ด้านล่างบ่อน้ำ
ปราณกระบี่ดุจพายุฝนกระหน่ำที่ไหลพรูลงมาจากปากบ่อยังคงถี่กระชั้นบีบคั้นทุกย่างก้าว แสงกระบี่ที่พุ่งชนกับหน้ากระจกสาดว่อนไปสี่ทิศ
เท้าทั้งสองข้างของเด็กหนุ่มชุดขาวแทบจะเหยียบลงบนพื้นเบื้องล่างของทางน้ำก้นบ่อ บ่อน้ำและน้ำบาดาลกลางเมืองด้านล่างที่เชื่อมโยงอยู่กับแม่น้ำสายใหญ่ถูกระเหยเป็นไอจนหายเกลี้ยงไปนานแล้ว
เด็กหนุ่มชุยฉานเริ่มนับถอยหลังอยู่ในใจ
เขาไม่อยากฆ่าเฉินผิงอัน นี่เป็นความจริง อย่างน้อยตอนนี้ก็เป็นเช่นนี้
เพราะชุยฉานอยากจะเล่นชักเย่อดึงให้เด็กหนุ่มขึ้นมาบนมหามรรคาของตัวเองมากกว่า ในช่วงระยะเวลาที่สั้นที่สุด ชุยฉานไม่เพียงแต่จะไม่ทำร้ายเฉินผิงอัน กลับยังจะพยายามช่วยเฉินผิงอันเพิ่มตบะให้ได้มากที่สุด อย่างมากก็เปลี่ยนแปลงสภาพจิตใจของเฉินผิงอันอย่างเงียบเชียบ ให้เขาซึมซับอิทธิพลจากสภาพสิ่งแวดล้อมเข้าไปโดยไม่รู้ตัวท่ามกลางวันเวลาที่หมุนเวียนสับเปลี่ยน สุดท้ายกลายมาเป็นคนที่อยู่บนวิถีทางเดียวกับเขาชุยฉาน หากเฉินผิงอันโชคไม่เลว มีความหวังที่จะสืบทอดความรู้ความสามารถของเขาชุยฉานในอนาคต ชุยฉานก็เต็มใจไม่คิดจะปฏิเสธ
แต่ชุยฉานอยากฆ่าหลี่เป่าผิงจริงๆ
เพราะอย่างไรแล้วชุยฉานก็ยังมีความเกี่ยวข้องกับเฉินผิงอัน หากเด็กหญิงคนนี้เติบโตขึ้นในอนาคต ยิ่งนางได้รับคำประณาม ถูกผลักไสจากผู้คนมากเท่าไหร่ ก็จะต้องส่งผลกระทบต่อตบะและมหามรรคาของชุยฉานไม่มากก็น้อย สำหรับชุยฉานที่แสวงหาความสมบูรณ์แบบแล้ว นี่ไม่ใช่เรื่องที่เขาจะสามารถยอมรับได้เลย
เด็กหนุ่มชุยฉานรู้สึกว่านี่คือหายนะที่จริงแท้แน่นอนที่สุด
ต่อให้ข้าอยากจะเป็นคนชั่วร้ายที่จิตใจคิดคดมากแค่ไหน แต่หากคิดจะฆ่าเจ้าเฉินผิงอันจะยังต้องแสร้งแกล้งยอมเป็นหลานของเจ้ามาตลอดทางด้วยรึ? เห็นๆ กันอยู่ว่าข้าไม่มีอันตรายต่อเจ้า
เพียงแค่การคาดเดาเล็กน้อย เจ้าเฉินผิงอันก็คิดจะฆ่าข้าเลยหรือ?!
อาศัยอะไรถึงทำให้เจ้าลงมือฆ่าคนอย่างไม่อิดออดเพียงเพราะรู้สึกว่าข้าคิดร้ายต่อเด็กสามคนนั้น?
ถ้าอย่างนั้นเจ้าจะถือว่าเป็นวิญญูชนที่แท้จริงได้อย่างไร? ฉีจิ้งชุนเลื่อมใสในตัววิญญูชนมาโดยตลอด ถ้าอย่างนั้นเหตุใดเจ้าที่ได้รับความสำคัญจากฉีจิ้งชุนถึงไม่มีเหตุผลขนาดนี้? แล้วตาเฒ่ามีสิทธิ์อะไรบังคับให้ข้าเรียนรู้การเป็นคนจากเจ้า?! ข้าชุยฉานเคยเป็นศิษย์คนแรกของเหวินเซิ่ง เคยสืบทอดความรู้ให้กับฉีจิ้งชุน หากนับกันที่ตำแหน่งของระบบลัทธิขงจื๊อ ข้าชุยฉานเหนือกว่านักปราชญ์ เหนือกว่าวิญญูชนแค่ขั้นเดียวเสียที่ไหน? แต่เจ้าเฉินผิงอันกลับทำอะไรตามใจชอบแบบนี้ สายตาของตาเฒ่านับว่าห่วยแตกไม่เปลี่ยนเลยจริงๆ
ฉีจิ้งชุนช่วยเจ้าเลือกไปเลือกมา สุดท้ายก็ยังเลือกชุยฉานคนที่สองให้กับเจ้าไม่ใช่หรือ?
เด็กหนุ่มชุยฉานที่เท้าสองข้างแตะพื้นหินนับถอยหลังอยู่ในใจต่ออีกครั้ง รอลงมือฉกฉวยโอกาส
ขณะเดียวกันในใจก็มีความยินดีท่วมทะลักขึ้นมา
ฮ่าๆ เป็นแบบนี้ก็ยิ่งดี นี่หมายความว่าหลังจากที่ข้าหลุดพ้นจากสถานการณ์ยากลำบากตอนนี้แล้ว นอกจากจะค่อยๆ ทรมานเจ้า อย่างน้อยก็ยังทำให้เจ้าเฉินผิงอันได้แต่ใช้ชีวิตอยู่รอดไปวันๆ เว้นชีวิตเจ้าไว้ วันหน้าเมื่อเจ้าติดตามข้าเดินไปบนมหามรรคาสายนั้นก็จะยิ่งเดินได้อย่างราบรื่นเป็นธรรมชาติ หากเป็นเช่นนี้ก็นับว่าโชคของเจ้าไม่เลวร้ายเกินไปนัก
อีกอย่างพันธนาการตัวอักษรที่ตาเฒ่าปลูกฝังไว้บนร่างชุยฉานก็มีเพื่อเฉินผิงอันเพียงคนเดียวเท่านั้น ตาเฒ่าไม่อนุญาตให้ชุยฉานมีความคิดชั่วร้ายใดๆ ต่อเฉินผิงอัน หาไม่แล้วจะต้องเจ็บปวดทรมานราวกับถูกแส้ฟาดโบยลงบนหัวใจ นอกจากนี้แล้วก็ไม่มีการพันธนาการอื่นๆ อีก นี่พอจะถือว่าเป็นการสืบทอดสายความรู้ของตาเฒ่าอย่างกล้อมแกล้ม ทุกเรื่องเน้นย้ำในการแสวงหาต้นกำเนิด เมื่อรู้ต้นกำเนิดอย่างชัดเจนแล้ว วันหน้าก็จะสามารถแตกกิ่งก้านสาขาของความรู้และหลักการประพฤติตนต่อไปได้
ในอนาคตข้าชุยฉานจะให้เจ้าได้เห็นว่าแม่นางน้อยที่ชื่อว่าหลี่เป่าผิง ลูกศิษย์ผู้สืบทอดของฉีจิ้งชุนคนนั้นตายอยู่ต่อหน้าเจ้าอย่างไร อีกทั้งยังจะทำให้เจ้ารู้ด้วยว่าอะไรคือการช่วงชิงบนมหามรรคา และนางต้องตายด้วยสาเหตุใด!
ถึงเวลาแล้ว!
มือสองข้างที่ยันกระจกของชุยฉานโชกไปด้วยเลือดนานแล้ว บาดแผลนั้นลึกจนเห็นกระดูก แต่เขากลับไม่สนใจแม้แต่น้อย “ปราณกระบี่ดั่งสายรุ้งใช่หรือไม่? น้ำตกกลับหัวใช่ไหม? จงหลีกทางให้ข้าผู้อาวุโส!”
……
ทว่าช่วงนาทีก่อนหน้าที่ชุยฉานคิดว่าตัวเองจะได้อย่างใจหวัง เวลาห่างกันเพียงแค่เสี้ยววินาทีนั้นเอง ในที่สุดเด็กหนุ่มรองเท้าแตะที่ขาสองข้างปักตรึงอยู่บนปากบ่ออย่างมั่นคงก็เตรียมความพร้อมเสร็จสิ้น แม้จิตวิญญาณจะส่ายโอนเอน ไม่มีตำแหน่งใดในอวัยวะตันห้าอวัยวะกลางหกในร่างที่ไม่เจ็บปวดร้าวลึกถึงกระดูก เขาจึงได้แต่พูดเสียงสั่นแผ่วเบาว่า “ไป”
น้ำตกสายที่สองพลันเทกระหน่ำลงมา
นายท่านใหญ่เฉินผิงอัน ข้าผู้อาวุโสคงถูกเจ้าฆ่าตายอยู่ตรงนี้แน่แล้ว
นี่คือความคิดเพียงหนึ่งเดียวของเด็กหนุ่มชุยฉานในเวลานั้น
ร่างของเฉินผิงอันที่ยืนอยู่บนปากบ่อส่ายไปส่ายมา
……
ก่อนหน้านี้
ครั้งที่สองของค่ำคืนที่เฉินผิงอันนั่งอยู่ในศาลาลมเย็น ตอนนั้นเขากับหลี่เป่าผิงที่ตื่นเพราะฝันร้ายนั่งอยู่ตรงข้ามกัน มีลมเย็นกลุ่มหนึ่งพัดผ่านศาลาหลังเล็กอย่างไร้ต้นสายปลายเหตุ
เด็กหนุ่มนึกถึงเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ เขารู้สึกเจ็บแปลบในหัวใจจึงหลับตา รับฟังเสียงกระดิ่งลมใต้ชายคาอย่างตั้งใจพร้อมๆ กับหลี่เป่าผิง
ตอนนั้นเด็กหนุ่มบอกกับตัวเองในใจว่า “อาจารย์ฉี หากเสียงกระดิ่งที่ดังขึ้นเป็นจำนวนเลขคู่ ข้าจะปล่อยวาง อดทนกับคนแซ่ชุยผู้นั้น แต่หากเป็นเลขคี่ ข้าก็จะลงมือ”
กริ๊ง กริ๊ง กรุ๊งกริ๊ง
หลังเสียงที่เจ็ดผ่านไปก็ไม่มีเสียงดังขึ้นอีก
ดังนั้นหลังจากที่แม่นางน้อยสวมชุดผ้าฝ้ายบุนวมสีแดงไปจากศาลา เด็กหนุ่มจึงมายืนอยู่บนปากบ่อน้ำ
……
ย้อนไปนานกว่าก่อนหน้านั้น ก่อนหน้าที่เด็กหนุ่มรองเท้าแตะจะไปจากเมืองเล็ก
ครั้งนั้นภายใต้คำเตือนจากหยางเหล่าโถว เฉินผิงอันถือร่มเดินออกจากร้านตระกูลหยาง นำร่มไปกางให้อาจารย์ของโรงเรียนที่มาเยี่ยมเยือนหยางเหล่าโถว รวมถึงเอาตราประทับภูเขาและแม่น้ำสองชิ้นมามอบให้กับเขา
หนึ่งเด็กหนึ่งผู้ใหญ่เดินอยู่บนถนนสายเล็ก
“วิญญูชนสามารถใช้วิธีการหลอกลวงที่สมเหตุสมผล ประโยคนี้ เจ้าสามารถพูดให้พวกผู้อาวุโสหยางฟังได้”
“วันหน้าหากพบเจอเรื่องที่ตัดสินใจไม่ได้ สามารถถามจากสายลมวสันตฤดู อืม ประโยคนี้เจ้าแค่จำไว้ในใจก็พอแล้ว ไม่แน่ว่าวันหน้าอาจมีประโยค แต่ข้าหวังว่าเจ้าจะไม่ต้องได้ใช้”
กล่าวประโยคนี้จบ บัณฑิตที่จอนผมสองข้างเป็นสีขาวโพลนก็หันมาขยิบตา คลี่ยิ้มอบอุ่นให้กับเด็กหนุ่มผิดไปจากท่าทางเคร่งขรึมคร่ำครึยามสอนหนังสือ
……
ตอนที่เด็กหนุ่มพาแม่นางน้อยเดินทางออกจากเมืองเล็ก
มีจิตวิญญาณเสี้ยวสุดท้ายของปัญญาชนลัทธิขงจื๊อสวมชุดสีเขียวบางท่านเดินทางกลับมายังโลกมนาย์หลังจากไปเยือนถ้ำสวรรค์ขนาดใหญ่บางแห่งที่อยู่นอกโลก หลังจากเดินเคียงบ่ากับเด็กหนุ่มรองเท้าแตะและแม่นางน้อยสวมชุดผ้าฝ้ายบุนวมสีแดงไปได้ระยะหนึ่ง เขาก็หยุดฝีเท้า มองแผ่นหลังศิษย์น้องและลูกศิษย์ของตัวเอง ไม่เดินไปส่งต่ออีก
สุดท้ายยามที่บัณฑิตโบกมือลาเงียบๆ เป็นครั้งสุดท้าย หลังจากการโบกมือเบาๆ ครั้งนี้แล้วก็มีลมวสันตฤดูขุมหนึ่งโอบล้อมรอบกายเด็กหนุ่มอย่างเงียบเชียบ เป็นนานกว่าจะสลายหายไป
……
กลางบ่อ
เด็กหนุ่มชุยฉานถูกกระแทกลงไปยังก้นบ่อพร้อมกับกระจกตราประทับกรมสายฟ้าอย่างรุนแรง ร่างทั้งร่างนอนขดเข้าหากันเป็นก้อนกลมอยู่บนพื้นหินสีเขียว พยายามหลบซ่อนตัวอยู่ใต้กระจก
แม้ว่าจะพยายามดิ้นรนก่อนตายเป็นครั้งสุดท้าย แต่อันที่จริงลึกๆ ในใจของชุยฉานกลับสิ้นหวังไปแล้ว
กระจกสั่นสะเทือนไม่หยุด แรงกระแทกโจมตีที่รุนแรงรวมไปถึง “น้ำไหล” ปราณกระบี่ที่ไหลผ่านกระจกเข้ามาทำให้ร่างของเด็กหนุ่มปวดแสบปวดร้อนราวถูกเปลวเพลิงแผดเผา แม้แต่จิตสำนึกของเขาก็ยังเริ่มพร่าเลือน
และวินาทีที่เขาหลับตาลง
ตราผนึกที่ซิ่วไฉเฒ่านาบประทับไว้บนจิตวิญญาณของชุยฉานก็พลันหายวับไป
เด็กหนุ่มชุดขาวฮึกเหิมทันควัน ประหนึ่งผืนดินแตกระแหงได้พานพบกับฝนรสหวาน สีหน้าท่าทางของเขาสดชื่นเป็นพิเศษ ชุยฉานไหนเลยยังกล้ากักเก็บพลังเอาไว้ หากไม่ทุ่มสุดชีวิตเวลานี้จะรอเวลาไหน “ฮ่าๆ สวรรค์ช่วยข้า! ตาเฒ่า เจ้าเองก็มีช่วงเวลาที่ทำผิดพลาดแบบนี้ด้วยหรือ! ตาแก่หนังเหนียวอย่างเจ้าก็มีวันอวดฉลาดกับเขาด้วย สวรรค์ช่วยข้าชุยฉานจริงๆ สวรรค์มีทางออกให้คนเสมอ!”
เห็นเพียงว่าตัวอักษรสีทองขนาดใหญ่ที่เปี่ยมไปด้วยปราณแห่งความเที่ยงธรรมซื่อสัตย์ถูกชุยฉานที่สีหน้าบิดเบี้ยวด้วยความเจ็บปวดค่อยๆ ถึงออกมาจากจิตวิญญาณ ความเจ็บปวดที่ทำให้คนไร้ที่หลบเลี่ยงเช่นนี้น่ากลัวยิ่งกว่าถูกแร่เนื้อเถือหนังเป็นพันเป็นหมื่นชิ้นเสียอีก
ทว่าหัวสมองของชุยฉานกลับยิ่งปลอดโปร่งแจ่มชัด “คำสอนอริยะ ใช้อักษรบันทึกหลักการ” เด็กหนุ่มชุดขาวควบคุมอักษรสีทองที่ไร้เจ้าของชั่วคราวตัวนั้นให้พุ่งปะทะกับน้ำตกปราณกระบี่
ตัวอักษรสีทองปะทะชนกับปราณกระบี่
แต่กลับไม่มีเสียงความเคลื่อนไหวแม้แต่น้อย กลับกันคือยิ่งนานก็ยิ่งเงียบงัน ทำให้คนตื่นตระหนกจนแทบหายใจไม่ออก
ไม่ไดอยู่ในขอบเขตของการต่อสู้ทางพละกำลังหรือพลังอำนาจใดๆ อีกแล้ว แต่เป็นการช่วงชิงของมหามรรคาที่ไร้รูปลักษณ์อีกประเภทหนึ่ง
จะอย่างไรซะน้ำตกสายนี้ก็เป็นเพียงปราณกระบี่ “น้อยนิด” เสี้ยวเดียวเท่านั้น
ส่วนตัวอักษรสีทองเหล่านั้นก็แค่ถูกคนยืมมาใช้ชั่วคราวเช่นกัน
ทั้งสองต่างก็คุมเชิงกัน สุดท้ายแล้วยิ่งต่อสู้ก็ยิ่งดูสูสี
เหมือนกองกำลังทหารสองกองที่ประจันหน้า ต่างฝ่ายต่างพ่ายแพ้บาดเจ็บ วินาศสันตะโรกันทั้งหมด
หลังจากที่สัมผัสได้ถึงโอกาส ชุยฉานก็ไม่คิดจะยืนเฉยรอความตาย เขาเริ่มลุกขึ้นนั่งอย่างระมัดระวัง จากนั้นค่อยๆ ยืดตัวขึ้นคุกเข่า สุดท้ายจึงยืนตัวงอได้สำเร็จ
เขาขยับเท้าไปด้านข้างหนึ่งก้าว กระจกพลันเอนเอียง เทปราณกระบี่เสี้ยวสุดท้ายไปยังอีกฝั่งหนึ่งในบ่อน้ำ เด็กหนุ่มชุดขาวโยนกระจกโบราณนั้นทิ้ง เท้าสองข้างแตะพื้น ร่างทั้งร่างทะยานขึ้นสู่เบื้องบน จากนั้นร่างก็พลันหายวับไป เหลือเพียงเสียงทุ้มหนักที่เปี่ยมไปด้วยความเจ็บแค้นอาฆาตซึ่งดังก้องอยู่ในบ่อโบราณ “ต่อให้ตอนนี้เจ้ามีปราณกระบี่เส้นที่สามก็ไม่ทันกาลแล้ว!”
……
เฉินผิงอันยืนอยู่บนปากบ่อ มือสองข้างประกบเป็นท่ายืนนิ่งเจี้ยนหลู สุดท้ายเมื่อปราณกระบี่เส้นนั้นจากไป เขาก็เตรียมจะใช้หมัดรับหน้าศัตรู
ในบทนำของตำราเขย่าขุนเขามีเขียนไว้อย่างชัดเจนว่า “คนรุ่นหลังที่เรียนวิชาหมัดเขย่าขุนเขาของข้า ต่อให้เผชิญหน้ากับบุรพาจารย์ของสามลัทธิ จงจำไว้ว่าวิชาหมัดของเราอ่อนด้อยได้ สามารถแพ้ได้เมื่อต้องช่วงชิงชัยชนะ มีเพียงปณิธานแห่งหมัดเท่านั้นที่ห้ามอ่อนข้อ!”
……
เวลาเดียวกันนั้น
ในลานขนาดเล็กที่เงียบสงบ แม่นางน้อยชุดผ้าฝ้ายบุนวมสีแดงสะดุ้งตื่นขึ้นอีกครั้ง นางไม่ได้ฝันร้าย แต่เพราะถูกกระบี่ไม้ไหวเล่มหนึ่งตีให้ตื่น
หลี่เป่าผิงที่ยังสะลึมสะลือพลันลืมตากว้าง กระบี่ไม้ที่ก่อนหน้านี้ทำลายหน้าต่างบุกเข้ามาวาดตัวอักษรฉีอยู่กลางอากาศอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็บินสวบไปทางประตู หลี่เป่าผิงกระโดดลงเตียงด้วยความเร็วดุจสายฟ้าที่ผ่ากะทันหันโดยที่คนไม่ทันป้องหู ไม่แม้แต่จะสวมรองเท้าหุ้มแข้ง เปลือยเท้าวิ่งตะบึงออกไป หลังจากเปิดประตูแล้วก็ตามกระบี่ไม้เข้าไปในห้องที่อาจารย์อาน้อยพักอาศัย เพราะเฉินผิงอันยังไม่กลับมา ประตูจึงไม่ได้ลงกลอน ก่อนหน้านี้ถูกกระบี่บินพุ่งชนจนเปิดอ้า หลี่เป่าผิงตามมันเข้ามาในห้อง แล้วก็เห็นว่ามันชี้ไปยังตะกร้าไม้ไผ่ของเฉินผิงอัน
สุดท้ายภายใต้การชี้นำของกระบี่บิน หลี่เป่าผิงจึงหยิบเอาตราประทับชิ้นหนึ่งที่อาจารย์อาซ่อนไว้ออกไป พอเปิดออกก็ค้นพบว่านั่นคือตราประทับ “สงบใจสมปรารถนา” (จิ้งซินเต๋ออี้) ที่อาจารย์น้อยเคยแอบเอาให้นางดูคนเดียว กระบี่บิน “พยักหน้ารับ” แรงๆ แล้วบินพรวดออกไปนอกห้อง
แม่นางน้อยกุมตราประทับตัวอักษรจิ้งที่อาจารย์มอบให้อาจารย์น้อยของนางไว้ในมือแน่น แล้วจึงวิ่งตะบึงตามกระบี่ไม้ไหวที่อยู่ดีๆ ก็มาปรากฏอยู่ในตะกร้าไม้ไผ่ไปยังศาลาลมเย็น นางกระโดดเข้าพรวดออกจากศาลาอย่างคุ้นทาง วิ่งไปทางปากบ่อน้ำที่อาจารย์อาน้อยยืนอยู่
ชั่วพริบตานั้นตราประทับที่อยู่ในมือของหลี่เป่าผิงก็บินหลุดออกไปจากฝ่ามือนางโดยอัตโนมัติ มันพุ่งพรวดไปทางบ่อน้ำ หยุดลอยอยู่เหนือศีรษะอาจารย์อาน้อยของนาง จากนั้นก็ตบลงไปอย่างแรงจนเกิดเสียงทึบหนักแน่น
เหนือปากบ่อมีคนแผดเสียงร้องโหยหวน “มาอีกแล้ว? ฉีจิ้งชุนไอ้ระยำ! วิญญาณไม่แหลกสลาย มารดาเจ้าไม่รู้จักจบจักสิ้นเลยรึ?!”
แล้วจึงเห็นว่าเด็กหนุ่มชุดขาวคนหนึ่งมาปรากฏตัวอยู่กลางอากาศเหนือปากบ่อน้ำอย่างน่าประหลาดใจ หน้าผากถูกตราประทับกระแทกใส่อย่างแรง ร่างทั้งร่างปลิวกระเด็นไปกระแทกลงบนพื้น
ชั่วขณะก่อนที่เด็กหนุ่มชุดขาวผู้ซึ่งไม่เหลือตบะเลยแม้แต่นิดเดียวจะหมดสติไป เขาพึมพำกับตัวเองว่า “ฉีจิ้งชุน เจ้ามันอำมหิตนัก ข้ายอมแพ้”
—–