ตอนที่ 141

 ร้อยพิสดาร (ต้น)
โดย

แม้จะบอกว่าท้องฟ้ามืดสลัวลงแล้ว แต่อันที่จริงกลับยังไม่ถือว่าดึกนัก บวกกับที่เรือนแห่งนี้ของโรงเตี๊ยมชิวหลูมีการจัดวางที่ประณีตสง่างาม หลี่ไหวยื่นมือไปจับนู่นคลำนี่ ไม่รู้สึกง่วงเลยแม้แต่น้อย ฉวยโอกาสตอนที่เฉินผิงอันแกะสลักปิ่นหยก เด็กชายก็รีบเอากล่องไม้ที่เทพเจ้าที่ของเขาฉีตุนมอบให้ออกมาวางไว้บนโต๊ะ แล้วหยิบหุ่นไม้หลากสี รวมถึงหุ่นปั้นดินเหนียวรูปคนทั้งห้าที่เว่ยจิ้นเซียนกระบี่แห่งศาลลมหิมะมอบให้ใส่ไว้ด้านใน จากนั้นค่อยโยน ‘หน้าผาใหญ่น้ำหยุด’ ที่ซื้อมาจากเมืองหงจู๋ลงไป

หลังจาก “ย้ายบ้าน” เรียบร้อยแล้ว กล่องไม้ยาวหนักอึ้งสีเหลืองอ่อนอันนี้ก็ยังคงมีพื้นที่ว่าง ขอบไม้มีสีแดงปรากฏ เว่ยป้อแห่งภูเขาฉีตุนบอกว่าเป็นเพราะฝังอยู่ในดินมานานหลายปีเกินไป สีสันจึงเริ่มเปลี่ยนกลายเป็นแดง ทว่าตัวไม้ไม่เพียงแต่ไม่เน่าเปื่อย กลับกันยังส่งกลิ่นหอมชื่น เวลานี้หลี่ไหวยื่นหน้าเข้าไปในกล่องไม้แล้วตั้งใจสูดกลิ่นดม กลิ่นหอมเย็นสดชื่นนั้นยังคงมีอยู่ดังเดิม ไม่เคยเบาบางจางลง ไม่ต่างจากตอนที่เอาออกมาดมในจุดพักม้าเจิ่นโถวเลยแม้แต่น้อย

หลี่ไหวเริ่มนับนิ้วตัวเอง เดินทางจากบ้านเกิดเมืองนอน มุ่งหน้าไปขอศึกษา ณ ที่ห่างไกล นอนกลางดินกินกลางทรายมาตลอดทาง เขาหลี่ไหวที่เผชิญกับความยากลำบากโดยอาศัยความอดทนก็ถือว่าพอจะมีผลเก็บเกี่ยวอยู่บ้างเล็กน้อย นอกจากกหีบหนังสือสีเขียวมรกตที่ล้ำค่าที่สุดซึ่งวางอยู่ตรงมุมกำแพงแล้ว ยังมีกล่องไม้สีเหลืองอ่อนนี้และหุ่นไม้ หุ่นดินเหนียว และอันที่จริงแล้วด้านในหนังสือ ‘หน้าผาใหญ่น้ำหยุด’ ก็ยังเลี้ยงปลามอดที่มีมูลค่ามากไว้อีกหลายตัว รวมไปถึงปลาชิงหมิงตัวนั้นที่อาเหลียงตบด้วยฝ่ามือเดียวก็เข้ามาอยู่ในหนังสือ เพียงแต่ว่าหลี่ไหวไม่ชอบอ่านหนังสือ น้อยครั้งนักที่จะเปิดอ่านหนังสือที่เฉินผิงอันจ่ายเงินไปเกือบสิบตำลึงเงินเล่มนี้

เวลานี้มองเฉินผิงอันที่ตั้งใจแกะสลักตัวอักษรลงบนปิ่น หลี่ไหวก็นึกขึ้นได้ว่าตัวเองใช้เงินคนอื่นไปตั้งมากขนาดนั้น แต่กลับไม่ค่อยเปิดหนังสือออกอ่าน ตอนที่ซื้อมายังรับปากกับเฉินผิงอันเป็นมั่นเป็นเหมาะว่าจะต้องอ่านแน่ๆ นี่ทำให้เด็กชายรู้สึกละอายใจอยู่บ้าง ดังนั้นจึงหยิบ ‘หน้าผาใหญ่น้ำหยุด’ ที่ดูใหม่เอี่ยมออกมาจากในกล่องไม้แล้วพลิกเปิดหน้าหนึ่งอย่างไม่เลือกมาก ครั้นจึงเริ่มท่องตัวอักษร เพราะหลี่ไหวคิดว่าจะต้องทำให้มโนธรรมในใจของตนรู้สึกดีขึ้นมาสักนิด

หลี่ไหวนึกเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้จึงตบหัวตัวเอง รีบยื่นมือเข้าในคอเสื้อ คลำเจอกระเป๋าตรงมุมหนึ่งที่หลี่หลิ่วพี่สาวเย็บให้เขาเองกับมือ แล้วหยิบห่อกระดาษน้ำมันห่อหนึ่งออกมาโบกตรงหน้าเฉินผิงอัน ยิ้มกว้างพูดว่า “เฉินผิงอัน รู้หรือไม่ว่านี่คืออะไร?”

เฉินผิงอันวางปิ่นและมีดแกะสลักลงอย่างระมัดระวัง นวดคลึงดวงตา เอ่ยถาม “คืออะไร?”

ใบหน้าหลี่ไหวเต็มไปด้วยความลำพองใจ คีบกระดาษแผ่นหนึ่งที่พับอย่างเป็นระเบียบออกมาจากในห่อกระดาษน้ำมัน อธิบายว่า “ตอนนั้นที่โรงเรียนมีแต่คนพากันจากไป สุดท้ายเหลือแค่ข้า หลี่เป่าผิง หลินโส่วอี สือชุนเจียและต่งสุ่ยจิ่งห้าคน บทเรียนคาบสุดท้ายที่ท่านอาจารย์สอน ได้มอบกระดาษตัวอักษรกับพวกเราคนละหนึ่งแผ่น ด้านบนเขียนอักษรคำว่าฉี สั่งให้พวกเราคัดลอกอย่างตั้งใจ บอกว่าเป็นการบ้าน ภายหลังท่านอาจารย์ก็ไม่ได้เก็บต้นฉบับกลับไป การเดินทางไปขอศึกษาในครั้งนี้ ท่านแม่ข้ารู้สึกว่าถึงแม้ตัวอักษรนี้ของท่านอาจารย์จะเขียนได้อย่างเป็นระเบียบ แต่ก็ไม่ได้ใช้หมึกเข้มข้น ตวัดมืออย่างทรงพลังเหมือนตัวอักษรที่เขียนบนกลอนคู่หน้าประตูของบ้านข้างๆ แต่จะอย่างไรข้ากับอาจารย์ฉีก็เคยเป็นอาจารย์และศิษย์กันมาก่อน เก็บเอาไว้ก็ถือว่าเป็นของให้ระลึกถึง จึงบอกให้พี่สาวของข้าแอบเย็บกระเป๋าไว้ข้างในเสื้อแล้วเอามันใส่ไว้ในกระดาษห่อน้ำมันอีกที ภายหลังข้าถามหลี่เป่าผิงกับหลินโส่วอี หลี่เป่าผิงบอกว่าไม่รู้ไปทำหายที่ไหนแล้ว หลินโส่วอีบอกว่าเก็บไว้ในบ้าน กลัวว่าหากเอามาด้วยจะหายหรือถูกทำลายได้ง่าย”

หลี่ไหวคลี่กระดาษที่พับซ้อนกันเป็นชั้นออก ลูบรอยยับย่นเบาๆ เห็นเพียงว่าตัวอักษรฉีบนกระดาษแผ่นนั้นเขียนอย่างบรรจงเป็นระเบียบ ขนาดเท่าฝ่ามือ

 หลี่ไหวจ้องตัวอักษรนั้นอยู่ชั่วครู่ ก่อนเงยหน้าพูดอย่างตั้งใจว่า “เฉินผิงอัน อักษรฉีนี้ข้ามอบให้เจ้าแล้วกัน ข้าเก็บไว้ก็ไม่มีประโยชน์ อีกอย่างข้าก็มักจะขี้หลงขี้ลืมด้วย”

เฉินผิงอันส่ายหน้ายิ้ม “หากเจ้ากลัวว่าจะทำหาย ก่อนจะไปถึงสำนักศึกษาของต้าสุย ข้าสามารถเก็บรักษาไว้ให้เจ้าก่อนชั่วคราว แต่ในเมื่อเป็นการบ้านที่อาจารย์ฉีมอบให้เจ้า ถ้าอย่างนั้นเจ้าที่เป็นลูกศิษย์ของอาจารย์ฉีก็ควรจะเก็บรักษาไว้ให้ดี ต่อให้อาจารย์ฉีจะไม่อยู่แล้ว ไม่ต้องคัดลอกอีกต่อไปแล้ว แต่ก็เหมือนที่มารดาของเจ้าบอกไว้ เก็บกระดาษแผ่นนี้ไว้ อย่างน้อยก็ให้เป็นที่ระลึก”

หลี่ไหวพยักหน้า แล้วจึงสอดกระดาษตัวอักษรเข้าไปในระหว่างหน้าหนังสือ จากนั้นปิด ‘หน้าผาใหญ่น้ำหยุด’ ลงแล้วใส่ไว้ในกล่องไม้

เขาไม่รู้เลยว่าปลามอดสามตัวและปลาชิงหมิงตัวนั้นที่ต่างก็อำพรางตัวอยู่ในหน้าหนังสือต่างกันล้วนพากันออกจากตัวอักษรเดิม แล้วว่ายตะบึงไปตามช่องหว่างระหว่างบรรทัดอย่างรวดเร็ว สุดท้ายบินเข้าไปในกระดาษตัวอักษรฉี ด้วยความลิงโลดสุดขีดสมกับคำว่าปลาได้น้ำอย่างแท้จริง

เมื่อเทียบกับหลี่ไหวที่ได้รับผลเก็บเกี่ยวมหาศาลด้วยความโชคดีแล้ว อันที่จริงหลินโส่วอีก็ไม่ได้แย่ไปกว่ากันสักเท่าไหร่ ยันต์โบราณที่มีระดับขั้นสูงต่ำ ระดับคุณภาพดีเลวต่างกันหนึ่งปึกใหญ่ ‘เหนือเมฆพร่างพราว’ หนึ่งเล่ม ‘ภาพค้นภูเขา’ ที่วาดภูตผีปีศาจนับร้อยชนิดซึ่งนักพรตเฒ่าตาบอดเป็นคนมอบให้หนึ่งแผ่น เพราะเฉินผิงอันมอบหินดีงูชั้นเยี่ยมให้กับเด็กหนุ่มขาเป๋ไปหนึ่งก้อน ถือเป็นของขวัญที่ได้รู้จักกัน ผู้เฒ่าจึงมอบสมบัติที่บอกว่าสืบทอดมาจากสำนักชิ้นนี้มาให้ สุดท้ายเฉินผิงอันจึงมอบต่อให้กับหลินโส่วอี

ส่วนหลี่เป่าผิงก็ยิ่งได้ทั้งยันต์มงคลดาบที่มีชื่อเสียงและน้ำเต้ากระบี่สี่เงิน แม้ว่าจำนวนจะไม่มาก มีแค่สองชิ้นนี้เท่านั้น แต่ทั้งสองชิ้นล้วนเป็นสมบัติสำคัญของตระกูลเซียนที่เหล่าผู้ฝึกตนบนโลกมนุษย์เห็นแล้วต้องน้ำลายไหลด้วยความอยากได้

มีเพียงเฉินผิงอันที่ออกแรงมากที่สุดคนเดียวซึ่งดูเหมือนว่ามาถึงท้ายที่สุดแล้วกลับได้มาแค่เม็ดบัวสีทองอ่อนเหี่ยวแฟบเม็ดนั้น จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่รู้ว่ามันมีประโยชน์อะไร แถมตอนนี้ยังติดหนี้เด็กหนุ่มชุดขาวก้อนใหญ่ด้วย

หลี่ไหวฟุบอยู่บนโต๊ะ ยกเรื่องเก่ามาพูดใหม่อีกครั้ง “บ้านของหลินโส่วอีมีเงินมาก เพียงแต่ว่าสถานะบุตรนอกสมรสของเขากระอักกระอ่วนอย่างมาก ดังนั้นเจ้าหมอนี่จึงอาจจะเป็นพวกมีความคิดละเอียดอ่อน ความรู้สึกเฉียบไวอยู่บ้าง เฉินผิงอัน เจ้าอย่าได้ถือสาเขาเลย”

เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “เดี๋ยวข้าหาเวลาไปคุยกับเขาก็ไม่มีอะไรแล้ว”

หลี่ไหวโพล่งประโยคหนึ่งออกมาอย่างไม่มีสาเหตุ “คนดีกับคนซื่อสัตย์มักจะเสียเปรียบ บิดาข้าเป็นเช่นนี้ เจ้าเองก็เป็นเช่นนี้ เฉินผิงอัน ไม่อย่างนั้นวันหน้าเจ้าอย่าเป็นคนดีจะดีกว่า ในอนาคตต้องคิดถึงตัวเองให้มาก ไม่ต้องคอยอดทนยอมถอยให้คนอื่นไปเสียทุกเรื่อง ไม่อย่างนั้นหลี่เป่าผิงที่รับเจ้าเป็นอาจารย์อาน้อยคงโมโหตายก่อนใครเป็นแน่”

พอพูดถึงหลี่เป่าผิง เฉินผิงอันก็อดถามยิ้มๆ ไม่ได้ “เป่าผิงชอบรังแกเจ้า ทำไมเจ้าไม่เคยตอบโต้นางเลย?”

หลี่ไหวหลุดปากพูดออกมาด้วยสีหน้าสมเหตุสมผล “ก็ข้าไม่กล้านี่นา ข้าเอาชนะนางไม่ได้ด้วย!”

เฉินผิงอันหัวเราะร่า ความเหนื่อยล้าขณะที่แกะสลักปิ่นหยกอย่างยากลำบากหายวับไปทันที

หลี่ไหวเห็นเฉินผิงอันหัวเราะอย่างมีความสุข เด็กชายก็หัวเราะอารมณ์ดีตามไปด้วย เพราะเฉินผิงอันในความทรงจำของเขาไม่ค่อยจะหัวเราะแบบนี้ เฉินผิงอันในเวลาปกติไม่ว่าจะทำอะไรพูดอะไรก็มักจะสำรวมระมัดระวัง กลัวว่าจะพูดผิดทำผิดเสมอ

หลังจากนั้นหลี่ไหวก็นึกขึ้นได้ว่าดูเหมือนบิดาของตนก็เป็นคนแบบนี้เหมือนกัน จึงเม้มปากเล็กน้อย ต่อให้อารมณ์ดี แต่หน้าม่อยไหล่ตก ไม่สนุกสนานเหมือนทีแรก

หลี่ไหวลังเลอยู่ชั่วครู่ก็ยังตัดสินใจว่าจะพูดความในใจของตัวเองกับเฉินผิงอันสักเล็กน้อย เด็กชายที่วางศีรษะฟุบลงบนโต๊ะยื่นคอออกไป กดเสียงต่ำถามอย่างลึกลับ “รู้หรือไม่ว่าข้ามักจะยอมให้หลี่เป่าผิง?”

เฉินผิงอันพูดเย้าแหย่ “เจ้าชอบนาง?”

หลี่ไหวกลอกตามองบน “จะเป็นไปได้อย่างไร ข้าเพิ่งจะอายุเท่านี้เอง! อีกอย่างข้าก็ไม่ใช่หลินโส่วอีกับต่งสุ่ยจิ่งที่เป็นพวกหื่นกาม ทุกครั้งที่พี่สาวข้าเอาของมาให้ที่โรงเรียน ลูกตาของเจ้าสองคนนั้นแถบจะร่วงหลุดลงบนพื้น โดยเฉพาะต่งสุ่ยจิ่งที่ทุกครั้งเวลาหาข้ออ้างไปเล่นบ้านข้า พอพี่สาวข้าไม่อยู่ก็ทำท่าเซื่องซึม แต่พอพี่สาวข้ากลับมาบ้าน ต่งสุ่ยจิ่งก็เหมือนถูกฉีดเลือดไก่ แทบจะช่วยตักน้ำใส่อ่างใหญ่สองใบในบ้านข้าจนเต็ม ท่านแม่ข้าน่ะค่อนข้างชอบต่งสุ่ยจิ่ง เพราะรู้สึกว่าเขาเป็นคนซื่อเหมือนพ่อข้า แต่พี่สาวข้าน่าจะชอบหลินโส่วอีมากกว่า ก็เขาสุภาพเรียบร้อยเหมือนปัญญาชนนี่นะ”

หลังจากนินทาหลินโส่วอีและต่งสุ่ยจิ่งเสร็จ หลี่ไหวที่สีหน้าหม่นหมองก็เปลี่ยนไปเข้าประเด็นสำคัญ “ทุกคนในโรงเรียนต่างก็หัวเราะเยาะพ่อข้า บอกว่าพ่อข้าคือผู้ชายที่ไร้ค่าที่สุดในเมืองเล็ก เป็นผู้ชายที่แต่งเข้าบ้านผู้หญิง ไม่เอาถ่าน วันๆ ไม่ทำงานทำการเป็นหลักแหล่งก็ยิ่งไม่ได้ความ ทึ่มทื่อโง่เขลา มังกรให้กำเนิดมังกร หงส์ให้กำเนิดหงส์ ส่วนหนูก็ได้แต่ขุดรูอยู่ ดังนั้นลูกชายของเขา ซึ่งก็คือข้า ย่อมเรียนหนังสือไม่เก่ง ทุกครั้งที่ท่านอาจารย์ทดสอบ ข้าก็มักจะเป็นที่โหล่เสมอ”

หลี่ไหวยิ้มกว้างจนตาหยี “ชาติกำเนิดของหลี่เป่าผิงดีที่สุดในโรงเรียน ทว่านางกลับไม่เคยเล่นกับใครซึ่งรวมถึงหลินโส่วอีด้วย ทุกครั้งนางจะต้องวิ่งไปวิ่งมาเหมือนกับสายลม แล้วก็มักจะเป็นคนที่มาเรียนสายที่สุด พอเลิกเรียนก็หายตัวไปเป็นคนแรก แม้นางจะรำคาญที่ข้าเอะอะเสียงดัง ไม่ว่าจะมีเรื่องหรือไม่มีเรื่องก็ชอบจะมาทะเลาะกับข้า แต่นางไม่เคยหัวเราะเยาะพ่อข้า มีอยู่ครั้งหนึ่งพ่อข้ามาหาที่โรงเรียน ทุกคนต่างก็รังเกียจ มีเพียงหลี่เป่าผิงที่ยินดีนำทางให้กับพ่อของข้า แถมยังเรียกเขาว่าท่านอาหลี่ ทำให้พ่อข้าดีใจอยู่ตั้งหลายวัน ทุกครั้งที่มีคนจงใจยกเอาบิดาข้ามาพูดเย้ยหยันต่อหน้าข้า หลี่เป่าผิงมักจะห้ามพวกเขา ไม่อนุญาตให้พวกเขาพูดจาว่าร้ายพ่อข้า”

เฉินผิงอันกล่าวอย่างปลงอนิจจัง “ที่แท้ก็เป็นอย่างนี้นี่เอง ใช่แล้ว หลี่ไหว เจ้ามีคนที่เกลียดที่สุดหรือไม่?”

หลี่ไหวอึ้งตะลึง “ไม่มีนี่ ทุกครั้งที่กลับมาถึงบ้าน ได้กินน่องไก่เหนียวนุ่มน่องใหญ่ที่เอร็ดอร่อย ฟังแม่ขาสั่งสอนพ่อและพี่สาวด้วยเรื่องยิบย่อย ความไม่สบอารมณ์ทั้งหมดของข้าก็หายสิ้น”

เฉินผิงอันใช้นิ้วคีบไส้ตะเกียงขึ้นมาโดยตรง เพื่อให้แสงไฟสว่างขึ้นมาอีกหน่อย “เจ้าเก่งมาก”

หลี่ไหวกล่าวอย่างสงสัย “ข้าเก่งตรงไหนกัน? ข้าว่าเจ้าที่ไม่กลัวไฟลวกมือต่างหากที่เก่ง เจ้าขึ้นเขาลงห้วยได้โดยไม่ต้องสวมรองเท้าแตะ ยังตัดฟืนตกปลาเป็น นั่นต่างหากที่เรียกว่าเก่ง เด็กซุกซนอย่างหลี่เป่าผิงนั่นชอบปีนต้นไม้มาตั้งแต่ยังเด็ก พอปีนได้ก็ตะโกนว่าบินแล้วๆๆ แต่พอร่วงตุ้บหล่นลงไปบนพื้นกลับไม่ร้องไห้ ลุกขึ้นยืนเอง สุดท้ายก็เดินกะเผลกๆ กลับบ้าน เพราะกลัวว่าท่าเดินที่ผิดปกติจะทำให้ผู้อาวุโสในบ้านมองออก นางยังจงใจถ่วงเวลากลับไปถึงบ้านให้เย็นมากๆ ขนาดคนที่ฟ้าไม่กลัวดินไม่เกรงอย่างนางก็ยังรู้สึกว่าเจ้าคือคนที่ร้ายกาจที่สุดในใต้หล้า”

เฉินผิงอันหยิบมีดแกะสลักขึ้นมาอีกครั้ง “รอเจ้าโตขึ้นอีกหน่อยก็จะรู้เองว่าทำไมตัวเองถึงเก่ง”

หลี่ไหวไม่เข้าใจ แต่พอมองปิ่นพวกนั้นกลับยิ่งรู้สึกอยากได้ “เมื่อไหร่จะมอบปิ่นพวกนี้ให้พวกเราล่ะ?”

เฉินผิงอันหยุดมือที่กำลังแกะตัวอักษรลง “รอให้ไปถึงสำนักศึกษาต้าสุยก่อนนั่นแหละ”

หลี่ไหวถาม “ทำไมเจ้าถึงมอบ ‘ภาพค้นภูเขา’ แผ่นนั้นให้หลินโส่วอีล่ะ? ข้ามองออกว่าเจ้าเองก็ชอบมันมากเหมือนกัน”

เฉินผิงอันชูปิ่นชิ้นหนึ่งขึ้น อาศัยแสงไฟจ้องมองลวดลายเล็กละเอียดบนตัวปิ่น “ข้ากลัวว่าข้าจะรักษาของที่ดีไว้ไม่อยู่ และพวกเจ้าก็ไม่ใช่คนอื่น มอบให้พวกเจ้า ข้าไม่เสียดาย”

หลี่ไหวถามหยั่งเชิงด้วยประโยคที่ไม่สมควรถามที่สุด “จ่ายเงินคืนละสองพันตำลึงเงินก็ไม่เสียดายหรือ?”

เฉินผิงอันวางปิ่นหยกและมีดแกะสลักกลับลงไปในกล่อง กล่าวด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “ข้าต้องออกไปเดินเล่นสักหน่อย เดินมากจะได้เห็นทัศนียภาพมากๆ คงจะได้กำไรกลับคืนมาสักสองสามตำลึง”

หลี่ไหวหันหน้าไปมองแผ่นหลังของเฉินผิงอัน เด็กชายแอบหัวเราะขำอยู่กับตัวเอง

หลี่ไหวรอจนเฉินผิงอันปิดประตูห้องแล้วถึงบอกกับตัวเองว่า วันหน้าจะต้องหาของที่ดีที่สุดสักชิ้นมอบให้กับเฉินผิงอัน

เพราะตลอดทางมานี้เดินผ่านภูเขาและแม่น้ำมากมาย ลำพังเพียงแค่เรื่องไปอึไปฉี่ห่างจากกลุ่มคนเป็นเพื่อนคนขี้ขลาดอย่างตน จากนั้นยังยืนคุยเป็นเพื่อนตนอยู่ไกลๆ เจ้าหมอนี้ก็ทำมาแล้วไม่รู้ตั้งกี่ครั้ง

Sword of Coming กระบี่จงมา

Sword of Coming กระบี่จงมา

อ่านนิยายเรื่อง Sword of Coming กระบี่จงมา ” หนึ่งโลกธาตุขนาดใหญ่ เต็มไปด้วยความลี้ลับมหัศจรรย์ ใจกลางฟ้าดิน เคยมีปัญญาชนผู้หนึ่งใช้หนึ่งกระบี่ฟาดฟันให้เกิดน้ำตกธารสวรรค์ คือความภาคภูมิใจสูงสุดของโลกมนุษย์ หน้าผาทะเลบูรพา มีนักพรตไร้นามผู้หนึ่งที่ไม่ยินดียินร้ายกับสิ่งใด หวังเพียงให้ลมเย็นโชยมาปะทะใบหน้า แดนสุขาวดีปัจฉิมทิศ มีหลวงจีนเฒ่าที่ชอบเล่าเรื่องราวให้ผู้คนฟัง เลี้ยงมังกรสวรรค์ไว้เก้าตัว พื้นที่กันดารแดนใต้ มีจิตรกรตาบอดควบคุมหุ่นเชิดเกราะทองสูงเท่าเนินเขาให้เคลื่อนย้ายภูเขาใหญ่หนึ่งแสนลูก ปูแผ่เป็นภาพลายปัก เมื่อวันหนึ่งเด็กหนุ่มยากจนที่เติบโตทางทิศเหนือได้พบกับเซียนที่เหนือศีรษะมีกระบี่บินนับพันนับหมื่นประดุจฝูงตั๊กแตน “ เขาจึงอยากจะไปเห็นปัญญาชนคนนั้น เห็นคลื่นยักษ์ที่โถมตัวเทียมฟ้าของทะเลบูรพา เห็นทะเลทรายสีเหลืองทองกว้างไกลนับหมื่นลี้ของแดนประจิม และอยากไปเห็นภูเขาลูกโอฬารของแดนกันดารทางใต้ที่นักเล่านิทานเอ่ยถึงกับตาตัวเอง ดังนั้น ในที่สุดวันหนึ่ง เด็กหนุ่มจึงสะพายกระบี่ไม้พาดหลัง มุ่งหน้าไปทางทิศใต้ –ข้ามีนามว่าเฉินผิงอัน ผิงอันที่แปลว่าสงบสุข สันติ ข้าคือมือกระบี่คนหนึ่ง–

Comment

Options

not work with dark mode
Reset