ดาบในมืออาเหลียงตวัดฟันลงไป
ระหว่างเขากับหอสูงป๋ายอวี้จิงปรากฎเส้นสีทองที่บางเฉียบเส้นหนึ่งเหมือนกระแสน้ำขึ้นหนึ่งเส้นที่ทะยานไปด้านหน้าอย่างรวดเร็ว
ซ่งจ่างจิ้งอ๋องเจ้าแคว้นไม่เพียงไม่ถอยหนีกลับยังพุ่งเข้าใส่ เขาก้าวยาวๆ ไปด้านหน้า พลังอำนาจพลันพุ่งทะยานสู่จุดสูงสุดของวิถีวรยุทธ์ในฉับพลัน ตวาดกร้าวเดือดดาลหนึ่งครั้ง แขนสองข้างไขว้กันบดบังไว้เบื้องหน้าของตัวเอง
หลังจากลานกว้างใต้ฝ่าเท้าของเขาถูกปรมาจารย์ขอบเขตปลายทางอันดับที่สองของบุรพแจกันสมบัติทวีปผู้นี้กระทืบหนักๆ ก็แตกออกเป็นใยแมงมุมขนาดยักษ์
ความเป็นกับความตายหล่อหลอมวิถีแห่งการต่อสู้ ไม่ใช่ประโยคที่พูดลอยๆ เท่านั้น ครั้งแรกที่ซ่งจ่างจิ้งใช้ตัวตนขององค์ชายต้าหลีสมัครเข้าร่วมกองทัพอย่างเด็ดเดี่ยว ใช้ชีวิตอยู่บนหลังม้าและสมรภูมิรบมานานยี่สิบกว่าปี ชนะและแพ้ในสงครามทั้งเล็กและใหญ่ สงครามที่ยากลำบาก สงครามตัดสินเป็นตาย มากมายนับครั้งไม่ถ้วน สุดท้ายก็ลุกผงาดโดดเด่นขึ้นมาท่ามกลางผู้ฝึกยุทธ์ทั่วทั้งบุรพแจกันสมบัติทวีป และเกรงว่านี่ก็คือหนึ่งในเหตุผลที่ทำให้ซ่งจ่างจิ้งพุ่งเข้าเผชิญกับความยากลำบากในครั้งนี้
แสงสีทองเส้นนั้นสัมผัสโดนแขนของซ่งจ่างจิ้ง ชายแขนเสื้อของชุดคลุมสีขาวพลันถูกกรีดอย่างง่ายดายเหมือนเหล็กเส้นที่กรีดผ่าเต้าหู้ขาวอ่อนนุ่ม ต้องรู้ว่าชุดคลุมตัวนี้ของซ่งจ่างจิ้งคือสมบัติอาคมลัทธิเต๋าที่แม้แต่ในตระกูลเซียนของต้าหลีก็ยังมีน้อยจนนับนิ้วได้ มันมีนามว่า “ชุดคลุมน้ำไหล” เคยเป็นวัตถุล้ำค่าที่เทพเซียนพสุธาห้าขอบเขตบนท่านหนึ่งทิ้งเอาไว้ ว่ากันว่าสามารถต้านทานวิชาอภินิหารทั้งหมดของนักพรตห้าขอบเขตบนลงไปได้ ทว่าเมื่อเจอกับเส้นสีทองที่ก่อตัวจากพายุหมุนเส้นนั้นกลับเปราะบางถึงเพียงนี้
แม้จะไม่มีวัตถุภายนอกให้เป็นที่พึ่งอีก แต่ซ่งจ่างจิ้งกลับยังยึดมั่นในปณิธานไม่ถอยหนี ชายผู้นี้คิดอยากจะทดลองดูว่าเรือนกายของผู้ฝึกยุทธ์ของตนในเวลานี้ที่ว่ากันว่าทัดเทียมกับอรหันต์ร่างทองในตำนานได้แล้ว จะสามารถต้านทานดาบเทพเซียนของจริงเล่มนี้ไว้ได้หรือไม่
และเพียงไม่นานคำตอบก็ปรากฏ ได้ แต่ต้านไว้ได้แค่เวลาเพียงชั่วกะพริบตาเท่านั้น
ซ่งจ่างจิ้งยังคงไม่ยอมถอยไปทั้งอย่างนี้ หลังจากคำรามกร้าวหนึ่งครั้ง ใบหน้าของเขาก็พลันเปล่งแสงสีทองอร่ามแปลกตา ลมปราณในร่างหมุนโคจร เปลี่ยนจากสภาวะของน้ำบ่าไหลเชี่ยวกรากก่อนหน้านี้มาเป็นชั้นน้ำแข็งที่ปิดผนึกผิวน้ำพันลี้ในเสี้ยววินาที
เรือนกายสูงเพรียวของอ๋องเจ้าแคว้นต้าหลีถอยกรูดออกไปหลายสิบจั้ง
ผิวหนังของแขนทั้งสองข้างถูกกรีดเป็นร่องเล็กบางร่องหนึ่ง แต่กลับไม่มีเลือดไหล ขณะเดียวกันเส้นแสงสีทองที่บุกทะยานไปเบื้องหน้าอย่างไม่อาจหยุดยั้งก็สลักลึงลงไปในกระดูกของซ่งจ่างจิ้ง
“หลีกไป!”
ขุนพลอักขระยันต์ของลัทธิเต๋าที่สวมเกราะดำ ร่างสูงหลายจั้งตนหนึ่งชนซ่งจ่างจิ้งกระเด็นไปหลายก้าว แล้วมันก็เข้ามาแทนที่ตำแหน่งของเขา
ทั่วร่างของขุนศึกเกราะยันต์ที่สลักไว้ด้วยอักขระสีทองจำนวนนับไม่ถ้วนแผ่รัศมีเรืองรอง มือทั้งคู่กำเส้นแสงสีทองที่เมื่อเทียบกับเรือนกายแข็งแกร่งใหญ่โตของมันแล้วไม่ได้สัดส่วนอย่างยิ่งเอาไว้แน่น
ถอยแล้วถอยอีก
สุดท้ายขุนพลอักขระยันต์ที่ปรมาจารย์ลัทธิเต๋าตั้งใจสร้างขึ้นจากคาถาอักษรขุนเขาก็ถูกแยกร่างเป็นสองส่วน เส้นแสงสีทองที่หม่นแสงลงแค่ไม่กี่ส่วนกลับยังคงบุกรุดหน้าเข้าหาหอเรือนสูงป๋ายอวี้จิงดังเดิม
หลังจากขุนพลหุ่นเชิดของลัทธิเต๋าถูกแยกร่างก็ล้มตึงลงเสียงดังสนั่นหวั่นไหว แต่เบื้องหลังของมันกลับเผยให้เห็นผู้เฒ่าสวมผ้าป่านเนื้อหยาบเรียบง่ายคนหนึ่งที่ยื่นมือข้างหนึ่งออกมากั้นขวางแสงสีทองเส้นนั้น
ปราณทั่วร่างของผู้เฒ่ามีแต่ความเสื่อมสภาพของวัยไม้ใกล้ฝั่ง แต่ใบหน้ากลับอ่อนเยาว์เหมือนเด็ก ให้ความรู้สึกที่แปลกประหลาดสุดขีด ใบหน้าของผู้เฒ่าเต็มไปด้วยรอยยิ้มขมขื่น เอ่ยถามด้วยภาษาทางการของทวีปอื่นน้ำเสียงแหบหร่า “อาเหลียง ช่วยหยุดมือเสียตั้งแต่ตอนนี้ได้หรือไม่?”
อาเหลียงขมวดคิ้ว “หลวนฉางเหย่? เจ้าไม่ได้ถูกเนรเทศไปยังทางตอนเหนือหลังจากการช่วงชิงตำแหน่งจวี้จื่อสำรอง (จวี้จื่อคือคำเรียกบุคคลที่ยิ่งใหญ่ ผู้ที่ประสบความสำเร็จ) ล้มเหลวหรอกหรือ?”
ผู้เฒ่าขัดขวางเส้นสีทองจนฝ่ามือมีเลือดไหลออกมาเป็นเส้นๆ พลางกล่าวด้วยความจนใจไปด้วย “เรื่องมันยาวน่ะ”
อาเหลียงกระจ่างทันควัน “ข้าก็แปลกใจว่าทำไมบุรพแจกันสมบัติทวีปถึงได้มีคนสร้างหอป๋ายอวี้จิงขนาดเล็กคุณภาพย่ำแย่หลังนี้ขึ้นมา ที่แท้ก็ฝีมือเจ้านี่เอง”
หลวนฉางเหย่ลังเลอยู่ชั่วครู่ก็เอ่ยเสียงเบาว่า “ข้าเคยขอคำชี้แนะจากอาจารย์ฉีเรื่องการสร้างหอเรือนแห่งนี้”
อาเหลียงปรายตามองซ่งจ่างจิ้งที่ทำท่ากระเหี้ยนกระหือรือพร้อมลงมือแวบหนึ่ง ความคิดในหัวของฝ่ายหลังตีกันพักหนึ่ง สุดท้ายก็ยังเลือกที่จะล้มเลิกความคิดจะต่อสู้อีกครั้งไป
อาเหลียงมองไปทางหลวนฉางเหย่คนคุ้นเคยจากสำนักโม่แล้วสะบัดข้อมือเบาๆ ดาบยันต์มงคลในมือแกว่งไกวเล็กน้อย เห็นได้ชัดว่าเป็นท่าทางเกียจคร้านประมาทศัตรู แต่ในความเป็นจริงแล้วหลังจากฟาดดาบไปครั้งหนึ่งก่อนหน้านี้ หากเขาดึงดันจะต่อสู้ให้รู้แพ้รู้ชนะ ซ่งจ่างจิ้งต้องตาย หลวนฉางเหย่ขวางไว้ไม่อยู่ หอป๋ายอวี้จิงหลังนี้ก็ต้องถูกกำหนดมาแล้วว่าต้องพังถล่ม กองกำลังต้าหลีต้องถดถอยไปอีกอย่างน้อยสี่สิบห้าสิบปี ซึ่งก็หมายความว่า ผลประโยชน์ทั้งหมดที่สำนักศึกษาซานหยาซึ่งฉีจิ้งชุนสร้างขึ้นในปีนั้นนำมามอบให้แก่แคว้นต้าหลี อาเหลียงจะริบกลับคืนทั้งหมด และที่เขาต้องทำก็แค่ฟันดาบลงไปอีกครั้งเท่านั้น
ในบรรดาเมธีร้อยสำนัก พละกำลังของสำนักโม่มีไม่น้อย พวกเขาแบ่งออกเป็นสามสาย คนของสายหนึ่งในนั้นแทบจะกลายมาเป็นจอมยุทธ์ผู้กล้าที่ออกพเนจรไปทั่วยุทธภพ ส่วนใหญ่แล้วคือผู้ฝึกกระบี่ในบรรดาผู้ฝึกลมปราณ ส่วนอาเหลียงที่ท่องยุทธภพมานานหลายปีก็คือจอมยุทธ์พเนจรที่มีชื่อเสียงสะเทือนไปหลายทวีปใหญ่ หรือจะพูดให้ถูกต้องก็คือ อาเหลียงเคยมีโอกาสได้พบหน้าหลวนฉางเหย่ผู้นี้หนึ่งครั้ง ส่วนหลวนฉางเหย่ที่อยู่ห่างจากตำแหน่งจวี้จื่อของสำนักโม่แค่สองก้าวผู้นี้ก็เคารพเลื่อมใสในตัวอาเหลียงอย่างแท้จริง ดังนั้นอาเหลียงจึงรู้จักกับหลวนฉางเหย่ แต่ไม่สนิทกับคนผู้นี้
แต่คำพูดที่เอ่ยอ้างถึงฉีจิ้งชุนของหลวนฉางเหย่ประโยคนี้กลับทำให้โทสะของอาเหลียงพุ่งพล่านขึ้นมา ยกดาบยันต์มงคลขึ้นอีกครั้ง ปลายดาบชี้ไปทางผู้เฒ่าที่ถูกสำนักโม่ขับไล่และลบชื่อทิ้งผู้นั้น เขาโกรธจนกลายเป็นหัวเราะ “ฉีจิ้งชุนตายไปแล้ว เจ้ายังเอาเขามาทำเป็นยันต์คุ้มกันกายต้าหลีและหอป๋ายอวี้จิงแห่งนี้ของพวกเจ้าอีกรึ? ตั้งแต่เมื่อไหร่กันที่หนังหนาของเจ้าหลวนฉางเหย่หนากว่าหน้าของข้าอาเหลียง?”
บนใบหน้าที่แก่ชราของหลวนฉางเหย่ปรากฏรอยยิ้มยั่วเย้า ส่ายหน้าอย่างแรง “ไม่อาจเปรียบเทียบกับผู้อาวุโสอาเหลียงได้ ตอนที่อาจารย์ฉีพูดถึงผู้อาวุโสอาเหลียงก็มีสีหน้าแบบเดียวกับผู้อาวุโสอาเหลียงในเวลานี้”
ประโยคก่อนหน้านี้ อาเหลียงเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง แต่ประโยคหลังนี้ อาเหลียงกลับเชื่อหมดใจ
อาเหลียงเงยหน้ามองท้องฟ้า ค่อยๆ ลดดาบยันต์มงคลลงแล้วสอดกลับเข้าฝัก ถลึงตาใส่ผู้เฒ่า “นึกว่าข้ามองแผนการถ่วงเวลารอกองหนุนมาช่วยของพวกเจ้าไม่ออกรึ”
หลังจากที่อาเหลียงเก็บดาบยันต์มงคลลงไปแล้ว ฮ่องเต้ต้าหลีที่ได้รับการปกป้องจากผู้เฒ่าแซ่ลู่ถึงได้มาปรากฎตัวอยู่ข้างกายหลวนฉางเหย่สำนักโม่
ฮ่องเต้ต้าหลีคิดจะเดินออกมาแต่กลับถูกผู้เฒ่าสวมกวานสูงคว้าชายแขนเสื้อเอาไว้ แล้วเอ่ยเสียงเบา “อย่าวู่วาม”
ชายสวมชุดคลุมมังกรส่ายหน้ายิ้มๆ สลัดฝ่ามือของผู้เฒ่าสวมกวานสูงทิ้งแล้วเดินไปข้างหน้าต่ออีกครั้ง เดินไปได้สิบกว่าก้าวก็กุมมือขึ้นคารวะ “ซ่งเจิ้งฉุนแห่งต้าหลีคารวะผู้อาวุโสอาเหลียง”
อาเหลียงหรี่ตาพลันคว้าด้ามดาบ
พริบตานั้นในใจของทุกคนพลันสิ้นหวัง
ฮ่องเต้ต้าหลีก็ยิ่งคลี่ยิ้มแล้วหลับตาลง เผชิญหน้ากับความตายอย่างตรงไปตรงมา
ด้านหลังอาเหลียงมีเสียงคนร้องวิงวอนอย่างขมขื่น “อาเหลียง! อย่าฆ่าเขานะ!”
อาเหลียงไม่ได้หันกลับมา โทสะยิ่งปะทุโลดแรง “เจ้าคนสารเลวไม่เอาถ่าน! ชอบจะแข่งโน่นแข่งนี่กับฉีจิ้งชุนมาตั้งแต่เด็ก สู้ไม่ได้ก็สู้ไม่ได้สิ มีอะไรให้ต้องขายหน้านักหนา ทำไมต้องเล่นเล่ห์กลต่ำช้าพวกนี้ด้วย คิดจริงๆ หรือว่าข้าอาเหลียงจะเห็นแก่ความสัมพันธ์เก่าก่อนเล็กๆ น้อยๆ นั่นแล้วจะไม่ฆ่าเจ้าให้ตายทั้งเป็นจริงๆ?”
ด้านหลังอาเหลียงคือผู้เฒ่าเรือนกายสูงเพรียวแต่ใบหน้ากลับแห้งตอบผู้หนึ่งยืนอยู่ เขาสวมชุดสีเขียวห้อยหยกประดับ บุคลิกดีมาก เหมือนอริยะลัทธิขงจื๊อผู้เป็นครูบาอาจารย์สั่งสอนชาวประชา
ผู้เฒ่าเอ่ยเสียงเบาด้วยสีหน้าซับซ้อน “อาเหลียง แรงใจและสติปัญญาครึ่งชีวิตหลังของฉีจิ้งชุนล้วนอยู่ที่ต้าหลีนะ”
อาเหลียงหันหน้ากลับมา สีหน้าดำทะมึน “ชุยฉานเจ้าอย่าผายลม! ขนาดสำนักศึกษาซานหยายังไม่มีอยู่แล้ว เจ้ายังมีหน้ามาพูดอย่างนี้กับข้าอีกหรือ?”
สีหน้าของผู้เฒ่าเด็ดเดี่ยว “ข้าพูดความจริง ฉีจิ้งชุนหวังไว้จริงๆ ว่าต้าหลีจะสามารถเดินไปบนเส้นทางที่แตกต่าง ต่อให้ถึงท้ายที่สุดแล้วฉีจิ้งชุนจะเหลือแค่ความผิดหวัง แต่ไม่ว่าจะอย่างไร อาเหลียงเจ้าก็ปฏิเสธไม่ได้ว่า คนที่เขาเลือกก็คือเด็กของอำเภอหลงเฉวียนต้าหลีเรา!”
ผู้เฒ่าก้มหน้าลง “อาเหลียง ปีนั้นเจ้าเป็นคนพูดเองว่า ข้าชุยฉานสามารถเดินไปบนเส้นทางของตัวเองได้”
อาเหลียงหัวเราะพรืด “พูดหลักการกับคนฉลาดดันทุรังอย่างเจ้า ไม่สู้ข้าไปทะเลาะกับเจ้าลูกเต่าน้อยหลี่ไหวนั่นยังจะดีซะกว่า”
อาเหลียงคลายมือที่จับด้ามดาบ “ชีวิตนี้ของตาเฒ่าสร้างวีรกรรมเกรียงไกรสะเทือนฟ้าดินมามากมายนัก แต่สุดท้ายกลับต้องขังตัวเองไว้ในสวนป่ากงเต๋อ ช่างเป็นจุดจบที่ต้องเดียวดายอย่างน่าสงสาร ทั้งชีวิตมีขึ้นมีลง กาลเวลาที่กลิ้งไถลอยู่ในหาดโคลนเละก็ไม่น้อย แต่ความรู้สึกที่ตาเฒ่ามอบให้แก่ผู้คนกลับยังคงสะอาดบริสุทธิ์และอบอุ่น สะอาดไร้มลทินอยู่ข้างนอก อบอุ่นอยู่ข้างใน ฉีจิ้งชุนเองก็เหมือนกัน แต่เจ้าชุยฉานไม่ใช่ ปีนั้นฉีจิ้งชุนเป็นแค่คนหัวดื้อคนหนึ่ง แต่เจ้าชุยฉานเรียนรู้อะไรก็เร็วไปหมด ไหนเลยจะคิดว่าพอถึงท้ายที่สุด ขนาดฉีจิ้งชุนยังสามารถสู้กับพวกตาแก่สารเลวเหล่านั้นจนผีร้องไห้เทพคร่ำครวญ แต่เจ้าชุยฉานกลับมีจุดจบเป็นคนไม่ใช่ ผีไม่เชิง ไม่ใช่ทั้งเทพแล้วก็ไม่ใช่ทั้งเซียน เจ้าทำตัวเองทั้งนั้น”
อาเหลียงคลี่ยิ้ม “ครั้งสุดท้ายที่ข้าได้พบกับตาเฒ่า เขาบอกว่าวิธีคิดของเจ้าไม่เลว แต่วิธีทำของเจ้าไม่ถูกต้อง สุดท้ายเขายังพูดด้วยว่า เจ้าเขียนสมุดคัดตัวอักษรได้ดีมาก ทั้งเล่ม ‘บัตรกุยช่ายในสวนเล็ก’ และ ‘แผ่นดอกไม้เหลืองใต้หล้า’ เขียนได้งดงามมากจริงๆ หากรู้แต่แรกว่าวันหนึ่งอาจารย์กับศิษย์จะกลายเป็นศัตรูเช่นนี้ ตอนนั้นควรจะขอแผ่นคัดอักษรมาจากเจ้าสักหลายๆ แผ่น”
กรอบตาของผู้เฒ่าแดงก่ำ พูดเสียงสั่น “ท่านอาจารย์ก็รู้สึกว่าตัวเองมีความผิดเหมือนกันหรือ? ไม่ได้ถูกทั้งหมด?”
อาเหลียงกลอกตามองสูง “ความหน้าหนาข้าอาเหลียงเรียนรู้มาจากใคร? ปากตาเฒ่าไม่ยอมรับผิด พวกเจ้าเป็นลูกศิษย์ของเขาเคยกินข้าวกินน้ำจากตาเฒ่ามานานหลายปีขนาดนั้น จะแสร้งทำเป็นเลอะเลือนทั้งที่ในใจรู้ชัดเจนดีไม่ได้เลยหรือ? อีกอย่างต่อให้คนอื่นไม่รู้ถึงความสามารถที่ค้ำฟ้าและความลำบากใจของตาเฒ่านั่น แต่เจ้าชุยฉานก็ยังไม่รู้ด้วยหรือ? ช่างเถอะๆ คร้านจะพูดเรื่องไร้สาระกับเจ้าแล้ว เจ้าหุบปากแล้วไสหัวไปให้ไกล ข้าไม่อยากเห็นท่าทางขี้ขลาดของเจ้าอีก”
ผู้เฒ่าหมุนตัวเดินโซซัดโซเซจากไป เสียงหัวเราะประหลาดคล้ายเสียงสะอื้นในลำคอของเขาเพิ่มความเศร้ารันทดให้แก่ลานกว้างว่างเปล่าอีกเป็นเท่าตัว
อาเหลียงมองไปบนท้องฟ้าอีกครั้งแล้วสบถด่าเสียงเหมือนแม่ค้าปากตลาดทำให้ทุกคนได้เปิดหูเปิดตา “รู้แล้วๆ เร่งๆๆ เร่งหามารดาเจ้าหรือ พวกเจ้าน่าจะแซ่ชุยเหมือนเจ้าสารเลวชุยฉานนั่น (คำว่าเร่งอ่านว่าชุยเหมือนแซ่ชุย แต่เขียนต่างกัน)! แน่จริงก็ลงมาตีกับข้าสิ มาเลย!”
ด่าก็ส่วนด่า ธุระยังคงต้องทำ
อาเหลียงปลดดาบยันต์มงคลลงจากเอว คิดดูแล้วก็โยนสูงไปให้ซ่งจ่างจิ้ง แต่กลับพูดกับฮ่องเต้ต้าหลี “ดาบเล่มนี้ข้าจะทิ้งไว้ คนต้าหลีอย่างพวกเจ้าจงนำมันคืนให้กับแม่นางน้อยคนหนึ่งที่ชื่อหลี่เป่าผิงแทนข้า จำไว้ว่าต้องมีมารยาทกับแม่นางน้อยสักหน่อย นางเป็นเพื่อนของข้า”
ฮ่องเต้ต้าหลีพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม “ไม่มีปัญหา”
อาเหลียงพูดกับตัวเอง “จุ๊ๆๆ ควบม้าร่ำสุรา พกดาบห้อยน้ำเต้าใบใหม่ ช่างเป็นภาพที่งดงามยิ่งนัก สิ่งสวยงามมีมากมายเกินกว่าจะชื่นชมได้หมดในคราเดียว วันข้างหน้ามนุษย์อย่างพวกเจ้าจะได้มีบุญตาแล้ว”
ซ่งจ่างจิ้งจับด้ามดาบที่แคบยาวเล่มนั้นไว้
แม้ว่าจะเป็นดาบเล่มหนึ่ง แต่ปราณกระบี่กลับเปี่ยมล้นและเพิ่มระดับขึ้นสูงอย่างน่าตะลึงประหนึ่งแม่น้ำและมหาสมุทรที่ลึกและกว้างใหญ่
อาเหลียงลังเลอยู่ชั่วครู่ สุดท้ายก็ไม่ได้ปลดดาบไม้ไผ่ฝักสีเขียวลงมาพร้อมกัน เขายืดแขนบิดขี้เกียจ ซ้ำยังกระโดดเบาๆ สองที เงยหน้าถามยิ้มๆ “มาๆๆ! พวกคนบนฟ้า บอกข้าทีสิว่า พระธรรมนั้นยาวไกลหรือกถามรรคที่สูงกว่ากัน?! ใครกันแน่ที่มีความสามารถมากกว่า หมัดใครที่แข็งกว่า?!”
เหนือฟ้ายังมีฟ้า มีเสียงหัวเราะเบาๆ ของใครคนหนึ่งดังขึ้นมา แล้วก็มีเสียงสวดมนต์พระธรรมดังขึ้นหนึ่งครั้ง
อาเหลียงหัวเราะเสียงดัง “ถ้าอย่างนั้นก็ให้ข้าอาเหลียงสู้กับพวกเจ้าสักครั้งแล้วค่อยว่ากัน!”
พลังอำนาจของชายที่พร่ำบอกว่าตนไม่เคยโอ้อวดในเรื่องใดพลันเพิ่มพรวดพราด จากก่อนหน้านี้ที่เป็นผู้ฝึกลมปราณขอบเขตสิบสองขั้นสูงสุด พริบตาเดียวก็ไต่ขึ้นเป็นขอบเขตสิบสามขั้นสูงสุด ร่างทั้งร่างเป็นเหมือนเสาลำแสงที่พร่างพราวต้นหนึ่งที่พุ่งทะยานจากโลกมนุษย์แหวกม่านฟ้าที่กว้างใหญ่ไพศาลออกไป สุดท้ายหายวับไม่เหลือร่องรอย
เป็นเวลาเนิ่นนานที่เด็กหนุ่มซ่งจี๋ซินไม่ยินดีถอนสายตากลับ สุดท้ายถึงได้ค้นพบว่าแผ่นหลังของชายที่สวมชุดคลุมมังกรเหลืองอร่ามเปียกโชกไปด้วยน้ำเหงื่อ
เด็กหนุ่มอดเงยหน้าขึ้นอีกครั้งไม่ได้ นาทีนี้เด็กหนุ่มถึงได้รู้ว่าที่แท้ในโลกก็มีคนที่แกร่งกร้าวกล้าหาญถึงขนาดนี้อยู่ด้วย