ตอนที่ 134 ทำให้คนพวกนั้นอิจฉาจนดิ้นตาย

บทที่ 134 ทำให้คนพวกนั้นอิจฉาจนดิ้นตาย

หลินชิงเหอออกจากบ้านของหญิงชราไปแล้ว เธอจึงไม่ทันได้เห็นว่าลูกชาย ลูกสะใภ้ และหลานชายของหญิงชรารู้สึกดีใจมากขนาดไหนยามกลับมาที่บ้านและเห็นเนื้อหมู แป้ง และคูปองอาหารจำนวนมาก

คูปองอาหารที่ได้มาล้วนเป็นคูปองอาหารที่ใช้ได้ทั่วประเทศ เนื้อก็เป็นเนื้อหมูชั้นดี และแป้งก็เป็นแป้งสาลี การแลกเปลี่ยนของในครั้งนี้ช่างไม่ธรรมดาจริง ๆ

เรื่องนี้ทำให้หญิงชราร่างเล็กถึงกับเสียดายขึ้นมานิดหน่อย นางน่าจะเก็บสะสมของเอาไว้มากกว่านี้

แต่นางก็รู้ดีว่าหญิงสาวคนนั้นคงจะไม่มาหาอีก

เรื่องนี้นับว่าเป็นเรื่องพิเศษอย่างหนึ่ง

หลินชิงเหอรู้สึกอารมณ์ดีอย่างมากในระหว่างทางที่เดินกลับที่พัก

ครั้งนี้เธอได้ทองแท่งใหญ่มาทั้งหมด 8 แท่ง เช่นเดียวกับหยก 6 ชิ้น ปิ่นหยก 2 อัน กำไลทองวงหนึ่ง และโถโบราณอีกใบหนึ่ง

ของพวกนี้ล้วนเป็นของดีทั้งนั้นเลย

หลินชิงเหอรู้ดีว่าของพวกนี้ไม่ใช่ของของหญิงชราร่างเล็กคนนี้หรอก พวกมันล้วนถูกเก็บมาจากข้างนอกทั้งนั้น

เธอจึงไม่คิดว่ามันเป็นเรื่องผิดกับการแลกพวกมันด้วยของที่เธอมีอยู่

เพราะสถานการณ์บ้านเมืองแบบนี้จะยังคงอยู่ต่อไปราว 7 หรือ 8 ปี ซึ่งในช่วงเวลานี้ของสีทองสีเงินพวกนี้จะไม่มีราคาค่างวดอะไรเลย

การแลกเปลี่ยนของมากมายเหล่านี้มาเป็นของของเธอเองถือว่าไม่ใช่เรื่องขาดทุนอะไรเลย

เนื่องจากในฤดูหนาวแบบนี้ ของที่เธอให้หญิงชราไปยังมีประโยชน์มากกว่าอย่างเห็นได้ชัด

หลินชิงเหอกลับบ้านพักรับรองแขกอย่างยินดีปรีดา ทันทีที่เธอกลับมา โจวชิงไป๋ก็ได้นั่งรอเธออยู่บนเตียงแล้ว

เมื่อเห็นหญิงสาวกลับมา ชายหนุ่มก็ลุกขึ้นยืนในทันที

“ฉันขอเตือนไว้ก่อนนะคะ สิ่งที่ฉันเกลียดมากที่สุดก็คือความรุนแรงในครอบครัว ถ้าคุณกล้าตบตีฉัน ฉันจะถือว่าการแต่งงานระหว่างเราเป็นโมฆะ!” หลินชิงเหอเอ่ยเตือนในทันที

โจวชิงไป๋ดึงตัวผู้หญิงไร้หัวใจที่หายไปจากห้องหนึ่งวันเต็มและทิ้งให้เขาอยู่อย่างเดียวดายเข้ามาไว้ในอ้อมกอดอย่างแรง

หลินชิงเหอโล่งใจเมื่อเห็นว่าเขาทำเพียงกอดเธอไว้และไม่ได้คิดที่จะตบตีเธอ อีกอย่างเธอก็กำลังอารมณ์ดีอยู่เหมือนกัน เพราะวันนี้เธอสะสมทองกับหยกล้ำค่าได้เป็นจำนวนมาก นั่นหมายความว่าชีวิตในภายภาคหน้าของเธอมีหลักประกันแล้ว

หญิงสาวกอดตอบ “ฉันไม่ได้ทิ้งข้อความไว้ให้คุณเหรอคะ? ทำไมคุณยังเป็นห่วงฉันอยู่อีกล่ะ? ฉันแค่ออกไปผ่อนคลายข้างนอกเท่านั้นเอง”

“ผมเป็นห่วง” โจวชิงไป๋เอ่ย

เขารู้ดีว่าสถานการณ์ด้านนอกเป็นอย่างไร เขาไม่มีเส้นสายใด ๆ อยู่ที่นี่ หากเกิดอะไรขึ้นมา เขาก็ปกป้องเธอไม่ได้

“เรากลับกันนะ?” ชายหนุ่มเอ่ยแล้วก็มองหน้าภรรยา

เขาอยากกลับไปเหลือเกิน การเดินทางครั้งนี้ไม่มีอะไรดีเลย ก่อนหน้านี้เขาอยากจะตรวจร่างกายตัวเอง แต่ตอนนี้เขารู้แล้วว่าสาเหตุไม่ได้มาจากตัวเขา ดังนั้นมันก็ไม่มีเหตุผลอะไรที่จะต้องอยู่ต่อ

“ตกลงค่ะ” หลินชิงเหอเห็นด้วยอย่างชัดเจน

แม้จะเก็บสะสมของได้ไม่มากนัก แต่ผลลัพธ์ที่ได้มาก็ยังน่าพอใจอยู่

ที่สำคัญยิ่งกว่านั้นคือทองแท่งแบบนั้นน่ากลัวว่ามันจะมีน้ำหนักราว 1 ชั่ง หรือไม่ก็อยู่ราว ๆ 7 หรือ 8 เลี่ยง (350-400 กรัม) ซึ่งในอนาคตจะไม่มีใครซื้อมันได้เลยหากไม่มีเงินถึง 100,000 หยวน

เธอเก็บมันไว้หลายแท่ง ฉะนั้นจึงคิดเป็นมูลค่าเกือบ 1 ล้านหยวน

แล้วมันก็ยังมีของอย่างอื่นอีก

คิดดังนี้แล้วหลินชิงเหอก็รู้สึกดีใจจนเนื้อเต้น

โจวชิงไป๋จองตั๋วรถไฟรอบวันพรุ่งนี้ในทันที จนหลินชิงเหอรู้สึกอึ้งไป “เร็วขนาดนั้นเลยเหรอคะ?”

“ยิ่งกลับเร็วยิ่งดี” โจวชิงไป๋บอกเธอ

เมื่ออยู่ข้างนอกยามใด เขาก็มักจะรู้สึกว่าเธอวิ่งไปนู่นไปนี่ได้ตลอด เขาจึงไม่อยากจะอยู่ข้างนอก ไม่แม้แต่นิดเดียว ใจของเขาตอนนี้กลับไปอยู่ที่หมู่บ้านแล้ว

“ก็ได้ค่ะ เพราะคุณเป็นหัวหน้าครอบครัว คุณพูดอะไรก็ทำตามนั้น” หลินชิงเหอตอบ

โจวชิงไป๋มีสีหน้าท่าทางดีขึ้น แต่หลังจากที่จองตั๋วรถไฟแล้ว เขาก็ยังถูกหลินชิงเหอลากไปซื้อของอยู่ดี

พวกเขาซื้อของดีประจำเมืองหลวงแปดอย่างเป็นของที่ระลึกให้เด็ก ๆ ได้กิน นอกนั้นก็ไม่มีของอย่างอื่นที่ต้องซื้อแล้ว

เมื่อถึงวันต่อมา หลินชิงเหอกับโจวชิงไป๋ก็ขึ้นรถไฟกลับหมู่บ้าน

หลังได้ประสบกับการนั่งรถไฟเมื่อตอนขามา หลินชิงเหอก็รู้สึกขยาดก่อนจะได้นั่งรถขบวนนี้เสียอีก แต่นอกจากหวาดกลัวแล้วเธอจะทำอะไรได้อีกล่ะ? เธอยังต้องกลับหมู่บ้านอยู่นะ

ในระหว่างการเดินทาง หลินชิงเหอจึงหงุดหงิดขึ้นมาเล็กน้อยจนอารมณ์เสีย แต่ก็ช่วยไม่ได้ การนั่งรถไฟมันทรมานจริง ๆ

ถึงอย่างนั้นมันก็ยังเป็นสิ่งที่เธอต้องการ

ใครบอกให้เธอใช้โอกาสนี้มาเมืองหลวงเพื่อเก็บสะสมของที่อาจสร้างมูลค่าได้ในอนาคตกันล่ะ? นี่ถือเป็นราคาที่เธอต้องแลก

หลินชิงเหอต้องยอมรับว่าเรื่องนี้กินพลังเธอมากเหลือเกิน

“เดี๋ยวอีกไม่นานเราก็จะถึงบ้านแล้วนะ” โจวชิงไป๋เอ่ยปลอบ

หลินชิงเหอเหลือบมองเขา “คุณทำใจได้แล้วเหรอคะ?”

“ผมทำใจได้แล้ว” โจวชิงไป๋ตอบ

ถ้าเขาทำใจไม่ได้แล้วจะเป็นอย่างไรล่ะ? ภรรยาของเขาทำหมันไปแล้ว เขาก็ต้องปล่อยวาง

ไม่อย่างนั้นเขาก็จะสูญเสียภรรยาไป

เทียบกับเรื่องอื่นแล้ว เขายังต้องการให้ภรรยาอยู่เคียงข้างเขามากกว่า และเคียงข้างเขาตลอดไป

หลินชิงเหอพยักหน้าพลางเอ่ยปลอบ “จริง ๆ แล้วมีแค่เด็กชายสามคนนี้ก็พอแล้วล่ะค่ะ คุณอยู่ในกองทัพตลอด จึงไม่รู้หรอกว่ามันเป็นเรื่องยากลำบากแค่ไหนที่ฉันต้องดูแลพวกเขาด้วยตัวคนเดียว มันเป็นหน้าที่ที่ไม่สิ้นสุดตลอดทั้งวันเหมือนการปั่นลูกข่างเลยล่ะค่ะ พอฉันมองย้อนกลับไปแล้วเห็นว่าภายในบ้านยังยุ่งเหยิง ฉันก็เลยทำเรื่องน่ารำคาญแบบนั้นไป แล้วหลังจากนั้นฉันก็รู้สึกเสียใจเหลือเกิน”

เมื่อใดที่คนเราสงบลง พวกเขาก็จะคุยกันได้รู้เรื่องมากขึ้น

โจวชิงไป๋จะรู้ได้อย่างไรว่าไม่มีคำไหนจากปากภรรยาที่เชื่อถือได้? กล่าวกันว่าหากวาจาของผู้หญิงเชื่อถือได้เมื่อไหร่ ก็เป็นวันที่หมูตัวเมียปีนต้นไม้ได้นั่นแหละ

หลินชิงเหอเป็นคนแต่งเรื่องทั้งหมดขึ้นโดยไม่ต้องเอ่ย

ซึ่งเรื่องทั้งหมดมาจากประสบการณ์ของเพื่อนร่วมงานในชีวิตโลกที่แล้ว

แต่มันก็ไม่สามารถป้องกันไม่ให้เธอใช้มันได้ การโกหกสีขาวนับว่ายังอภัยได้อยู่

เรื่องนี้ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้แล้ว อย่างน้อยเธอก็ไม่สามารถเปลี่ยนมันด้วยตัวเธอเองได้

โจวชิงไป๋ยอมรับคำอธิบายของเธอ

เขารู้ดีว่าแม่ของเขามีความสัมพันธ์ที่เลวร้ายกับเธอในอดีต นางจึงไม่ได้ยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือมากนัก เธอจึงต้องดูแลเด็กสามคนด้วยตัวเอง ซึ่งถือเป็นเรื่องที่เข้าใจได้ว่าเธอไม่สามารถรับมือกับเรื่องนี้ไหว

ยิ่งกว่านั้น การมีลูกเพิ่มอีกคนหนึ่งไม่ได้ก็เป็นเรื่องของอดีตไปแล้ว ดังนั้นจึงไม่จำเป็นต้องพูดถึงมันอีก

นับตั้งแต่ที่พวกเขาเปิดอกคุยกันตรง ๆ หลินชิงเหอก็รู้สึกมีความสุขมากขึ้น แต่ถึงจะเป็นอย่างนั้น การเดินทางกลับหมู่บ้านก็ทำให้เธอรู้สึกวิงเวียนอยู่

เมื่อพวกเขาเดินทางมาถึงตัวจังหวัด หลินชิงเหอจึงขอพักที่นี่หนึ่งคืนก่อนจะนั่งรถประจำทางกลับบ้านในวันพรุ่งนี้

โจวชิงไป๋ไม่คัดค้านอะไร ทั้งสองคนจึงได้พักผ่อนอยู่ในจังหวัดเป็นเวลาหนึ่งคืน เมื่อถึงเช้าวันต่อมา พวกเขาก็นั่งรถประจำทางกลับอำเภอ แล้วก็โชคดีมากที่เจอรถแทรกเตอร์คันหนึ่งกำลังเดินทางกลับไปหาฝ่ายผลิตของหมู่บ้านพอดี ทั้งสองเลยได้ติดสอยห้อยตามรถแทรกเตอร์กลับหมู่บ้านด้วย

จึงเป็นที่รู้กันโดยไม่ปิดบังว่าโจวชิงไป๋กับหลินชิงเหอออกเดินทางนอกหมู่บ้าน โดยที่ท่านพ่อโจวเป็นคนดูแลเด็ก ๆ ในตอนกลางคืน

ส่วนท่านแม่โจวไม่มีเวลาไปหาเพราะต้องดูแลซูเฉิงน้อยที่ยังต้องพาไปดื่มนมของสะใภ้สามอยู่

ต่อให้พวกเขารู้ พวกเขาก็ไม่รู้อยู่ดีว่าสามีภรรยาคู่นี้ไปที่ไหนและไปทำไม

เมื่อเห็นพ่อแม่กลับมาที่บ้าน เด็กชายจอมซนทั้งสามก็ดีใจเป็นอย่างมาก

ขณะที่โจวชิงไป๋กับหลินชิงเหอไม่อยู่แค่ชั่วคราว ทั้งหมู่บ้านก็มีข่าวลือโจษจันกันไปทั่ว พวกเขาพากันพูดเรื่องนั้นเรื่องนี้ไปต่าง ๆ นานา และเด็กชายทั้งสามก็ได้ยินด้วย

โดยเฉพาะตอนที่พวกเขาได้ยินว่าหลินชิงเหอมีสุขภาพกายไม่แข็งแรงและกำลังป่วยหนัก มันก็ทำให้เด็กชายทั้งสามรู้สึกร้อนใจเป็นกังวลขึ้นมา

แต่ตอนนี้พวกเขาเห็นว่าพ่อแม่กลับมาบ้านอย่างปลอดภัย ก็เป็นเรื่องปกติที่พวกเขาจะรู้สึกมีความสุข

พวกเขาไม่สนใจของดีแปดอย่างของเมืองหลวงที่พ่อแม่ซื้อกลับมาด้วยซ้ำ แต่กลับมาห้อมล้อมรอบตัวคนทั้งคู่เพื่อให้รู้สึกว่าพ่อแม่กลับมาแล้วจริง ๆ

หลินชิงเหอพูดคุยและให้ความมั่นใจกับพวกเขา ก่อนจะให้พวกเขาหลบไป

จากนั้นเด็กชายทั้งสามก็หยิบของอร่อยชั้นเลิศแปดอย่างจากเมืองหลวงออกมากินข้างนอกบ้าน ซึ่งมันเป็นขนมที่พ่อแม่ของพวกเขาซื้อกลับมาฝาก

ขนมเหล่านั้นดูน่าอร่อยอย่างยิ่ง น่าอร่อยเสียจนพวกเขาเกือบจะกลืนลิ้นตัวเองเข้าไป

จะทำให้คนพวกนั้นอิจฉาจนดิ้นตายเลย คอยดูว่าจะมีใครกล้าพูดจาซุบซิบเกี่ยวกับพ่อแม่ของพวกเขาอีกไหม!

…………………………………………………………………………………

สารจากผู้แปล

พ่อกับแม่คืนดีกันแล้วค่ะ ยินดีด้วยนะคะ ปัญหาคลี่คลายไปหนึ่งอย่างแล้ว

เด็กสามคนร้ายกาจมากค่ะ ไหน…ใครมันเป็นคนปล่อยข่าวลือว่าแม่ป่วยหนัก เอาขนมเมืองหลวงมากินล่อมันซะเลย อนาคตตัวร้ายอยู่ไม่ไกลแล้วจริง ๆ ค่ะ ๕๕๕

จะมีคนในหมู่บ้านดิ้นตายด้วยความอิจฉากี่คน ติดตามตอนหน้านะคะ

ไหหม่า (海馬)

Comment

Options

not work with dark mode
Reset