บทที่ 142 แม่พูดไม่เพราะเลย
ระหว่างช่วงเทศกาลล่าปา หลินชิงเหอก็ตื่นแต่เช้าตรู่และหุงโจ๊กล่าปากลิ่นหอมหวนไว้หม้อใหญ่
ถึงมันจะมีรสชาติหวานปะแล่ม แต่โจ๊กล่าปาที่หลินชิงเหอทำก็มีรสชาติเฉพาะตัวที่อร่อยเลิศ
ในปีที่แล้วท่านพ่อโจวกับท่านแม่โจวไม่ได้มาที่นี่ ทางบ้านนี้จึงส่งโจ๊กไปให้ส่วนหนึ่งและทุกคนก็ได้กินกันอย่างมากคนละ 2 ชาม
แต่เนื่องจากยุคนี้ขาดแคลนของที่มีน้ำมัน ผู้คนจึงมีความหิวโหยในแต่ละมื้อค่อนข้างมาก แม้ทั้งคู่จะมีอายุมากแล้ว แต่ก็สามารถกินอาหารได้เท่ากับคนอายุ 15-16 ปีหากพวกเขาตั้งใจกินจริง ๆ
ดังนั้นโจ๊กสองชามจะไปพออะไรล่ะ? อย่างมากก็ทำให้พวกเขาเกือบอิ่มเท่านั้น
แต่ปีนี้ต่างจากปีที่แล้ว ๆ มา สามีภรรยาชราต่างมากินอาหารทั้งสามมื้อที่นี่ พวกเขาจึงได้สวาปามโจ๊กล่าปาเสียเต็มคราบ
“เมื่อคืนนี้หิมะตกหนักมากเลยค่ะ คุณพ่อคุณแม่นอนหลับอุ่นสบายดีไหมคะ?” หลินชิงเหอถามขณะกินโจ๊กล่าปา
เมื่อคืนนี้หลินชิงเหอเรียกทั้งเจ้าใหญ่กับเจ้ารองให้มานอนในห้องเดียวกับพวกเขา ทั้งครอบครัวนอนอัดกันบนเตียงเตาหลังเดียวกัน และนอนหลับอย่างสุขสบาย
แม้เจ้าใหญ่กับเจ้ารองจะโตแล้ว แต่พวกเขาก็ยังดีใจที่ได้มานอนกับพ่อแม่
“อุ่นดี ผ้านวมผืนใหญ่นั่นทั้งนุ่มทั้งอุ่นดีเหลือเกิน” ท่านแม่โจวตอบด้วยรอยยิ้ม
ท่านพ่อโจวเองก็พยักหน้า
ไม่เพียงแต่ผ้านวมจะอุ่นสบาย แต่เสื้อไหมพรมตัวใหม่ที่ภรรยาเป็นคนถักก็ยังอุ่นมากอีกด้วย
หลินชิงเหอไม่พูดอะไรและปล่อยให้พวกเขาได้กินโจ๊กล่าปาต่อ
“แม่ครับ ปีนี้ครอบครัวเราจะทำหมูสามชั้นหมักหรือเปล่า?” เจ้าใหญ่เอ่ยขึ้นมา
“อะไรนะ? นี่ลูกยังจำได้อยู่อีกเหรอ?” หลินชิงเหอมองเขาอย่างประหลาดใจ
ปีที่แล้วเธอไม่ได้ทำหมูสามชั้นหมัก เธอทำเมื่อปีก่อนหน้านั้น
“ผมจำได้เหมือนกัน” เจ้ารองโพล่งขึ้นมา
ส่วนเจ้าสามก็ถามว่า “หมูสามชั้นหมักคืออะไรเหรอครับ? มันอร่อยไหม?”
ตอนนั้นเขายังเด็กอยู่จึงจำเรื่องนี้ไม่ได้
“อร่อยสิ เอาไปนึ่งแล้วก็ผัดกับผักดองแล้วมันก็ไม่มีเนื้ออะไรที่ดีกว่ามันแล้วล่ะ” เจ้าใหญ่เอ่ย
“แม่ ผมยังไม่เคยกินมันเลย!” เจ้าสามพลันหันมาทางแม่ของเขา
“ยังไม่เคยกินอะไรกัน? ลูกไม่รู้หรอกว่าตัวเองกินไปเยอะขนาดไหน เพียงแต่ว่าลูกเคยกินไปแล้วแต่จำไม่ได้เองต่างหาก” หลินชิงเหอตอบ
“งั้นคุณปู่กับคุณย่าก็คงไม่เคยกินเลยสินะครับ” เจ้าสามเอ่ย
ท่านพ่อโจวเงียบไป ก่อนหน้าที่เขาทำงานให้เจ้าของที่ดิน หัวหน้าพ่อครัวก็เห็นว่าเขายังเด็กเลยให้หมูสามชั้นหมักชิ้นหนึ่งกับเขา จนกระทั่งถึงตอนนี้ชายชรายังจำรสชาตินั้นได้ดี เขาคิดแล้วแทบจะกลืนลิ้นตัวเองลงไปเลยทีเดียว
ส่วนท่านแม่โจวไม่รู้รสชาติของมัน เพราะหลินชิงเหอไม่ได้ทำเยอะมาก เธอก็เลยไม่ได้ส่งมาให้นางชิม
อีกอย่างหนึ่งนางก็เป็นกังวลว่ามันจะเป็นการใช้จ่ายที่หรูหราฟุ่มเฟือย หลินชิงเหอเลยไม่ได้ให้นางชิม
“แค่บอกว่าลูกอยากจะกินก็พอแล้ว ไม่ต้องลากคุณปู่คุณย่าเข้ามาเกี่ยวหรอก” หลินชิงเหอตอบ
“แม่ ทำนะครับ ทำนะครับ” เมื่อเจ้าสามเห็นว่าใช้ไม้แข็งไม่ได้ผลแล้วเขาก็เริ่มใช้ไม้อ่อนแทน
“เดี๋ยวแม่จะลองดูว่ามีเนื้อหรือเปล่านะ ถ้ามีเราก็จะทำหมูสามชั้นหมักตอนปีใหม่ ถ้าไม่มีเราก็รอหมูของเราโดนเชือดแล้วกัน” หลินชิงเหอบอก
ปีนี้หมูสองตัวที่บ้านของเธอยังไม่โดนเชือด พวกมันจะโดนเชือดราวกลางเดือนธันวาคมทางจันทรคติ ถึงตอนนั้นก็คงพอมีเวลาทำหมูสามชั้นหมักอยู่
หลังกินโจ๊กล่าปาแล้ว หลินชิงเหอก็ขี่จักรยานออกไป
โจวชิงไป๋จะตามไปด้วย แต่หลินชิงเหอไม่ปล่อยให้เขาตาม เพราะมันไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร อีกอย่างหนึ่งการปั่นจักรยานในสภาพอากาศแบบนี้มันคงจะอุ่นกว่า เวลานั่งอยู่เฉย ๆ มันหนาวจนแทบแข็งตายเลยทีเดียว
เมื่อเธอบอกว่าอยากออกไปซื้อเนื้อมาทำหมูสามชั้นหมัก ท่านแม่โจวก็ไม่ได้ว่าอะไรแล้ว
ยิ่งกว่านั้นนางยังชราเกินไปและไม่รู้ว่าหมูสามชั้นหมักมีรสชาติเป็นอย่างไร
หลินชิงเหอมาหาเม่ยเจี่ยและบอกว่าอยากได้เนื้อสะโพก และครั้งนี้ก็มีสินค้าอยู่พอดี หลินชิงเหอจึงให้คูปองอาหารในท้องที่กับเม่ยเจี่ยไป 3 ใบ
คูปองอาหารใบหนึ่งมีค่าราว 4 ชั่ง สามใบก็คิดเป็น 12 ชั่ง
“พี่รับประกันเรื่องปริมาณไม่ได้หรอกจ้ะ แต่พรุ่งนี้เธอลองมาเวลานี้ดูนะ” เม่ยเจี่ยเอ่ย
มีคูปองอาหารสามใบนี้แล้ว เม่ยเจี่ยก็เดินหน้าต่อได้
ยิ่งกว่านั้นราคาเนื้อที่หลินชิงเหอให้ก็ทำให้เม่ยเจี่ยได้รับอัตราผลกำไร หล่อนจึงเต็มใจที่จะทำ
ไม่ใช่ว่าหลินชิงเหอไม่มีคูปองเนื้อหรอก ตรงกันข้ามเธอมีเยอะเลยล่ะ
แต่เธอไม่จำเป็นต้องให้คูปองเนื้อกับเม่ยเจี่ย การมีคูปองเนื้อทำให้เธอสามารถไปซื้อเนื้อยามที่ครอบครัวของเธอต้องการ แต่ทางเม่ยเจี่ยไม่มีเนื้อขายให้เธอได้
อย่างหนึ่งที่หญิงสาวไม่ชอบก็คือการที่เธอต้องยืนต่อแถวหน้าแผงขายเนื้อ แต่ในที่สุดกลับได้เนื้อไปแค่ 100 กรัมหรือราว ๆ นั้น
ดังนั้นหลินชิงเหอจึงไม่ค่อยซื้อเนื้อตามแผงขายเนื้อนัก คูปองเนื้อพวกนี้แทบจะใช้แทนเงินสดได้ ซึ่งเธอสามารถนำไปแลกเป็นเงินได้ในตอนเข้าอำเภอ
หลังออกมาจากบ้านของเม่ยเจี่ยแล้ว เธอก็ปั่นจักรยานกลับมาที่บ้าน
ระหว่างทางที่กำลังจะกลับ เธอก็พบกับหญิงชราคนหนึ่งถือไข่ตะกร้าหนึ่งอยู่และมุ่งหน้าไปที่คอมมูน นางคงต้องไปขายไข่แน่
“คุณป้า อยากเอาไข่ไปแลกเหรอคะ?” หลินชิงเหอเอ่ยขึ้นมา
“ฉันจะเอาไข่ไปแลกกับน้ำตาลทรายแดงสักหน่อยน่ะจ้ะ” หญิงชรามองเธอและเอ่ยตอบ
“บังเอิญเสียจริง ฉันเพิ่งซื้อน้ำตาลทรายแดงกลับมาพอดีเลย บางทีอาจเป็นห่อสุดท้ายที่มีในร้านค้าสหกรณ์ด้วย คุณป้าอยากแลกกับฉันไหมคะ? ฉันคงไม่ได้ใช้มันในเร็ว ๆ นี้หรอกค่ะ ฉันให้คุณป้าก่อนได้นะคะ” หลินชิงเหอเอ่ยด้วยรอยยิ้ม
ตอนนี้เธอติดนิสัยเอาตะกร้าติดตัวไปด้วยตอนออกจากบ้านแล้ว เธอหยิบน้ำตาลทรายแดงออกมาห่อหนึ่งหลังหยิบตะกร้าออกมา
น้ำตาลทรายแดงถุงนี้เคยถูกเปิดใช้มาก่อน หลินชิงเหอซื้อมันมาจากในอำเภอเพื่อเก็บไว้เป็นชุดสำรอง แต่ใครจะคิดว่ามันจะถูกใช้ในสักวันหนึ่งกันล่ะ?
เรื่องนี้จึงกลายเป็นเรื่องสะดวกสบายไป
เดิมทีน้ำตาลทรายแดงนี้มาจากมิติของหลินชิงเหอ ตั้งแต่แรกเธอมีน้ำตาลทรายแดงอยู่จำนวน 20 ชั่ง และตอนนี้มันก็เหลือเพียง 4 หรือ 5 ชั่งเท่านั้น ส่วนที่เอาออกมาในตอนนี้มีน้ำหนักราว 1 ชั่ง
อย่างไรก็ตาม การมีน้ำตาลทรายแดงนี้นับว่าเป็นเรื่องโชคดีไม่น้อย เพราะในยุคนี้น้ำตาลทรายแดงเป็นของหายากจริง ๆ
โดยเฉพาะการที่ลูกสะใภ้ของหญิงชรานางนี้เพิ่งจะคลอดลูกเมื่อคืนนี้ และต้องกินน้ำตาลทรายแดงเพื่อบำรุงร่างกาย!
แต่เห็นชัดว่าหญิงชราไม่ได้อยากจะแลกไข่ทั้งตะกร้าเพื่อน้ำตาลทรายแดงชั่งนี้ หลินชิงเหอจึงไม่ได้ลดตัวลงจนเป็นการเอาเปรียบหญิงชราร่างเล็กคนนี้ เธอเลยแบ่งไข่ออกไปสองในสามและให้ส่วนที่เหลืออีกหนึ่งในสามกับหญิงชราคนนี้ไป
“คุณป้าคะ ถ้าเป็นแบบนี้ยุติธรรมดีแล้วใช่ไหมคะ?” หลินชิงเหอถาม
“ถูกจ้ะ ยุติธรรมแล้ว” ในตอนแรกหญิงชรายังคงอ้ำอึ้ง แต่เมื่อเห็นหลินชิงเหอคืนไข่กลับมาเกือบ 1 ชั่ง นางก็พยักหน้าด้วยรอยยิ้ม
หลินชิงเหอพยักหน้าและปั่นจักรยานกลับบ้าน
น้ำตาลทรายแดง 1 ชั่งสามารถแลกเป็นไข่ได้เกือบ 3 ชั่ง โดยที่หลินชิงเหอไม่ได้สูญเสียอะไรเลย
ตอนนี้ที่บ้านรับประทานไข่เป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะตอนที่เธอไม่มีไข่เหลืออยู่ในมิติมากนัก ซึ่งมันก็คงจะถูกบริโภคจนหมดหลังฤดูหนาวนี้
รอจนถึงฤดูใบไม้ผลิปีหน้าก่อน เธอจะเข้าเมืองไปซื้อไข่มากักตุนไว้
หากตอนนี้เธอเอาไข่กลับมาเพิ่มอีก 3 ชั่งมันก็จะกลายเป็นไข่ทั้งหมด 5 ชั่ง ถ้าท่านแม่โจวอยู่ที่บ้าน นางก็จะต้องถามแน่นอน
แต่ตอนนี้ที่บ้านมีเพียงโจวชิงไป๋กับลูกชายทั้งสามเท่านั้น และพวกเขาก็ไม่สนใจที่จะถาม
เธอเป็นคนออกคำสั่งสุดท้ายทุกอย่างในครอบครัว เธอเป็นคนตัดสินใจ ดังนั้นมีเรื่องอะไรจะต้องถามล่ะ
“แม่ครับ แม่ทำหมูสามชั้นหมักได้ไหมครับ” เจ้าสามยังรู้สึกติดใจกับเรื่องนี้
“เจ้าเด็กเหลือขอ ฉันที่เป็นแม่ปั่นจักรยานออกไปท่ามกลางอากาศหนาวเหน็บขนาดนี้ไม่เห็นจะเป็นห่วงแม่ตอนกลับมาถึงบ้านเลย คิดแต่จะกินหมูสามชั้นหมักอยู่นั่นแหละ เป็นแบบนี้เชิญกินขี้ไปเถอะ” หลินชิงเหอตอบ
เจ้าสามได้ยินแบบนี้ไม่เพียงแต่จะไม่โกรธ แต่ยังยิ้มกริ่มใส่เธออีกด้วย “แม่ครับ แม่พูดไม่เพราะเลย”
“ทั้งพ่อทั้งลูกนี่ช่างเป็นภาระฉันจริง ๆ” หลินชิงเหอตีก้นเขาเพียะหนึ่ง จากนั้นก็กลอกตาใส่โจวชิงไป๋ที่ไม่รู้เรื่องรู้ราวก่อนจะนำไข่ไปเก็บไว้ในห้อง
…………………………………………………………………………………
สารจากผู้แปล
เจ้าสามแสบขึ้นนะคะที่ยั่วโมโหแม่ ส่วนพ่อกลายเป็นสนามอารมณ์ของแม่ไปเฉยเลยค่ะ ๕๕๕ สงสารรร…
ผู้แปลมีข่าวดีจะแจ้งค่ะ เนื่องจากวันพรุ่งนี้เป็นวันวาเลนไทน์พอดี ทางกองฯ จึงตกลงกันว่าจะเปิดให้ผู้อ่านทุกท่านได้อ่านฟรี 2 ตอน คือตอนที่ 143-144 ดังนั้นขอให้ผู้อ่านทุกท่านรอติดตามกันด้วยนะคะ
ส่วนท่านใดที่ชื่นชอบแบบเล่ม ถ้าอยากเก็บสะสมหนังสือคุณแม่ลูกสาม จองได้ที่เพจ EnjoyBook หรือลิ้งค์ด้านล่างเลยค่า
https://docs.google.com/…/1Oq3CfpGvChWTSiaJmXdIk4d…/edit
ไหหม่า (海馬)