อยเช่นนี้
“ถ้าพวกเธออยากกินก็ขอให้แม่พวกเธอทำให้กิน อย่ามาหาปู่กับย่าเลย ปู่กับย่ามีไม่มากหรอก” ท่านแม่โจวโบกมือไล่กลุ่มหลาน ๆ ที่มายืนออกันเพื่อขอลองชิมเค้ก
จากนั้นทั้งสองก็กินเค้กก้อนนั้นจนหมด
มันเป็นของที่ครอบครัวสี่แสดงความกตัญญูต่อพวกเขา จึงไม่สามารถแบ่งให้คนอื่น ๆ กินได้ ไม่อย่างนั้นมันก็จะไม่เป็นการตอบแทนน้ำใจของสะใภ้สี่ ถ้าสะใภ้สี่รู้เข้าจะว่าอย่างไรล่ะ?
อีกอย่าง ต่อให้ทั้งสองกินเค้กก้อนนี้จนหมด มันก็จะไม่ใช่เรื่องเกินไปนัก
เมื่อโจวเซี่ยลูกชายของสะใภ้รองกลับไปถึงบ้าน เขาก็ขอให้แม่ทำเค้กให้หนึ่งก้อน
สะใภ้รองรู้สึกเดือดดาลอย่างมาก “ครอบครัวนั้นหาเรื่องไม่รู้จักหยุดจริง ๆ หล่อนช่างสร้างปัญหาให้ฉันได้ไม่เว้นวันเลย!”
พี่ชายรองได้ฟังก็งุนงง “ลูกเราแค่อยากจะกินเค้ก ทำไมคุณต้องดึงสะใภ้สี่มาเกี่ยวด้วยล่ะ?”
“ถ้าไม่ใช่เพราะหล่อน ลูกชายเราจะก่อกวนไม่เลิกแบบนี้เหรอคะ? ถ้าหล่อนอยากส่งเค้กมาก็ส่งแค่เค้กมาสิ แต่เจ้าใหญ่กลับตะโกนเรียกลั่นบ้านแบบกลัวว่าคนอื่น ๆ จะไม่รู้เรื่องนี้งั้นล่ะ!” สะใภ้รองเอ็ด
พี่ชายรองชินกับความคิดของภรรยาไปแล้ว ไม่ใช่ว่าเจ้าใหญ่อยากจะมาแบบหลบ ๆ ซ่อน ๆ เวลานำของมาแสดงความกตัญญูกับคุณปู่คุณย่าหรอก
อีกอย่าง นอกจากครอบครัวสี่แล้ว สามครอบครัวที่เหลือก็ไม่ได้ให้ของอะไรเลย ไม่มีใครวิจารณ์ใครในเรื่องนี้ด้วย ดังนั้นแล้วมีเรื่องอะไรให้ต้องโมโหด้วยล่ะ?
“ฉันอยากจะเห็นนักว่าหล่อนจะผลาญเศษเงินน้อยนิดนั่นไปได้อีกนานแค่ไหน!” สะใภ้รองแค่นเสียง
พี่ชายรองกลอกตา “รีบ ๆ ทำเค้กเถอะคุณ ลูกชายเรางอแงแล้วนะ”
“ทำอะไรคะ? ไม่ทำหรอกค่ะ ที่บ้านไม่มีแป้งเหลือแล้ว” สะใภ้รองเอ่ยอย่างไม่พอใจ
พี่ชายรองได้ยินก็ไม่เอ่ยอะไร แป้งส่วนสุดท้ายเหมือนจะถูกใช้ไปกับการทำเกี๊ยวแล้ว
สะใภ้ใหญ่กับสะใภ้สามก็ไม่ได้ทำเค้กกัน ฐานะครอบครัวของพวกเขาไม่อาจเทียบได้กับครอบครัวของสะใภ้สี่ มันเป็นเรื่องไร้เหตุผลที่จะกินตามของกินที่บ้านนั้นทำมาส่งทุกครั้ง
ท่านพ่อโจวได้กินเค้กพุทราจีนแล้วพอใจ จากนั้นก็เห็นสีหน้าทุกข์ใจของท่านแม่โจว
“คุณเป็นอะไรน่ะ? เค้กไม่อร่อยหรือ?” ท่านพ่อโจวเอ่ยเสียงขรึม
“อร่อยสิ” ท่านแม่โจวตอบ
“ในเมื่อมันอร่อยแล้ว ทำไมคุณถึงทำหน้าแบบนั้นล่ะ?” ท่านพ่อโจวถาม
ท่านแม่โจวถอนหายใจเบา ๆ เค้กนี้อร่อยเลิศจริง ๆ แต่มันประกอบด้วยน้ำตาลทรายแดง แป้งขาว และพุทราจีน ซึ่งเป็นของแพงหรูหราอย่างมาก
ทว่าท่านแม่โจวก็คิดได้แล้วว่าจะไม่พูดเรื่องนี้กับสะใภ้สี่อีก
อย่างไรก็ตาม นางกับสามีชราจะเก็บเงินสินสอดที่เตรียมมอบให้หลานชายทั้งสามไว้ ในภายหน้ามันคงทำให้หลานชายทั้งสามพอจะมีโอกาสแต่งภรรยาได้บ้าง
“สะใภ้สี่ดูแลอาสี่ได้เป็นอย่างดีจริง ๆ” ท่านพ่อโจวเอ่ยตรงไปตรงมา
อย่างน้อยในความคิดของเขา ลูกชายคนเล็กก็ไม่ต้องผ่ายผอมอีกหลังกลับมาอยู่บ้าน เขายังคงสูงใหญ่แข็งแรงเหมือนตอนที่อยู่ในกองทัพและดูแข็งแกร่งบึกบึนอย่างมากอยู่
ลูกชายอีกสามคนไม่มีใครที่เปี่ยมพลังเหมือนอย่างลูกชายคนเล็กเลย ไม่ต้องพูดถึงลูกชายอีกสามคนที่เหลือ แม้แต่ผู้ชายคนอื่นในหมู่บ้านก็ไม่อาจเทียบเขาได้เลย
ทำไมถึงเป็นอย่างนั้นล่ะ?
ไม่ใช่เพราะเขาอยู่ดีกินดีที่บ้านงั้นเหรอ?
ท่านแม่โจวไม่ได้พูดเรื่องนี้ต่อ จากนั้นหล่อนก็เปลี่ยนเรื่อง “คราวที่แล้วเสี่ยวเม่ยส่งข้อความมาบอกว่าหล่อนอยากให้ฉันเลี้ยงดูหลานให้ คุณคิดว่าอย่างไรหือตาเฒ่า?” เงินห้าหยวนนับว่ามากทีเดียว
เงิน 5 หยวนต่อเดือนนับเป็นเงิน 50 หยวนต่อปี หลังดูแลหลานไม่กี่ปีมันก็เหมือนกับการออมเงินเล็กน้อย เมื่อเจ้าใหญ่กับน้อง ๆ ได้แต่งงานในภายภาคหน้า พวกเขาก็คอยดูว่าจะสามารถรวมเงินซื้อของขวัญชิ้นใหญ่สี่ชิ้น (จักรยาน วิทยุ จักรเย็บผ้า นาฬิกา) ได้หรือไม่
เพื่อจะให้หลานชายคนโปรดทั้งสามได้แต่งภรรยาเข้าบ้าน ท่านแม่โจวถึงกับต้องรับเงินจากลูกสาวตัวเอง
“ดีแล้วที่คุณอยู่บ้าน เมื่อไหร่ที่คุณว่างก็จะได้ไปเก็บผักขมได้” ท่านพ่อโจวจะไม่รู้ได้อย่างไรว่าภรรยาตนคิดอะไรอยู่? แต่เขาก็ยังตอบแบบนี้
เขายังเดินเหินได้สะดวกและได้แต้มค่าแรงมา 10 แต้ม จึงไม่มีปัญหาเลยที่เขาจะหาเงินมาจุนเจือตัวเองกับภรรยาได้
นอกจากนั้นในทุก ๆ ฤดู ลูกชายของพวกเขาก็มาแสดงความกตัญญูอยู่เสมอ
“เอาล่ะ ถ้าอย่างนั้นฉันจะไปบอกกับแม่เจ้าใหญ่ ให้หล่อนเอาเรื่องนี้ไปบอกต่อเสี่ยวเม่ยในคราวหน้าที่หล่อนเข้าอำเภอก็แล้วกัน” ท่านแม่โจวตอบ
“อย่าไปวิพากษ์วิจารณ์อะไรแม่เจ้าใหญ่เข้าล่ะคุณ” ท่านพ่อโจวเอ่ยกับนาง
“ฉันรู้แล้วน่า” ท่านแม่โจวโบกมือก่อนจะมุ่งหน้าไปหาหลินชิงเหอ
“คุณแม่มาแล้ว ได้กินเค้กกับคุณพ่อไหมคะ” หลินชิงเหอถาม
“กินแล้วล่ะ อร่อยมากเลย” ท่านแม่โจวยิ้ม ตอนนี้เจ้าใหญ่กับน้อง ๆ กำลังกินเค้กอยู่พอดี สีหน้าของพวกเขาดูพอใจอย่างเห็นได้ชัด
โจวชิงไป๋เองก็กำลังถือเค้กชิ้นหนึ่งในมือ
“ฉันมาคุยเรื่องรับเลี้ยงลูกของเสี่ยวเม่ยน่ะ” ท่านแม่โจวเอ่ย
“คุณแม่เห็นด้วยแล้วเหรอคะ?” หลินชิงเหอเอ่ย “หากคุณแม่เห็นด้วย ฉันจะไปบอกเสี่ยวเม่ยในครั้งหน้าที่เข้าไปในอำเภอน่ะค่ะ”
“อืม เธอไปบอกหล่อนเถอะว่าฉันเลี้ยงลูกให้หล่อนได้” ท่านแม่โจวตอบ
“เสี่ยวเม่ยบอกว่าจะให้เงินเดือนคุณแม่เดือนละ 5 หยวน ซึ่งเป็นเรื่องถูกแล้วที่จะให้น่ะค่ะ คุณแม่มีบุญคุณกับเธอใหญ่หลวงมาก ไม่อย่างนั้นเธอคงทำงานต่อไปไม่ได้” หลินชิงเหอกล่าว
หากไม่มีใครคอยดูแลลูกให้ หล่อนก็จะต้องเลี้ยงดูลูกด้วยตัวเอง ซึ่งนั่นจะทำให้หล่อนเสียหน้าที่การงานของตัวเองไป
ผู้หญิงที่ต้องดูแลลูกไปด้วยทำงานไปด้วยต่างไม่ได้รับการให้ค่า ต่อให้ซูต้าหลินจะไม่เหมือนคนแบบนั้นก็ตาม หลินชิงเหอรู้สึกว่าการที่ท่านแม่โจวเต็มใจเลี้ยงดูนับว่าเป็นสิ่งดี โจวเสี่ยวเม่ยจะได้ทำงานต่อไปได้ ผู้หญิงที่มีงานทำต่างมีความมั่นใจและได้รับการยกย่องอย่างสูง
ท่านแม่โจวยิ้มกริ่ม สะใภ้สี่ดูพูดจาอ่อนโยนขึ้นแล้ว นางรู้สึกกระดากใจเล็กน้อยที่ได้รับค่าจ้างจากลูกตัวเอง แต่ดูจากคำพูดของสะใภ้สี่แล้ว นางก็ยอมรับเรื่องนี้อย่างเบาใจลงบ้าง
“ฉันเลี้ยงเด็กทารกตอนที่ยังแบเบาะไม่เป็นหรอกค่ะ หากเด็กโตขึ้นแล้ว คุณแม่เอามาให้ฉันดูแลก็ได้นะคะหากมีบางสิ่งต้องทำ ฉันจะช่วยดูแลอีกคนหนึ่งค่ะ” หลินชิงเหอพูด
…………………………………………………………………………………
สารจากผู้แปล
เผื่อใครสงสัยว่าเค้กพุทราจีนมันเป็นอย่างไร นี่คือหน้าตาเค้กพุทราจีนที่หลินชิงเหอทำค่ะ (ภาพจาก https://images.app.goo.gl/oBwy8t72NHyXkQx67)
สงสารเด็กบ้านสะใภ้รองจังค่ะ อยากกินอะไรแม่ก็ไม่ยอมทำให้กิน แต่ก็นะ…วัตถุดิบที่ทำมันแพงเกินไปในสายตาสะใภ้รอง เค้กทั้งก้อนคงจะใช้เงินซื้อวัตถุดิบเท่ากับอาหารทั้งสัปดาห์ของบ้านนาง นางเลยไม่อยากทำ
แม่โจวรับเลี้ยงหลานแล้ว เสี่ยวเม่ยสบายแล้วล่ะค่ะ
ปล. ผู้แปลขอไปศึกษาสูตรเค้กพุทราจีนก่อนนะคะ
ไหหม่า (海馬)