เฉินผิงอันที่อยู่ตรงปากบ่อเอ่ยว่า “เจ้าขึ้นมา”
เด็กหนุ่มที่อยู่ก้นบ่อส่ายหน้า “ข้าไม่ขึ้น”
เฉินผิงอันกล่าวด้วยน้ำเสียงสงบนิ่ง “พวกเรามาคุยกันดีๆ คุยกันด้วยเหตุผลก่อน ไม่ใช่ตีรันฟันแทงตั้งแต่ต้น อีกอย่างข้าก็มีแรงแค่นั้น หากตีกันขึ้นมาจริงๆ ข้าจะเอาชนะเจ้าชุยตงซานได้หรือ?”
เด็กหนุ่มที่อยู่ด้านล่างส่ายหน้าอย่างแรง “ข้าไม่ขึ้น!”
เฉินผิงอันขมวดคิ้ว “ทำไมล่ะ?”
ชุยฉานตะโกนเสียงดัง “ข้ากลัวร้อน ข้างล่างบ่อนี่เย็นกว่า”
เฉินผิงอันสูดลมหายใจเข้าลึกหนึ่งครั้ง ลุกขึ้นยืนแล้วเริ่มเดินวนรอบปากบ่อช้าๆ
เพียงไม่นานก็มีเสียงดังมาจากข้างล่าง “เฉินผิงอัน เจ้าเลิกเสแสร้งได้แล้ว เจ้าไม่รับข้าเป็นศิษย์ แต่สำหรับข้าแล้วเจ้าคืออาจารย์ ดังนั้นข้าจะทุบตีเจ้าไม่ได้ จะฆ่าเจ้าก็ไม่กล้า หากเจ้ายืนกรานจะลงไม้ลงมือขึ้นมา ข้าต้องเสียเปรียบแน่ อีกอย่างปราณสังหารที่แผ่ออกมาจากทั่วร่างเจ้านั่นก็แทบจะอัดแน่นเต็มบ่อโบราณแห่งนี้อยู่แล้ว หากข้ายังขึ้นไปให้โดนเตะ ข้าก็โง่น่ะสิ!”
เด็กหนุ่มชุดขาวพูดกลั้วหัวเราะ เขาเหยียบอยู่บนผิวน้ำที่แผ่กระเพื่อมเล็กน้อย เด็กหนุ่มชุดขาวชี้ไปยังผนังด้านในของบ่อที่มีตะไคร่เขียวนุ่มลื่นเย็นฉ่ำ
แม้ว่าถ้อยคำที่ใช้จะเรื่อยเปื่อย แต่อารมณ์ของเขาในตอนนี้กลับไม่ผ่อนคลายเลยแม้แต่นิดเดียว เรียกได้ว่าเผาผลาญกำลังจิตใจและรากฐานที่เหลืออยู่อีกไม่มากยิ่งกว่าตอนอยู่จวนมหาวารีเสียอีก
เพราะหลังจากเลียบก้นแม่น้ำมาจนถึงก้นบ่อ นี่เป็นครั้งแรกที่ชุยฉานตระหนักได้ว่าเจ้าเด็กแซ่เฉินที่อยู่ข้างบนผู้นั้นกลับสามารถเป็นภัยคุกคามต่อชีวิตของเขาได้จริงๆ แม้จะไม่รู้ว่าเฉินผิงอันซุกซ่อนวิธีการอันน่าครั่นคร้ามอะไรเอาไว้ แต่ลางสังหรณ์ของเขามักแม่นยำเสมอมา
แม้เท้าของเฉินผิงอันจะเดินอ้อมวนบ่อน้ำ แต่เขากลับไม่ยินดีพูดจาอ้อมค้อมกับเจ้าหมอนี่ จึงถามไปตามตรง “แผนที่ของที่ว่าการอำเภอแผ่นนั้น เจ้าได้ให้นายอำเภออู๋ยวนแอบทำอะไรกับมันหรือไม่?”
ชุยฉานตะโกนดังลั่น “เฮ้ๆๆ เฉินผิงอัน เจ้าพูดอะไรน่ะ ข้าฟังไม่ค่อยถนัด”
เฉินผิงอันพยักหน้า “ถ้าอย่างนั้นก็ใช่แล้ว”
ชุยฉานร้อนใจขึ้นมาทันใด “อะไรนะ? มีเหตุผลแบบนี้ด้วยหรือ?”
เฉินผิงอันถามต่อ “ข้าถามเจ้าแค่คำถามเดียว เจ้าจะทำร้ายพวกหลี่เป่าผิงหรือไม่?”
ชุยฉานไม่ได้ตอบคำถามนี้ตรงๆ แต่ถามกลับว่า “หากข้าตอบไป เจ้าจะเชื่อหรือไม่?”
เฉินผิงอันตอบอย่างไม่ลังเล “ไม่เชื่อ”
ชุยฉานโมโหตนเต้นผาง “แล้วเจ้าจะถามทำผายลมอะไร!”
เด็กหนุ่มที่อยู่ด้านบนไม่พูดอะไรอีก
ชุยฉานเงี่ยหูฟัง ไม่มีความเคลื่อนไหว เขาพลันตื่นตระหนก ในใจเต็มไปด้วยความรู้สึกไม่เป็นธรรม สีหน้าเศร้าสลดคละเคล้าไปกับความฮึกเหิม ในใจคิดว่า มารดามันเถอะ สมกับคำว่าพยัคฆ์เฒ่าออกจากป่า สุนัขธรรมดาก็รังแกได้จริงๆ หากเปลี่ยนไปเป็นตอนอยู่จวนมหาวารี ไม่ว่าข้าจะหยิบมดตัวไหนโยนออกมาไว้ตรงหน้าเจ้าเฉินผิงอัน เจ้ายังจะกล้าทำตัวกำเริบเสิบสานแบบนี้อีกหรือไม่?”
น่าเสียดายที่คนเราเมื่ออยู่ใต้ชายคนก็จำต้องก้มหัวลงต่ำ เด็กหนุ่มชุดขาวยืดคอยาวตะโกนดัง “เฉินผิงอัน คุณชายเฉิน พี่เฉิน นายท่านเฉิน ท่านบรรพบุรุษเฉิน! ให้ตายอย่างไรเจ้าก็ไม่ยอมเป็นอาจารย์ของข้า ไม่เป็นก็ไม่เป็น แต่พวกเราไม่มีความแค้นใดๆ ต่อกัน เจ้าอย่าไร้เหตุผลขนาดนี้จะได้ไหม? หากไม่พูดกันถึงด้านความรู้สึก พวกเราสองคนก็คุยกันด้วยคุณธรรมของยุติธรรมก็ได้!”
ในที่สุดด้านบนก็มีเสียงตอบรับ “ข้าเคยรับปากอาจารย์ฉีว่าจะส่งพวกเขาไปถึงสำนักศึกษาต้าสุยอย่างปลอดภัย”
เหนือผิวน้ำตรงก้นบ่อ เด็กหนุ่มชุดขาวเงียบเสียงลงไปอย่างสิ้นเชิง
ข้างบ่อน้ำ หลังจากประโยคนี้ผ่านไปก็ไม่มีเสียงใดดังขึ้นอีก
เฉินผิงอันไม่เคยเชื่อใจเด็กหนุ่มชุดขาว มักจะระแวดระวังเขามาโดยตลอด
คนแซ่ชุยมีเจตนาไม่ซื่อมาตั้งแต่แรก เรื่องนี้ไม่ต้องสงสัย แม้แต่คนตาบอดก็ยังมองออก
ยกตัวอย่างเช่นการเข้ามาพักในโรงเตี๊ยมชิวหลูครั้งนี้ ก่อนหน้านี้คนแซ่ชุยใช้ศาลเทพอภิบาลเมืองเป็นตัวจุดฉนวน แล้วก็สาวดึงโรงเตี๊ยมชิวหลูตามมา มองดูเหมือนเป็นคำพูดจากความหวังดี แต่กลับใช้การฝึกตนของหลินโส่วอีมาเป็นเหยื่อล่อให้เฉินผิงอันเป็นฝ่ายตามหาที่ตั้งเก่าของศาลเทพอภิบาลเมือง
หลังออกจากด่านเหย่ฟูต้าหลี เมื่อเทียบกับอุปสรรคที่พบเจอก่อนหน้านั้น ตลอดทางนี้กลับราบรื่นอย่างมาก หลินโส่วอีสงบใจฝึกตน หลี่ไหวไม่สนใจอะไรเพราะยังเด็ก ส่วนหลี่เป่าผิงที่แม้ปากจะไม่พูดอะไร แต่เรื่องของพ่อลูกจูเหอจูลู่ทำให้แม่นางน้อยเสียใจอยู่มาก อีกอย่างตลอดเวลาที่เดินทางมา นางคือคนที่เหมาะสมกับประโยคว่าแบกหีบหนังสือทัศนาจรไกลมากที่สุด นางมักจะพิจารณาถึงคำถามประหลาดพิสดารอยู่เสมอ อีกทั้งเมื่อเทียบกับหลินโส่วอีที่ถือเป็นผู้ฝึกลมปราณแล้ว และหลี่ไหวที่มีพรสวรรค์เลิศล้ำแล้ว หลี่เป่าผิงต่างหากถึงจะเป็นคนที่ลำบากที่สุดในการเดินทางไปขอศึกษาครั้งนี้
ส่วนเซี่ยเซี่ยกับอวี๋ลู่ เดิมทีก็เป็นคนที่เด็กหนุ่มชุดขาวพามาอยู่แล้ว จึงเป็นอีกเรื่องหนึ่ง
แม้ว่าตลอดเช้าจรดค่ำเฉินผิงอันจะยุ่งยิ่งกว่าใคร นอกจากต้องดูแลอาหารการกินและการอยู่ของคนทั้งสามแล้ว เวลาที่เดินทางยังต้องคอยฝึกท่าหมัดเดินนิ่งด้วย ถ้ามีเวลาว่างก็จะต้องใช้ท่ายืนนิ่งเจี้ยนหลูมาหล่อหลอมเรือนกาย ซ่อมแซมรูโหว่ช่องว่าง แต่ไม่ว่าจะเป็นการเข่นฆ่าบนภูเขาฉีตุน การลอบสังหารที่ชั่วร้ายของจูลู่ในจุดพักม้าเจิ่นโถวเมืองหงจู๋ หรือจะเป็นสถานการณ์อันตรายหลังได้พบเจอผีสาวสวมชุดแต่งงาน รวมไปถึงการเดินขึ้นเขาลงห้วยในถิ่นของแคว้นหวงถิง
เฉินผิงอันก็ไม่เคยลืมเลยว่า เขาจะต้องคุ้มครองส่งพวกหลี่เป่าผิงสามคนไปขอศึกษาต่อที่สำนักศึกษาต้าสุย
คืนนี้ก่อนที่หลินโส่วอีจะออกไปจากศาลาลมเย็น ได้เอ่ยเตือนเขาหนึ่งประโยคว่า หากชุยตงซานผู้นี้คิดจะรีดไถของบางอย่างไปจากตัวเจ้าเฉินผิงอัน ก็ไม่แน่เสมอไปว่าจะเป็นสิ่งของที่จับต้องได้จริง อาจจะเป็นของบางอย่างที่ใหญ่มากและว่างเปล่ามากซึ่งเกี่ยวพันกับมหามรรคาของผู้ฝึกตน
หลี่เป่าผิงเองก็เคยพูดโดยไม่ได้ตั้งใจว่า คนแซ่ชุยมีฝีมือเล่นหมากล้อมร้ายกาจมาก นางกับหลินโส่วอีอย่างมากสุดก็ได้แค่อนุมานก้าวที่จะเดินหลังจากนั้นสองสามก้าว แต่คนแซ่ชุยกลับสามารถวางแผนได้อย่างยาวไกลมาก ไกลจนทำให้นาง หลินโส่วอี เซี่ยเซี่ยและอวี๋ลู่ต่างก็ไม่อาจจินตนาการได้ถึง เวลาที่เล่นหมากล้อมกับพวกเขา มีความเป็นไปได้มากว่าตอนที่เพิ่งหยิบหมากมาไว้ในมือ คนแซ่ชุยก็คิดถึงช่วงกลางกระดานหรืออาจถึงขั้นจบกระดานแล้ว
หลังจากหลินโส่วอีไปจากศาลาลมเย็น เฉินผิงอันที่มองบ่อโบราณนั้นก็ยิ่งรู้สึกว่าปมในใจยากจะคลายออก
เฉินผิงอันคิดไปคิดมา ไม่เพียงแต่ไม่สามารถจัดระเบียบเส้นทางความคิดได้อย่างชัดเจน กลับกลายเป็นว่ายิ่งขมวดเป็นปมยุ่งเหยิง สุดท้ายเขาอับจนหนทางจึงลองวางเรื่องจุกจิกทั้งหมดลงชั่วคราว แล้วผลักทุกอย่างกลับคืนไปยังจุดเริ่มต้น
ยกตัวอย่างเช่นเมืองเล็กอันเป็นบ้านเกิด
และยกตัวอย่างเช่นตอนได้พบเจอกันเป็นครั้งแรก
จากนั้นเฉินผิงอันก็นึกถึงคนนอกสถานการณ์คนหนึ่งอย่าง นายอำเภออู๋ยวน
มีนายอำเภอก็ต้องมีที่ว่าการอำเภอ และที่มาที่แท้จริงของผืนที่ภูมิศาสตร์ใหญ่น้อยแผ่นนั้นก็มาจากที่ว่าการ ไม่ได้มาจากแม่นางหร่วนซิ่ว
หลังกลับมาที่ห้อง เฉินผิงอันก็เริ่มเอาแผนที่เหล่านั้นออกมากาง การดูครั้งนี้ของเขาใช้เวลาไปหนึ่งชั่วยามเต็ม
ยังคงหาความจริงที่แน่ชัดไม่เจอ แต่เฉินผิงอันกลับพอจะมองเห็นเส้นเส้นหนึ่ง
หากรวมแผนที่แต่ละแผ่นเข้าด้วยกัน เส้นทางที่ว่านี้อาจจะยาวไม่ถึงหนึ่งจั้ง
แต่ความยาวเพียงเท่านี้กลับทำให้พวกเฉินผิงอันกลับต้องเดินทางลำบากลำบนกันมานานถึงเพียงนี้
ชุยฉานชูมือสองข้างขึ้นสูง “ข้ากลัวเจ้าแล้ว จะให้ข้าสาบานต่อสวรรค์เลยก็ได้ ข้าชุยฉานรับรองว่าจะไม่ทำร้ายเด็กน้อยสามคนอย่างพวกหลี่เป่าผิง หลี่ไหวและหลินโส่วอี!”
“ชุยตงซาน”
เฉินผิงอันลังเลอยู่ครู่ใหญ่ “เจ้าพูดจริงหรือ?”
ชุยตงซานตบอกเสียงดังไปถึงปากบ่อ “เชื่อข้าสักครั้งเถอะ!”
และเวลานี้เอง น้ำเสียงใสแจ๋วเริงร่าก็ดังขึ้น “อาจารย์อาน้อย! ท่านอยู่ที่นี่จริงๆ ด้วย!”
มีแม่นางน้อยสวมชุดผ้าฝ้ายบุนวมสีแดงคนหนึ่งพุ่งเข้ามาถึงศาลาลมเย็นอย่างรวดเร็วพร้อมเสียงลมดังฟิ้วๆๆ ตามหลัง จากนั้นก็กระโดดขึ้นสูง แขนเล็กๆ สองข้างวาดตีสะบัดอยู่กลางอากาศเต็มแรง เสียงตุ้บดังหนึ่งครั้ง ขาทั้งสองข้างก็ร่วงลงพื้นแทบจะเวลาเดียวกัน ร่างที่หยัดตรงอยู่นอกศาลาส่ายเอนไปมา สุดท้ายยืนได้มั่นคง แต่ยังอยู่ห่างจากบ่อน้ำโบราณอีกเล็กน้อย แม่นางน้อยจึงออกวิ่งอีกครั้ง
เฉินผิงอันอ้าปาก หัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก แต่ก็ชินซะแล้ว จึงเดินเร็วๆ เข้าไปหานาง ถามว่า “ทำไมถึงไม่นอน?”
หลี่เป่าผิงถอนหายใจเหมือนคนแก่ “เซี่ยเซี่ยผู้นั้นนอนกรนเสียงดัง น่ารำคาญชะมัด”
เฉินผิงอันแค่ยิ้มตอบ ไม่ได้เอ่ยอะไร
แม่นางน้อยจึงพูดความจริงทันใด “ก็ได้ ข้ายอมรับว่านางไม่ได้นอนกรน แต่เป็นข้าที่สะดุ้งตื่นเพราะฝันร้าย”
เฉินผิงอันหันหน้าไปมองปากบ่อน้ำแวบหนึ่ง พอดึงสายตากลับคืนมาแล้วก็ถามยิ้มๆ ว่า “ฝันว่าอะไร?”
หลี่เป่าผิงส่ายหน้า “ข้าฝันแทบจะทุกวันมาตั้งแต่ยังเด็ก แต่พอตื่นมากลับไม่เคยจำได้ว่าฝันว่าอะไร จำได้แค่ว่าเป็นฝันดีหรือฝันร้ายเท่านั้น”
เฉินผิงอันดึงนางเดินกลับไปนั่งที่ศาลา
แม่นางน้อยพูดจ้อเป็นต่อยหอย “อาจารย์อาน้อย พวกเราเดินทางออกจากเมืองเล็กมาเกือบครึ่งปีแล้ว ตามที่แผนที่บอกไว้ พวกเราเดินตามเส้นทางมาได้เกินครึ่งแล้ว เวลาผ่านไปเร็วจริงๆ เร็วยิ่งกว่าเวลาข้าวิ่งซะอีก ว่าไหม?”
“เฮ้อ หากต้าสุยอยู่ทางใต้สุดของแจกันสมบัติทวีปเราก็ดีน่ะสิ ข้าจะได้ไปเห็นมหาสมุทรกว้างใหญ่พร้อมกับอาจารย์อาน้อย”
“อาจารย์อาน้อย ท่านว่าขนาดแม่น้ำเถี่ยฝูกับแม่น้ำซิ่วฮวายังกว้างใหญ่ขนาดนั้น แล้วมหาสมุทรควรจะต้องมีน้ำมากเท่าไหร่? ได้ยินพี่ชายใหญ่ของข้าบอกว่าที่นั่นมีนครมังกรเฒ่าอยู่แห่งหนึ่ง หากอยู่บนกำแพงแล้วมองไปทางทิศใต้จะเห็นว่ายอดคลื่นสูงเท่าตึกหลายสิบชั้น ท่านว่าน่าตกใจไหมล่ะ?”
เฉินผิงอันตอบยิ้มๆ “หากเดินไปได้ไกลขนาดนั้น รองเท้าแตะคงพังไปหลายข้าง แต่ว่าสำนักศึกษาต้าสุยที่พวกเราจะไปเยือนในครั้งนี้ ได้ยินมาว่าในขอบเขตของต้าสุย ทางบนภูเขาจะน้อยมาก ถึงเวลานั้นพวกเจ้าก็ไม่ต้องสวมรองเท้าแตะแล้ว ทุกคนควรซื้อรองเท้าหุ้มแข้งที่สบายและเหมาะสมใส่ได้แล้ว”
หลี่เป่าผิงก้มหน้าลงมองรองเท้าสานที่หนาแน่นแข็งแรงของตัวเอง พอเงยหน้าก็ยิ้มกว้าง “ถ้าถึงเวลานั้นข้าจะสวมรองเท้าหุ้มแข้งเหมือนของอาจารย์อาน้อย แค่ขนาดไม่เท่ากันเท่านั้น เราตกลงกันเรียบร้อยแล้วนะ”
เฉินผิงอันเอ่ยหยอกล้อ “ทำไม หาอาจารย์อาน้อยไม่สวมรองเท้าหุ้มข้อ แต่ยังสวมรองเท้าแตะต่อไป เจ้าจะรังเกียจที่อาจารย์อาน้อยทำตัวน่าขายหน้าใช่หรือไม่?”
หลี่เป่าผิงทำสีหน้าตะลึง เบิกตาโต “ว้าว ตอนนี้อาจารย์อาน้อยรู้จักพูดหยอกล้อกับคนอื่นแล้วหรือนี่!”
เฉินผิงอันอึ้งงัน
หลี่เป่าผิงนั่งอยู่บนม้านั่งตัวยาว แกว่งเท้าเล็กสองข้างที่สวมรองเท้าสานคู่น้อย เงยหน้าขึ้นก็มองเห็นกระดิ่งลมที่ห้อยอยู่ใต้ชายคาโดยบังเอิญ
แม่นางน้อยเอ่ยขึ้นอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ยว่า “อาจารย์น้อย ข้ามักจะรู้สึกอยู่เสมอว่าท่านอาจารย์คิดถึงพวกเรา”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ
แม่นางน้อยแหงนศีรษะพาดไว้บนราวระเบียงศาลาที่ทาสีแดง นางหลับตาลง เงี่ยหูรับฟัง
ราวกับว่าสายลมวสันตฤดูเสี้ยวสุดท้ายบนโลกกำลังพัดผ่านกระดิ่งลมใต้ชายคา
กรุ๊งกริ๊ง กรุ๊งกริ๊ง…
แม่นางน้อยรออยู่นาน แต่กลับไม่ได้ยินเสียงกระดิ่งชุดที่สอง นางพลันกระโดดลงจากม้านั่ง วิ่งตะบึงจากไป วิ่งพลางหันมาโบกมือไปด้วย “อาจารย์อาน้อย ข้าไปนอนก่อนล่ะ!”
เฉินผิงอันยิ้มโบกมือตอบรับนาง จากนั้นก็กลับไปที่บ่อโบราณอีกครั้ง
เด็กหนุ่มชุดขาวยืนอยู่ที่เดิมตลอดเวลา ทั้งไม่ไปออกไปจากก้นบ่อ แล้วก็ไม่ได้มาปรากฏตัวอยู่ตรงปากบ่อ
……
เทือกเขาทอดยาวทางทิศตะวันตกของอำเภอหลงเฉวียน หนึ่งในนั้นมีภูเขาลูกหนึ่งชื่อว่าภูเขาลั่วพั่ว เพราะก่อนหน้านี้ราชเลขาฝ่ายบุ๋นนามว่าฟู่อวี้เกิดความขัดแย้งกับคนต่างถิ่น อู๋ยวนไม่ยินดีให้เกิดปัญหาแทรกซ้อนในเวลานี้ ยิ่งไม่หวังให้มีคนเอาเรื่องนี้มาเป็นข้ออ้างก่อเรื่อง ในฐานะคนสนิทอันดับต้นๆ ของนายอำเภออู๋ยวน เขาจึงได้รับคำสั่งให้มาจับตาดูการก่อสร้างศาลเทพภูเขาอยู่ที่นี่ ทว่าแท้จริงแล้วถือว่ามาหลบภัย
ท่ามกลางราตรีมืดมิดที่แสงจันทร์และแสงดาวอ่อนจาง ชายหนุ่มจากเมืองหลวงที่เกิดในตระกูลสูงศักดิ์ของต้าหลี แต่กลับต้องกลายมาเป็นขุนนางน้อยลำดับล่างต่างถิ่นเดินทางเพียงลำพังมาพบกับคนประหลาดคนหนึ่งที่กำลังสร้างเรือนไม้ไผ่อยู่บนภูเขาลั่วพั่ว
หลังจากคนผู้นั้นเห็นฟู่อวี้ก็ถามยิ้มๆ ว่า “ไม่ควรเป็นนายอำเภออู๋ ลูกศิษย์ของราชครูชุยที่ต้องมาหาข้าด้วยตัวเองหรอกหรือ?”
สีหน้าของฟู่อวี้เรียบเฉย อธิบายอย่างตรงไปตรงมา “อู๋ยวนคือหมากคือเหนียงเนียงวางไว้ข้างกายอาจารย์ของเขา ส่วนข้าก็คือหมากที่ใต้เท้าราชครูวางไว้ข้างกายนายอำเภอหลงเฉวียน”
รูปลักษณ์ภายนอกที่หล่อเหลาสง่างาม มาดของลูกหลานตระกูลชนชั้นสูง สายตาเฉยเมย สุดท้ายบวกกับถ้อยคำที่เย็นชา ช่างแตกต่างจากภาพลักษณ์อ่อนโยนสง่างามยามที่ฟู่อวี้อยู่ในที่ว่าการราวฟ้ากับเหว
หลังจากที่ฟู่อวี้โพล่งความลับสวรรค์ออกมาด้วยประโยคเดียว เขาก็ยื่นฝ่ามือข้างหนึ่งออกมาแบตรงหน้าอีกฝ่าย
นับตั้งแต่ที่ฟู่อวี้หยิบหมากสีดำตัวหนึ่งออกมา คนผู้นั้นก็ชี้มือบอกให้ฟู่อวี้นั่งบนเก้าอี้ไม้ไผ่ตัวหนึ่ง แล้วกล่าวด้วยรอยยิ้มเต็มใบหน้า “เข้าใจแล้ว ถ้าอย่างนั้นพวกเราคนหนึ่งก็เสนอราคาสูงลิบลิ่ว อีกคนหนึ่งนั่งต่อราคา ทำเรื่องเอาตัวรอดไปวันๆ เหมือนแมลงวันที่ซอกซอนเข้ารังโน้นรังนี้ เหมือนสุนัขที่คอยกระดิกหางเรียกความสงสารอยู่ภายใต้แสงจันทร์สายลมเช่นนี้?”
ฟู่อวี้มองอดีตเทพขุนเขาเหนือแคว้นเสินสุ่ยในอดีตผู้นี้แล้วพยักหน้ารับคำพูดอีกฝ่าย ไม่ได้รู้สึกอับอายจนพานมาเป็นโกรธเพราะคำถากถางของเว่ยป้อ เขานั่งลงบนเก้าอี้ไม้ไผ่ตัวเล็กอย่างสง่าผ่าเผย หันหน้าไปมองเรือนไม้ไผ่ที่ยังสร้างไม่เสร็จ หอเรือนแห่งนี้ขนาดไม่ใหญ่ ใช้เวลาสร้างมานานแล้ว แต่กลับยังสร้างได้ไม่ถึงครึ่ง เพราะเว่ยป้อไม่ได้จ่ายเงินจ้างคนหนุ่มแข็งแรงของเมืองเล็ก แล้วก็ไม่ยอมไปทักทายที่ว่าการอำเภอหลงเฉวียนเพื่อขอยืมตัวนักโทษสกุลหลูมาช่วย แต่ลงมือทำด้วยตัวเองมาตั้งแต่ต้น
เพราะตอนนี้มีเพียงภูเขาแค่ไม่กี่รวมซึ่งรวมถึงภูเขาลั่วพั่วที่ไม่ถูกสั่งปิด พวกชาวบ้านและพรานป่ายังคงสามารถเข้ามาตัดฟืนในภูเขาลั่วพั่วได้เหมือนเดิม ส่วนภูเขาลูกอื่นๆ ต่างก็มีเทพเซียนของฝ่ายต่างๆ ที่สั่งให้คนมาสร้างจวนที่พัก บรรยากาศคึกคัก ทุกวันจะต้องมีฝุ่นคลุ้งตลบอยู่บนภูเขา
เล่าลือกันว่าภูเขาลั่วพั่วมีร่องหินหน้าผาที่ลึกจนมองไม่เห็นเบื้องล่างอยู่แห่งหนึ่ง สามารถมองเห็นร่องรอยการบดขยี้ขนาดมหึมาอยู่โดยรอบ ชาวบ้านร่างกำยำและพนักงานชั้นผู้น้อยของที่ว่าการที่มาสร้างศาลเทพภูเขาหลายคนต่างก็พูดว่าเคยเห็นงูดำตัวยาวหนาเท่าปากบ่อน้ำตัวหนึ่งซึ่งจะมาดื่มน้ำตรงลำธารเป็นประจำ พอเห็นพวกเขา สิ่งมีชีวิตเรือนกายใหญ่โตมโหฬารนั้นทั้งไม่ถอยหนีด้วยความหวาดกลัว แล้วก็ไม่เคยเป็นฝ่ายทำร้ายใครก่อนด้วย ทำเพียงแค่ดื่มน้ำของตัวเองจนอิ่มแล้วเลื้อยจากไป
เว่ยป้อทำพัดกระดาษซี่ไม้ไผ่ที่ประณีตงดงามให้ตัวเองเล่มหนึ่ง พอนั่งลงบนเก้าอี้ไม้ไผ่แล้วก็ยกเท้าขึ้นไขว่ห้าง คลี่พัดพัดลมเย็นให้ตัวเองเป็นระลอกเบาๆ
ตลอดทั้งฤดูร้อนของปีนี้แทบจะไม่มีวันใดที่แดดร้อนแผดเผาเลย ตอนนี้ใกล้จะเข้าฤดูใบไม้ร่วงแล้วจึงทำให้คนปรับตัวไม่ทันสักเท่าไหร่
ราวกับการกระโดดข้ามช่องกระดานที่แม่นางน้อยชุดผ้าฝ้ายบุนวมสีแดงแห่งถนนฝูลวี่ใช้ถ่านเขียนลงบนพื้น เพียงชั่วพริบตาฤดูใบไม้ผลิก็กระโดดเข้าสู่ฤดูใบไม้ร่วง
ฟู่อวี้ลังเลเล็กน้อย ก่อนจะพูดนอกเรื่องหนึ่งประโยคเป็นการเกริ่นนำ “แม้ว่าจะอยู่กันคนละฝ่าย แต่ใต้เท้าอู๋เป็นคนดี ในอนาคตก็จะยิ่งกลายมาเป็นขุนนางที่ดี”
เว่ยป้อยิ้มอย่างไม่ใส่ใจนัก “ถ้าอย่างนั้นก็ต้องมีชีวิตอยู่ก่อนถึงจะได้”
สีหน้าของฟู่อวี้ไม่น่ามองสักเท่าไหร่
เว่ยป้อแสร้งทำเป็นมองไม่เห็น พัดไม้ไผ่กระพือเบาๆ ลมภูเขาพัดโชยมา เป่าให้เส้นผมข้างจอนหูปลิวไสว ขับให้เขาเหมือนเทพเซียนยิ่งกว่าเทพเซียนเสียอีก
เว่ยป้อกล่าวอย่างเกียจคร้านว่า “ของในมือข้าที่เอาออกมาแลกเปลี่ยนได้มีอยู่ไม่มาก ไม่สู้เจ้าลองพูดมาก่อนว่าข้าจะได้อะไรบ้าง”
ฟู่อวี้สูดลมหายใจเข้าลึกหนึ่งครั้ง “กลายเป็นเทพขุนเขาเหนือของต้าหลี!”
สีหน้าของเว่ยป้อเรียบเฉย เพียงยิ้มน้อยๆ “หากข้าจำไม่ผิด หลังจากสงครามใหญ่ของเทพขุนเขาเหนือพวกเจ้าผ่านพ้นไปแล้ว เขาก็ยังสุขสบายดีนี่หน่า ฮ่องเต้ต้าหลีคงไม่สามารถปลดตำแหน่งเทพที่สำคัญเช่นนี้ได้ตามใจชอบหรอกกระมัง?”
ฟู่อวี้กดเสียงลงต่ำ “ก่อนหน้านี้ฝ่าบาททรงเสนอให้เลื่อนภูเขาพีอวิ๋นของที่แห่งนี้ขึ้นเป็นขุนเขาเหนือแห่งใหม่ของต้าหลี ภายหลังเรื่องถูกดองไว้ แต่ช่วงนี้มีการพัฒนาอย่างใหม่เกิดขึ้น ฝ่าบาทจึงทรงตัดสินใจอย่างเฉียบขาดว่าจะผลักดันเรื่องนี้
เว่ยป้อถาม “จริงรึ?”
ฟู่อวี้พยักหน้ารับ “จริง”
เว่ยป้อเอ่ยด้วยรอยยิ้มมีเลศนัย “จะฉุกละหุกเกินไปหน่อยหรือเปล่า? อย่าว่าแต่สกุลเกาของต้าสุยเลย แม้แต่แคว้นหวงถิง ต้าหลีของพวกเจ้าก็ยังยึดมาไม่ได้ แต่กลับเริ่มคิดจะเอาขุนเขาเหนือไปวางไว้ทางด้านใต้สุดของอาณาเขตแคว้นแล้วหรือ?”
ฟู่อวี้ยืนกรานจะเงียบต่อไป เขาปิดปากแน่นสนิท ไม่คิดจะวิพากษ์วิจารณ์การตัดสินใจของฮ่องเต้เด็ดขาด
เว่ยป้อพับพัดเก็บ เงียบคิดไปนานกว่าจะทอดถอนใจ “ต้าหลีวาดขนมชิ้นใหญ่ขนาดนี้ไว้ให้ข้าเชียวหรือ”
เขาลุกขึ้นยืน ใช้พัดตีฝ่ามือตัวเองเบาๆ หันหน้าไปมองเรือนไม้ไผ่
“ฮ่าๆ สายตาของฮ่องเต้ต้าหลีพวกเจ้าไม่เลวเลยจริงๆ ข้าเว่ยป้อคือบุคคลที่ถูกอาเหลียงแทงหนึ่งดาบแล้วก็ยังมีชีวิตรอดมาได้ ดังนั้นจะให้เป็นเทพขุนเขาเหนือย่อมเหลือเฟือ”
สุดท้ายเขาหรี่ตาต้องฟู่อวี้นิ่งๆ “เอาล่ะ เจ้าลองว่ามาสิว่าจะให้ข้าทำอะไร?”
เว่ยป้อในเวลานี้
ไม่ใช่เทพเจ้าที่ผมขาวโพลนเหมือนตอนปรากฏตัวครั้งแรกบนพื้นหินเรียบเขาฉีตุน
ไม่ใช่ชายหนุ่มหล่อเหลาที่ในมือถือกล่องไม้สีเหลืองอ่อน
แล้วก็ไม่ใช่คนน่าสงสารที่เดินสวนไหล่กับเด็กสาวบางคนบนทางภูเขาอีกแล้ว
ฟู่อวี้รู้สึกตึงเครียดเล็กน้อย
เพราะคนที่อยู่ตรงหน้าผู้นี้ มีความเป็นไปได้มากที่สุดว่าจะกลายมาเป็นเทพขุนนางเหนือที่มีน้ำหนักมากที่สุดของแจกันสมบัติทวีปในอนาคตเพียงหนึ่งเดียว
—–