ตอนที่ 147 เชิญทำลายค่ายกล

บทที่ 147 เชิญทำลายค่ายกล
โดย

ยอดเขาที่หน้าผาสลักคำกล่าวเตือนเจียวและหลงจากราชาแห่งสวรรค์เวลานี้มีคนยืนอยู่สามคน และยังมีสตรีที่ร่ายใช้เวทกระบี่อีกคนหนึ่ง ไม่รู้ว่าตัวยางอยู่ที่ไหน ได้ยินแต่เสียงไม่เห็นหน้าค่าตา

ชุยหมิงแห่งสำนักศึกษากวานหูที่ตบะต่ำสุดรู้สึกปวดหัวยิ่งกว่าใคร อยู่ที่อื่น จะอย่างไรเขาวิญญูชนชุยฉานก็ต้องเป็นเทพเซียนอันดับหนึ่ง เป็นแขกผู้ทรงเกียรติ ถ้อยคำประจบยกยอก็ได้ฟังจนหูแฉะ น่าเสียดายที่มาอยู่ที่นี่ในค่ำคืนนี้ ชุยฉานกลับกลายมาเป็นมดตัวหนึ่งที่ไม่สะดุดตามากที่สุด หรืออาจถึงขั้นเทียบไม่ได้กับมดสักตัวเลยด้วยซ้ำ

ความรู้สึกย่ำแย่เช่นนี้ทำให้ชุยหมิงหวงผู้อยู่สูงส่งเหนือใครมาจนชินอัดอั้นตันใจยิ่งนัก จำต้องท่องคาถาของลัทธิขงจื้อเพื่อสยบความคิดวุ่นวายอยู่ในใจ

เขาเหลือบมองผู้เฒ่าที่โดยสารเรือกลับจากทางช้างเผือกมายังโลกมนุษย์ สถานะจอมปลอมที่เอาไว้บอกกับคนนอกของผู้เฒ่าในเวลานี้คืออดีตซือหลางของแคว้นหวงถิง แต่ในความเป็นจริงแล้วเขากลับเป็นเจียวเฒ่าตัวหนึ่งที่อายุมากจนน่าตกใจ

ผู้เฒ่าในเวลานี้สุขุมเยือกเย็นกว่าชุยหมิงหวงอยู่มาก มือหนึ่งของเขาลูบเครา มองกรงขังปราณกระบี่ด้วยความสนใจพลางจุ๊ปากชื่นชมอยู่กับตัวเอง

การเดินทางในครั้งนี้ของชุยหมิงหวงเพราะได้รับคำสั่งจากราชครูให้มุ่งหน้าลงใต้เงียบๆ เพื่อมาปรึกษาเรื่องลับกับเจียวเฒ่าที่จำศีลอยู่ที่นี่ ราชครูต้าหลีต้องการให้ผู้เฒ่าที่จำแลงร่างกลายมาเป็นอดีตซือหลางกรมพิธีการของแคว้นหวงถิผู้นี้ออกไปรับตำแหน่งเจ้าขุนเขาคนแรกของสำนักศึกษาแห่งใหม่ที่สร้างขึ้นบนเขาพีอวิ๋น ส่วนเขาชุยหมิงหวงจะยังคงเป็นรองเจ้าขุนเขาตามที่ตกลงกันไว้ก่อนหน้านี้ บวกกับเจ้าสำนักของวงการวรรณกรรมที่มีชื่อเสียงมากพออีกคนหนึ่งของต้าหลี คนทั้งสามร่วมกันควบคุมดูแลสำนักศึกษาแห่งใหม่ที่เข้ามาแทนที่ตำแหน่งว่างของสำนักศึกษาซานหยา เชื่อว่าด้วยความทะเยอทะยานและจิตมุ่งมั่นอันแข็งแกร่งของฮ่องเต้ต้าหลี สำนักศึกษาแห่งใหม่บนเขาพีอวิ๋นที่ยังไม่ได้ตั้งชื่อจะต้องมีขนาดใหญ่ยิ่งกว่า และมีกลิ่นอายของการศึกษาเข้มข้นยิ่งกว่าสำนักซานหยาของฉีจิ้งชุนแน่นอน

ส่วนตำแหน่งเจ้าขุนเขาของสำนักศึกษาแห่งใหม่ที่รับปากกับสำนักศึกษากวานหูเอาไว้ ว่ากันว่าฮ่องเต้ต้าหลีจะทำการชดเชยให้เป็นการส่วนตัว

ก่อนหน้าที่ชุยหมิงหวงจะได้รับจดหมายลับจากราชครูชุยฉาน เขาไม่รู้เลยว่าในบ่อน้ำเล็กๆ ของแคว้นหวงถิงเล็กๆ แห่งนี้จะถึงขั้นซุกซ่อนเจียวตัวใหญ่ขนาดนี้เอาไว้ ด้วยเรือนกายที่แข็งแกร่งทนทานและเวทอภินิหารเกี่ยวกับน้ำที่ได้รับมาตั้งแต่เกิดของพวกเจียวและมังกร ต่อให้มีตบะเท่าขอบเขตที่สิบ พลังการต่อสู้ก็ไม่มีทางพ่ายแพ้ให้กับผู้ฝึกลมปราณขอบเขตที่สิบเอ็ดแน่นอน

ในจดหมายลับของราชครูต้าหลีเปิดเผยให้รู้ว่า นับตั้งแต่ศึกสังหารมังกรสะท้านฟ้าสะเทือนดินครั้งนั้นสิ้นสุดลง ท่ามกลางเทือกเขาและแม่น้ำของแคว้นสู่โบราณที่ถูกขนานนามว่ามีเจียวและมังกรอยู่มากมายนั้น เลือดไหลนองนับหมื่นลี้ ทุกหนทุกแห่งล้วนมีแต่เศษซากเจียวและมังกร ชวนสังเวชจนไม่อาจทนมองได้

จากนั้นท่ามกลางสายธารเวลาอันยาวนาน เจียวเฒ่าอายุมากตัวนี้หลบซ่อนตัวเป็นอย่างดี คอยเปลี่ยนแปลงรูปโฉมอยู่ตลอดเวลา เคยเป็นทั้งอัครเสนาบดี พ่อค้าแผงลอย พลทหาร แม่ทัพ จอมยุทธ์ผู้ผดุงคุณธรรม เรียกได้ว่ามีประสบการณ์มาอย่างโชกโชน ผกผันแปรเปลี่ยนไปตามกาลเวลา

เจียวเฒ่าไม่สนใจในการสืบพันธ์จึงมีลูกหลานน้อยมาก ทั่วทั้งภูเขาและแม่น้ำบริเวณโดยรอบแคว้นหวงถิง มีแค่หนึ่งบุตรสาวสองบุตรชายเท่านั้น หนึ่งในนั้นมีบุตรชายคนเล็กซึ่งก็คือเทพวารีแม่น้ำหันสือของจวนมหาวารี ส่วนบุตรสาวคนโตก็คือบุรพาจารย์บุกเบิกขุนเขาของทำเนียบตะวันม่วงที่หลิวฮุ่ยเจียโรงเตี๊ยมชิวหลูเป็นลูกศิษย์ เพียงแต่ว่านางไม่เคยเปิดเผยตัวตนกับคนนอก ต่อให้เป็นลูกศิษย์ผู้สืบทอดรุ่นแรกของทำเนียบตะวันม่วงก็ยังรู้เรื่องของนางแค่เล็กน้อยเท่านั้น ตอนนี้เมื่อบรรพบุรุษของทำเนียบตะวันม่วงจากโลกนี้ไป ความจริงก็สูญสลายตามไปด้วย ส่วนบุตรชายคนโตของเจียวเฒ่านั้นมีจิตใจดีงาม ผิดแผกไปจากเจียวทั่วไป อีกทั้งยังชอบท่องเที่ยวไปทั่วสารทิศตั้งแต่เด็ก ตอนนี้ไม่มีใครทราบข่าวคราว ยังอยู่ในแจกันสมบัติทวีปหรือไม่ก็ยังบอกได้ยาก

ซิ่วไฉเฒ่ายากจนที่สะพายสัมภาระไว้ด้านหลังเพิ่งจะใช้เวทคาถาย่อส่วนพื้นที่ของลัทธิเต๋าจากชายหาดมหาสมุทรมายังยอดเขาแห่งนี้ ไม่ว่าอย่างไรก็คิดไม่ถึงว่าจะถูกคนขัดขวาง ประเด็นสำคัญคือปัญหาไม่ใช่เล็กๆ นี่จึงทำให้ซิ่วไฉเฒ่ายิ่งขมวดคิ้วมุ่น เพราะกำแพงปราณกระบี่ที่พุ่งทะยานสู่ชั้นฟ้าสกัดกั้นลมปราณฟ้าดินเอาไว้ ต่อให้เป็นผู้เฒ่าเองก็ยังไม่อาจรับสัมผัสกับเหตุการณ์ภายนอกได้ชั่วคราว

ซิ่วไฉเฒ่านวดคลึงปลายคาง “คุณพระช่วย เดี๋ยวนี้สตรีด้านนอกร้ายกาจขนาดนี้แล้วหรือ?”

ผู้เฒ่าถอนหายใจ ชูมือขึ้น ปลายนิ้วเคาะลงบนความว่างเปล่าหนึ่งครั้ง เอ่ยเบาๆ “นิ่ง”

ฟ้าดินพลันเงียบสงัดในเสี้ยววินาที ไม่มีเสียงน้ำไหลเชี่ยวกราก แล้วก็ไม่มีเสียงแตกปะทุเบาๆ ยามลมโชยปะทะกำแพงกระบี่

กาลเวลาของเทือกเขาและแม่น้ำในรัศมีสิบลี้ไม่ไหลหายอีกต่อไป

ปรากฎการณ์จากอริยะขงจื๊อยิ่งใหญ่เกรียงไกร

ชุยหมิงหวงเปลี่ยนจากตกตะลึงมาเป็นยินดีอย่างบ้าคลั่ง เริ่มท่องบทคำสอนของอริยะอยู่ในใจเสียงดังกังวาน เพื่อใช้สิ่งนี้มาเพิ่มกลิ่นอายของความยิ่งใหญ่เที่ยงธรรมให้แก่ตน

สำหรับวิญญูชนลัทธิขงจื๊อคนหนึ่งที่มีปณิธานอยากกลายเป็นอริยะแล้ว นี่คือโอกาสที่พันปียากจะพานพบสักครั้ง

บัดนี้แม้แต่เจียวเฒ่าที่มีประสบการณ์มาอย่างโชกโชนก็ยังตกตะลึง ถอยกรูดไปด้านหลังหลายก้าว ทิ้งระยะห่างจากซิ่วไฉเฒ่าที่หน้าตาไม่โดดเด่นผู้นั้นตามจิตใต้สำนึก ต่อให้ระยะห่างเพียงเท่านี้จะไม่ช่วยอะไรเลยก็ตาม แต่เจียวเฒ่าก็ยังทำเพื่อแสดงท่าทีอ่อนน้อมถ่อมตน

ในยุคบรรพกาล ก่อนศึกสังหารมังกร ตอนที่เจียวผู้เฒ่ายังเป็นเด็กเคยได้ยินผู้อาวุโสในเผ่าเล่าให้ฟังว่า อริยะลัทธิขงจื๊อท่านหนึ่งที่ตำแหน่งเทพในศาลเจ้าบุ๋นเป็นรองแค่ปรมาจารย์มหาปราชญ์เคยตั้งกฎที่ไม่เป็นลายลักษณ์อักษรข้อหนึ่งกับราชามังกรสี่ทิศว่า เมื่อเจียวและมังกรอยู่บนบก เมื่อเจอปราชญ์ต้องหลบเลี่ยง เจออริยะต้องซ่อนตัว

เคยมีมังกรใหญ่แห่งทะเลสาบที่เป็นรองแค่ราชามังกรสี่ทิศ อาศัยว่าตนพักอยู่ในทะเลสาบใหญ่ไปก่อความวุ่นวายต่อหน้าอริยะที่ท่องเที่ยวอยู่บนชายฝั่ง จงใจทำให้ยอดคลื่นสูงกว่าท้องฟ้าของกำแพงเมืองบนชายฝั่ง สร้างความตกตะลึงให้กับชาวบ้านที่อาศัยอยู่โดยรอบ เพื่อท้าทายอริยะ ความหมายของการกระทำนี้ก็คือ ข้าไม่เคยขึ้นฝั่ง ไม่เคยทำผิดกฎ ต่อให้เจ้าเป็นอริยะลัทธิขงจื๊อแล้วจะทำอะไรข้าได้?

ตอนนั้นเจียวเฒ่าที่ยังเด็กเพิ่งจะรู้สึกว่าการกระทำนี้ช่างสาแก่ใจยิ่งนัก ผลกลับได้ยินผู้อาวุโสเล่าโศกนาฎกรรมที่เกิดขึ้นภายหลังอย่างสะเทือนใจว่า อริยะลัทธิขงจื๊อท่านนั้นชี้นิ้วออกไปข้างหนึ่ง กล่าวด้วยถ้อยคำซึ่งคล้ายคลึงกับที่ซิ่วไฉเฒ่าเอ่ยในคืนนี้ ใช้เวทอภินิหารยิ่งใหญ่ที่แค่ปลายนิ้วก็สยบมรสุมให้หยุดนิ่ง กักร่างของเจินหลงตัวนั้นให้ชะงักค้างอยู่กลางอากาศ ทำให้น้ำในทะเลสาบถอยกลับไปหลายสิบลี้ ดังนั้นจึงเท่ากับว่าเจินหลงขึ้นฝั่งโดยพลการ อีกทั้งพอเจออริยะยังไม่ยอมซ่อนตัว ดังนั้นอริยะจึงถลกหนังดึงเส้นเอ็นของมันออกมาแล้วสยบมันไว้ใต้ก้อนหินใต้ทะเลสาบที่ใหญ่โตดุจขุนเขา ลงโทษให้มันจำศีลอยู่ด้านใต้ไม่อาจออกมาพบเจอโลกภายนอกได้อีกพันปี

ครั้งนั้นผู้อาวุโสเอ่ยกำชับเด็กรุ่นเยาว์ด้วยความปรารถนาดีว่า นิสัยของอริยะลัทธิขงจื๊อเหล่านั้น โดยเฉพาะพวกที่มีเทวรูปตั้งอยู่บนแท่นบูชาในศาลเจ้าบุ๋นล้วนไม่ค่อยดีนัก หาไม่แล้วจะมีคำเรียกขานที่ฟังไปในทางลบอย่าง “แสร้งวางท่าภูมิฐาน” ได้อย่างไร?

ตอนนั้นเจียวเฒ่าถามด้วยความคลางแคลงใจว่า การกระทำนี้ของอริยะลัทธิขงจื๊อเท่ากับไม่รักษากฎไม่ใช่หรือ?

ผู้อาวุโสกลับตอบอย่างหงุดหงิดว่า เจ้าโง่ เจ้าลืมไปแล้วหรือว่าใครเป็นคนตั้งกฎเกณฑ์?

ไม่รู้ว่าเจียวเฒ่าที่อยู่บนยอดเขานึกถึงเรื่องอะไรในอดีตขึ้นมาได้ สีหน้าเขาถึงค่อนข้างจะเศร้าหมอง พูดพึมพำว่า “สิ่งมีชีวิตอย่างมังกรและเจียว ผดุงความยุติธรรมแทนสวรรค์ ประทานเมฆโปรยฝน สูงศักดิ์เกินจะเปรียบ แทบจะเรียกได้ว่าเป็นผู้ครองแคว้นอิสระที่รับบัญชาเฉพาะการศึกไม่รับการแต่งตั้งหรือตบรางวัล สุดท้ายแทบจะสูญพันธ์ ต้องกลายมามีสภาพอย่างทุกวันนี้ จะโทษเหล่าอริยะก็ไม่ได้ ล้วนเป็นเพราะใจทะเยอทะยาน เป็นเพราะหาเรื่องใส่ตัวเองทั้งสิ้น”

ซิ่วไฉเฒ่าร้องเอ๊ะหนึ่งที หันหน้ามามองเจียวเฒ่าที่อยู่ในสภาพของปัญญาชนวัยเจ็ดสิบปีแล้วยิ้มบางๆ พยักหน้าให้ “รู้แก้ไขเมื่อทำผิด ประเสริฐยิ่งแล้ว มิน่าเล่าครั้งก่อนที่ผ่านมายังที่แห่งนี้ ได้เห็นทัศนียภาพอันงดงาม แต่ก็ยังรู้สึกเหมือนขาดอะไรไปบางอย่าง ที่แท้สาเหตุก็เพราะเจ้านี่เอง อืม ยังมีวิญญูชนอีกคน วิญญูชนเชียวนะ ปีนั้นเสี่ยวฉี…เอาเถอะ ได้พบเจอถือเป็นวาสนา…น่าเสียดายที่ตอนนี้ไม่มีเวลามาสนใจพวกเจ้า ไป”

ซิ่วไฉเฒ่าพึมพำกับตัวเองแล้วก็ปาดนิ้วไปทางด้านนอกเบาๆ หนึ่งครั้ง

เจียวเฒ่าและชุยหมิงหวงจึงถูกบังคับให้ย้ายออกไปจากยอดเขา

หนึ่งคนหนึ่งเจียวร่วงลงบนผิวน้ำที่ห่างออกไปไกล ต่างคนต่างแบมือก้มหน้าลงมอง จากนั้นก็กำมือแน่นแทบจะเวลาเดียวกัน เพื่อซุกซ่อนตัวอักษรสีทองที่อยู่ในฝ่ามือของตัวเอง พวกเขาย่อมไม่เต็มใจให้คนอื่นเห็นอยู่แล้ว

ซิ่วไฉเฒ่าที่อยู่ท่ามกลางค่ายกลกระบี่บนยอดเขากวาดตามองไปรอบด้านแล้วหัวเราะร่าเสียงดัง “หลบๆ ซ่อนๆ ไม่ถือว่าเป็นลูกผู้ชาย!”

เพียงไม่นานซิ่วไฉเฒ่าก็รู้สึกได้ว่าคำพูดประโยคนี้ของตนไร้เหตุผลสิ้นดี จึงอึกอักเพราะหาทางลงให้ตัวเองไม่เจอ

ตรงหน้าผาใกล้กับแม่น้ำมีเรือนกายของหญิงสาวร่างสูงใหญ่สวมชุดขาวผู้หนึ่งปรากฏขึ้นมา ในมือนางถือใบบัวขนาดใหญ่ สามารถมองเป็นร่มใบบัวคันหนึ่งได้ เพียงแต่ว่าทั้งใบและก้านของมันล้วนเป็นสีหิมะ สอดคล้องกับอาภรณ์และรองเท้าสีขาว สะอาดบริสุทธิ์แม้แต่ฝุ่นสักเม็ดก็ไม่อาจเกาะติด

หลังจากมองเห็นใบบัวนั้น ซิ่วไฉเฒ่าก็ขมวดคิ้ว เริ่มอนุมานในใจอย่างรวดเร็ว สุดท้ายสีหน้าหม่นหมอง ถอนหายใจหนึ่งที แล้วจึงเงยหน้ามองท้องฟ้า ไม่ยอมถอนสายตากลับเป็นนาน ปากพึมพำว่า “ครั้งสุดท้ายไปที่นั่นเองหรือ? นึกถึงเด็กหนุ่มผู้เปี่ยมไปด้วยชีวิตชีวาในปีนั้น เขาพร่ำพูดว่าวิญญูชนต้องมีเที่ยงตรงยุติธรรม ยอมหักไม่ยอมงอ แม้ร่างจะแหลกเป็นผุยผง พอถึงท้ายที่สุด…ลำบากเจ้าแล้ว”

ซิ่วไฉเฒ่ามองไปยังหญิงสาวสูงใหญ่ชุดขาว “หากเฉินผิงอันสังหารเด็กหนุ่มชุยฉานได้ ไม่ใช่เรื่องดี”

นางยิ้มบางๆ “แบบนี้เองหรือ แต่ข้าไม่สน เจ้าแน่ใจก็ออกไปจากค่ายกลกระบี่ให้ได้ก่อนค่อยว่ากัน ไม่ต้องพูดถึงหลักการอะไรกับข้าทั้งนั้น เจ้าไปพูดกับผิงอันน้อยของข้าจะยังมีประโยชน์มากกว่า”

นางพลันหยุดพูด ก่อนแค่นเสียงหยัน “แต่ก่อนอื่นเจ้าต้องออกไปให้ได้ก่อน การที่เจ้าสองคนนั้นถูกเจ้าส่งออกไปได้อย่างราบรื่นเป็นเพราะข้าคร้านจะขัดขวางก็เท่านั้น”

ซิ่วไฉเฒ่ากล่าวอย่างอ่อนใจ “ตอนที่ข้ามีชีวิตอยู่ก็ไม่ถนัดเรื่องการต่อสู้อยู่แล้ว ตอนนี้ก็ยิ่งไม่ได้เรื่องเข้าไปใหญ่ เหตุใดเจ้าต้องสร้างความลำบากใจให้ผู้อื่น อีกอย่างตอนนี้เฉินผิงอันกับเด็กหนุ่มชุยฉาน คนหนึ่งก็เป็น…ลูกศิษย์ของข้าครึ่งตัว อีกคนก็เป็นศิษย์หลานของข้าครึ่งตัว เจ้าว่าข้าควรจะช่วยใครล่ะ? ครั้งนี้ข้าไปที่นั่น แม้จะบอกว่าช่วยให้ชุยฉานรอดชีวิต แต่สืบสาวกันอย่างถึงแก่นแล้วก็ไม่ใช่เพราะหวังดีกับเฉินผิงอันหรอกหรือ?”

สตรีชุดขาวพยักหน้ารับ “เหตุผลนี้มีเหตุผลมาก”

 แต่แล้วนางก็ส่ายหน้า “ทว่าข้าออกมาคราวนี้ไม่ใช่เพื่อใช้เหตุผลพูดคุยกับคนอื่นสักหน่อย”

ซิ่วไฉเฒ่ายิ่งเหนื่อยใจ “เห็นแก่ผิงอันน้อยของเจ้า ยกเว้นข้าสักคนได้ไหม? ข้าเป็นแค่อาจารย์สอนหนังสือคนหนึ่ง เจ้าไม่รับฟังเหตุผล ต่อให้ข้ามีความสามารถก็ไม่มีที่ให้ใช้ อีกอย่างเจ้าก็เป็นหนึ่งในคนไม่กี่คน…หนึ่งในกระบี่ไม่กี่เล่มที่ต่อสู้เก่งที่สุดในสี่ทวีปใต้หล้า จะพูดว่ากระบี่ก็ไม่ถูกทั้งหมด ช่างเถอะๆ ไม่มัวมาเถียงกันเรื่องชื่อเรียกนี่แล้ว สรุปคือทำแบบนี้ไม่ยุติธรรมกับข้า!”

หญิงสาวร่างสูงใหญ่ที่ในมือถือร่มประหลาดสีหน้าเฉยชา “ทำลายค่ายกลเถอะ”

ผู้เฒ่าเต็มไปด้วยความจำใจ ได้แต่ถามอย่างระมัดระวัง “เจ้ารู้หรือไม่ว่าข้าเป็นใคร?”

มุมปากของหญิงสาวชุดขาวตวัดขึ้นสูง “รู้สิ เหวินเซิ่ง (ปราชญ์ด้านภาษา) ไงล่ะ”

ผู้เฒ่าตะลึงลาน ในใจคิดว่าในเมื่อรู้เบื้องลึกเบื้องหลังของตนแล้ว ยังไม่ยอมไว้หน้ากัน แบบนี้ออกจะเกินไปหน่อยแล้ว

คำเรียกขานว่าจื้อเซิ่ง (มหาปราชญ์) หลี่เซิ่ง (ปราชญ์ด้านพิธีการ) และหย่าเซิ่ง (รองปราชญ์) ของใต้หล้าไพศาลในทุกวันนี้

แบ่งออกเป็นเจ้าลัทธิขงจื๊อ ผู้เฒ่าคนนี้คือปรมาจารย์มหาปราชญ์ที่ลูกศิษย์ลัทธิขงจื๊อทุกคนใต้หล้าให้ความเคารพ นั่งอยู่ในตำแหน่งกลางสุดและสูงสุดของศาลเจ้าบุ๋น

อันดับต่อมาก็คือเจ้าลัทธิรุ่นที่สองของลัทธิขงจื๊อที่เทวรูปตั้งอยู่ฝั่งซ้ายและขวา ซึ่งแบ่งเป็นหลี่เซิ่ง (ปราชญ์ด้านพิธีการ) และหย่าเซิ่ง (รองปราชญ์) ที่ช่วยสืบทอดสายบุ๋นให้แก่ลัทธิขงจื๊อ

ฝ่ายแรกได้รับคำชมและของรางวัลจากปรมาจารย์มหาปราชญ์มากที่สุด ถูกลัทธิขงจื๊อมองเป็นอาจารย์แห่งพิธีการ ตัวอย่างแห่งคุณธรรม เป็นผู้กำหนดกฎเกณฑ์ที่ซับซ้อนและเข้มงวดที่สุดของลัทธิขงจื๊อทั้งชุด ฝ่ายหลังได้รับการยอมรับว่ามีความรู้กว้างขวางและลึกซึ้งที่สุด ใกล้ชิดกับปรมาจารย์มหาปราชญ์มากที่สุด อีกทั้งยังบุกเบิกโฉมหน้าใหม่ ทำให้ลัทธิขงจื๊อได้เป็น “อาจารย์ของจักรพรรดิ” เพียงหนึ่งเดียวที่แท้จริงในใต้หล้า

อันดับต่อมา เหวินเซิ่ง (ปราชญ์ด้านภาษา) ก็คืออริยะลัทธิขงจื๊อที่อยู่ตำแหน่งสูงเป็นอันดับที่สี่ของศาลเจ้าบุ๋น

แน่นอนว่านี่เป็นเรื่องเก่าแก่ในอดีต ปัจจุบันตำแหน่งนี้ปล่อยค้างมานานมากแล้ว เพราะเทวรูปถูกลดตำแหน่งลงต่ำครั้งแล้วครั้งเล่า สุดท้ายแม้แต่ในศาลเจ้าบุ๋นก็อยู่ต่อไม่ได้ จึงถูกย้ายออกไป อริยะอันดับที่สี่ผู้ยิ่งใหญ่ถูกถอดถอนออกจากระบบดั้งเดิมของลัทธิขงจื๊อก็แล้วไปเถอะ แต่นี่สุดท้ายแม้แต่เทวรูปก็ยังไม่อาจรักษาเอาไว้ได้ ต้องมาถูกลูกศิษย์ขงจื๊อกลุ่มหนึ่งที่ถือทิฐิอย่างสุดโต่ง ภาคภูมิใจว่าตัวเองคือผู้ผดุงคุณธรรมทุบเทวรูปที่ตกอยู่ในสภาพชวนสังเวชจนต้องฝากฝังไว้ใต้ชายคาคนอื่นนั้นจนแหลกละเอียด แล้วถึงพากันเดินอาดๆ จากไป

ซิ่วไฉเฒ่ายื่นมือไปด้านหลัง ตบเบาๆ ลงบนห่อสัมภาระ ห่อสัมภาระก็พลันหายไป

จากนั้นซิ่วไฉเฒ่าจึงเอ่ยถามอีกครั้งด้วยความอดทนว่า “ไม่อย่างนั้นเรามาคุยกันดีๆ ไหม? ไม่ต้องตีกันได้ไหม?”

สตรีครุ่นคิดแล้วก็พยักหน้า “ถ้าอย่างนั้นข้าจะเกรงใจสักหน่อย?”

ซิ่วไฉเฒ่าพยักหน้าอย่างยินดี หัวเราะพลางกล่าวว่า “เป็นอย่างนี้ย่อมดีที่สุด”

วินาทีนั้นปราณกระบี่ของค่ายกลกระบี่ก็ยิ่งเข้มข้นแผ่ไพศาล พลังอำนาจของกระบี่ที่ไร้ทัดเทียมขุมนั้นแทบจะกรีดผ่าฟ้าดินให้เป็นร่องลึก

เล่าลือกันว่าในยุคบรรพกาลมีเซียนกระบี่มากมาย เหล่าผู้กล้าฝีมือโดดเด่นไม่แม้แต่จะยอมก้มหัวให้บุรุพาจารย์สามลัทธิ พวกเขาทะยานอยู่ทั่วทุกใต้หล้าอย่างกำเริบโอหัง ใช้เวทกระบี่ขอบเขตปลายทาง ใช้วิถีกระบี่ขอบเขตปรมัตถ์ ใช้กระบี่วิเศษที่ไร้เทียมทานโลดแล่นอยู่ในโลกมนุษย์

มุมปากของหญิงสาวกระตุกขึ้น “เหวินเซิ่งเชิญทำลายค่ายกล! พูดแบบนี้ถือว่าเกรงใจแล้วหรือเปล่า?”

—–

Sword of Coming กระบี่จงมา

Sword of Coming กระบี่จงมา

อ่านนิยายเรื่อง Sword of Coming กระบี่จงมา ” หนึ่งโลกธาตุขนาดใหญ่ เต็มไปด้วยความลี้ลับมหัศจรรย์ ใจกลางฟ้าดิน เคยมีปัญญาชนผู้หนึ่งใช้หนึ่งกระบี่ฟาดฟันให้เกิดน้ำตกธารสวรรค์ คือความภาคภูมิใจสูงสุดของโลกมนุษย์ หน้าผาทะเลบูรพา มีนักพรตไร้นามผู้หนึ่งที่ไม่ยินดียินร้ายกับสิ่งใด หวังเพียงให้ลมเย็นโชยมาปะทะใบหน้า แดนสุขาวดีปัจฉิมทิศ มีหลวงจีนเฒ่าที่ชอบเล่าเรื่องราวให้ผู้คนฟัง เลี้ยงมังกรสวรรค์ไว้เก้าตัว พื้นที่กันดารแดนใต้ มีจิตรกรตาบอดควบคุมหุ่นเชิดเกราะทองสูงเท่าเนินเขาให้เคลื่อนย้ายภูเขาใหญ่หนึ่งแสนลูก ปูแผ่เป็นภาพลายปัก เมื่อวันหนึ่งเด็กหนุ่มยากจนที่เติบโตทางทิศเหนือได้พบกับเซียนที่เหนือศีรษะมีกระบี่บินนับพันนับหมื่นประดุจฝูงตั๊กแตน “ เขาจึงอยากจะไปเห็นปัญญาชนคนนั้น เห็นคลื่นยักษ์ที่โถมตัวเทียมฟ้าของทะเลบูรพา เห็นทะเลทรายสีเหลืองทองกว้างไกลนับหมื่นลี้ของแดนประจิม และอยากไปเห็นภูเขาลูกโอฬารของแดนกันดารทางใต้ที่นักเล่านิทานเอ่ยถึงกับตาตัวเอง ดังนั้น ในที่สุดวันหนึ่ง เด็กหนุ่มจึงสะพายกระบี่ไม้พาดหลัง มุ่งหน้าไปทางทิศใต้ –ข้ามีนามว่าเฉินผิงอัน ผิงอันที่แปลว่าสงบสุข สันติ ข้าคือมือกระบี่คนหนึ่ง–

Comment

Options

not work with dark mode
Reset