หลังจากนั้นแสงสีทองที่หนาใหญ่ราวยอดเขาก็ทะยานฝ่าม่านฟ้าของม้วนภาพภูเขาและแม่น้ำ หวนกลับไปยังภูเขาสุ้ยซานที่ตั้งอยู่ในทวีปแดนเทพแผ่นดินกลาง
ในแม่น้ำด้านหลังภูเขาสุ้ยซาน ซิ่วไฉเฒ่าปีนกลับขึ้นฝั่งอย่างสบายอารมณ์ด้วยสภาพของสุนัขตกน้ำ เขาสะบัดไหล่ อาภรณ์ลัทธิขงจีอที่เดิมทีเปียกโชกพลันแห้งสนิท เขาแบฝ่ามือออก มองก้อนเงินในมือ พูดหน้านิ่วคิ้วขมวด “ลวกมือจริงๆ”
เรื่องของโชควาสนาท อาจารย์มอบให้ศิษย์ก็ดี ครูมอบให้นักเรียนก็ช่าง ล้วนพิถีพิถันในเรื่องของลำดับขั้นตอนค่อยเป็นค่อยไป ไม่ใช่ว่ายิ่งให้มากก็ยิ่งดี แต่ต้องให้ในสิ่งที่คนถือไว้ได้ แบกไว้มั่น กินได้ลงถึงจะประเสริฐ
หาไม่แล้วตระกูลชนชั้นสูงพันปีบนภูเขาที่สั่งสมทรัพย์สมบัติกองโต สืบทอดกันมารุ่นแล้วรุ่นเล่า แตกกิ่งก้านแผ่สาขา วันนี้ลูกชายคนนี้ได้เป็นผู้ฝึกลมปราณก็มอบอาวุธเทพคมกริบเกินทัดทานให้เขาชิ้นหนึ่ง พรุ่งนี้หลานคนนั้นฐานกระดูกไม่เลวก็มอบอาวุธอาคมที่แค่ขยับก็ทำลายแผ่นดินพิฆาตเมืองให้กับเขา หากเป็นเช่นนี้จริงพวกเขาคงร่ำร้องอยากจะก่อกบฏกันนานแล้ว ไยยังต้องให้สำนักศึกษาอย่างพวกเจ้ามาคอยรักษาประคับประคองกฎเกณฑ์ของใต้หล้าไพศาลอยู่อีก?
อีกอย่างก็คือผลกรรมที่พัวพันนั้นน่ารำคาญมากที่สุด
ยุ่งยากมากจริงๆ
ดังนั้นซิ่วไฉเฒ่าถึงได้แอบขโมยปิ่นหยกชิ้นนั้นมาเก็บไว้
ในความเป็นจริงแล้วอาเหลียงแค่มองความจริงของมันไม่ออก ซิ่วไฉเฒ่ามอบมันให้แก่ฉีจิ้งชุนก็ย่อมต้องมีความหมายลึกล้ำ ให้ไว้ก็เพื่อรับมือกับผลลัพธ์ที่เลวร้ายที่สุด หากวันใดฉีจิ้งชุนต้องเผชิญหน้ากับศัตรูจากสี่ด้านแปดทิศจริงๆ จะดีจะชั่วก็ยังมีพื้นที่ให้อาศัยอย่างปลอดภัย
น่าเสียดายก็แต่ถึงท้ายที่สุดแล้ว ฉีจิ้งชุนกลับเลือกที่จะไม่ใช้มัน นอกจากไม่ต้องการลากเอาอาจารย์ผู้มีพระคุณอย่างซิ่วไฉเฒ่าที่อยู่ในสวนป่ากงเต๋อมาข้องเกี่ยวด้วยแล้ว เกรงว่ายังเป็นหนึ่งในวิธีการรับมือที่ทิ้งไว้ภายหลังเพื่อช่วยปกป้องเฉินผิงอันด้วย
บีบให้ซิ่วไฉเฒ่าจำเป็นต้องมาเยือนแจกันสมบัติทวีปด้วยตัวเองเพื่อพบหน้าลูกศิษย์น้อยที่ฉีจิ้งชุนช่วยรับไว้แทนอาจารย์
และตอนนั้นฉีจิ้งชุนก็ตายไปแล้ว ต่อให้อาจารย์ที่เดินทางมาไกลนับพันลี้ไม่พอใจลูกศิษย์คนสุดท้ายของตัวเองนัก แต่เห็นแก่หน้าของเขาฉีจิ้งชุน ด้วยนิสัยของซิ่วไฉเฒ่าแล้ว มีความเป็นไปได้มากว่าต่อให้ฝืนใจก็ยังต้องรับเอาไว้ วันหน้าหากเฉินผิงอันมีอุปสรรคที่เฉินผิงอันข้ามผ่านไปไม่ได้จริงๆ ต่อให้ซิ่วไฉเฒ่าถูกขังอยู่ในสวนป่ากงเต๋อ แต่แค่เอ่ยอะไรสักคำสองคำก็ยังพอจะทำได้
แต่ฉีจิ้งชุนคำนวณผิดไปอย่างหนึ่ง นั่นคือคาดไม่ถึงว่าอาจารย์ของตนจะออกมาจากสวนป่ากงเต๋อเร็วขนาดนี้
และที่ทำอย่างนี้ก็เพื่อเขา
เหมือนที่เขาทำเพื่อเฉินผิงอัน
เกรงว่านี่ต่างหากถึงจะเป็นคนบนเส้นทางเดียวกันและการรับสืบทอดจากสำนักเดียวกันอย่างแท้จริง
ซิ่วไฉเฒ่าเดินออกมาหนึ่งก้าวก็มาอยู่บนยอดเขา กล่าวอย่างปลงอนิจจัง “เสี่ยวฉีเอ๋ย เรื่องปกป้องคนของตัวเองนี้ เจ้าทำได้ดีกว่าอาจารย์มากนัก อืม ลูกศิษย์คนสุดท้ายอย่างเฉินผิงอันผู้นี้ อาจารย์พอใจมาก คิดไปคิดมา ตอนอยู่ในสวนป่ากงเต๋ออาจารย์ถึงคิดตกเรื่องหนึ่ง ข้ากำลังขาดลูกศิษย์แบบนี้อยู่พอดี”
ซิ่วไฉเฒ่าพลันเบิกตากว้าง “คนล่ะ?”
ซิ่วไฉเฒ่ากระทืบเท้าอย่างขุ่นเคือง แต่จู่ๆ ก็สงบสติอารมณ์ลงได้ คลี่ยิ้มชั่วร้าย “อั๊ยหยา จริงๆ เลย อายุของลูกศิษย์ข้าคนนี้ยังน้อยนัก อ้อๆ ดูเหมือนจะสิบสี่สิบห้าปี ไม่เด็กแล้ว บางที่ข้างนอกก็แต่งงานมีลูกได้แล้ว…”
มุมใดมุมหนึ่งบนท้องฟ้า สตรีคลี่ยิ้มบางพลางกล่าวว่า “สองครั้ง”
ซิ่วไฉเฒ่าแสร้งทำเป็นตะแคงหน้าตั้งหูฟัง “หา พูดว่าอะไรนะ? ข้าได้ยินไม่ชัดเลย ข้าคนนี้ไม่เพียงแต่หูตึง ยังพูดไม่ชัดด้วย เวลาพูดอะไรมักจะทำให้คนเข้าใจผิด…”
มิน่าเล่าถึงสามารถสอนลูกศิษย์ใหญ่ให้ออกมาเป็นคนอย่างชุยฉานได้
เพียงแต่ว่าหลังจากเสียงเงียบหายไป ผู้เฒ่าก็หันไปมองหินยักษ์บางก้อนที่ด้านบนสลักตัวอักษรใหญ่สี่คำว่า “มุ่งตรงสู่ตำหนักสวรรค์”
ผู้เฒ่าดึงสายตากลับคืนมาแล้วมองลงไปด้านล่างภูเขา “ข้ายังอยากจะอยู่ชมภูเขาและแม่น้ำที่งดงามต่อไป หนึ่งปีสั้นเกิน หนึ่งหมื่นปียังไม่นานพอ”
……
เมื่อเฉินผิงอันฟื้นขึ้นมา ค้นพบว่าตัวเองนั่งอยู่บนราวสะพานหินโค้งสีทองอร่ามนั่นอีกครั้ง สะพานโค้งยังคงยาวเหมือนครั้งก่อน มองไม่เห็นหัว ไม่เห็นหาง รอบด้านมีทะเลเมฆเคลื่อนคล้อย ทำให้คนเคว้งคว้างทำอะไรไม่ถูก
นึกภาพไม่ออกเลยว่าหากตกลงไปจะมีจุดจบอย่างไร จะร่างแหลกเหลวหรือไม่? จะตกลงไปในหุบเหวลึกไร้ที่สิ้นสุดเรื่อยๆ หรือเปล่า? จะเป็นไปได้ไหมว่าเนื่องจากระยะทางที่กว่าจะถึงพื้นห่างไกลเกินไป หากไม่ต้องหิวตาย เด็กหนุ่มที่มีอายุสิบสี่ปี ตอนที่ตกลงไปตายจะอายุสิบห้าปี?
อันที่จริงเฉินผิงอันมักจะคิดถึงเรื่องประหลาดอยู่ตลอดเวลา
เพียงแต่เพราะไม่เคยเรียนหนังสือมาก่อน ความคิดเขาจึงออกจะเฉิ่มเชยบ้างก็เท่านั้น
สตรีชุดขาวนั่งเคียงบ่าอยู่ข้างกายเฉินผิงอัน นางเอ่ยเสียงอ่อนโยน “ที่นี่เคยเป็นสมรภูมิรบแห่งหนึ่ง ตอนที่สงครามใหญ่ปิดฉากลงก็เหลือแค่สะพานแห่งนี้เท่านั้น เจ้าดูตรงนั้น ในอดีตที่นั่นเคยมีประตูฟ้าบูรพาตั้งอยู่ ใหญ่มากเลยล่ะ คนที่รับผิดชอบเฝ้าประตูในเวลานั้นคือชายฉกรรจ์ชีกอคนหนึ่ง บนร่างสวมเสื้อเกราะวิเศษสีเงินที่มีชื่อว่า ‘เกล็ดน้ำค้างแข็ง’ นิสัยไม่ได้เลวร้าย แค่ปากเสียไปสักหน่อย เจ้านายคนแรกของข้าทะเลาะกับหัวหน้าของเขา และเป็นฝ่ายชนะ ตอนนั้นฝ่ายหลังมีผู้ช่วยหลายคนที่มองสังเกตการณ์อยู่ไกลๆ แต่พวกเขาปะทะกันดุเดือดจนไม่มีใครกล้าโผล่หน้ามาช่วยเหลือ”
เฉินผิงอันมองไปตามนิ้วมือของนาง เห็นพื้นที่ว่างเปล่าแห่งหนึ่งที่บางครั้งมีประกายแสงงดงามเปล่งวูบผ่านไป
นางเอ่ยเบาๆ “ตอนนี้ไม่เหลืออะไรสักอย่าง”
เฉินผิงอันรู้สึกเลื่อมใส ทอดถอนใจกล่าว “แบบนี้เองหรือ”
นางแกว่งขาสองข้างเบาๆ ฝ่ามือทั้งสองยันอยู่บนรั้วสะพาน เอ่ยยิ้มๆ “ฝึกบำเพ็ญตนบำเพ็ญเพียร สร้างสะพานแห่งความอมตะขึ้นมาอย่างยากลำบากก็เพื่อเก็บรักษาตบะเอาไว้ได้ ไม่ให้กลายเป็นเพียงฝุ่นเม็ดหนึ่งท่ามกลางธารประวัติศาสตร์อันยาวนาน ดังนั้นแต่ละคนจึงชอบบอกว่าตัวเองเดินสวนกระแสขึ้นสู่ที่สูง”
เฉินผิงอันอืมรับหนึ่งที ประโยคนี้เขาพอจะฟังเข้าใจ นั่นก็คือมีชีวิตอยู่ต่อไปอย่างดี ใครบ้างจะไม่ชอบ
นางหันมาถามยิ้มๆ “เดินทางมาไกลขนาดนี้ เหนื่อยหรือไม่?”
เฉินผิงอันคิดอย่างจริงจัง “เหนื่อยน่ะไม่เหนื่อยหรอก อันที่จริงยังสบายกว่าตอนที่ขึ้นเขาไปเก็บสมุนไพรเผาฟืนตอนเด็กด้วยซ้ำ เพียงแต่ว่าเจอเรื่องและคนที่ประหลาดเยอะไปหน่อย มักจะหลับไม่สนิท”
เฉินผิงอันหันกลับมายิ้มอารมณ์ดี “แต่ว่าเมื่อครู่ที่หลับไปนั้นหลับสนิทดีมาก เมื่อก่อนตอนอยู่เมืองเล็กแม้จะยากจน แต่หัวถึงหมอนก็หลับสนิททุกวัน ตอนนี้เดินทางไกลไปศึกษาต่อพร้อมกับพวกเป่าผิงกลับไม่กล้าทำอย่างนั้น กลัวว่าจะเกิดเรื่องไม่คาดฝันอะไรขึ้น”
นางถามต่อ “ไม่มีเรื่องอะไรที่ไม่พอใจเลยหรือ?”
เฉินผิงอันครุ่นคิด ใช้ฝ่ามือสองข้างยันราวสะพาน แกว่งเท้าสองข้างเบาๆ เลียนแบบพี่สาวเทพเซียนที่นั่งอยู่ข้างกาย มองไปยังทิศไกล พูดเสียงแผ่ว “มีสิ ยกตัวอย่างเช่นเด็กผู้หญิงที่ชื่อจูลู่ ทำไมนางถึงจิตใจชั่วร้ายขนาดนั้น ยังมีผีสาวสวมชุดแต่งงานที่ฆ่าบัณฑิตซึ่งผ่านทางมาไปมากมายเพียงแค่เพราะผู้ชายที่นางรักไม่รักนาง หากตอนนั้นไม่มีพวกเป่าผิงอยู่ข้างกาย ข้าคงใช้ปราณกระบี่ฆ่านางไปแล้ว”
“เรื่องอื่นๆ ก็ไม่ถึงขั้นว่าไม่พอใจหรอก แต่ก็ยังมีบางเรื่องที่ทำให้หงุดหงิด ยกตัวอย่างเช่นหลี่ไหวไม่ตั้งใจเรียน ไม่ว่าจะเกลี้ยกล่อมอย่างไรก็ไม่ยอมฟัง ไม่รู้จริงๆ ว่าตอนนั้นอาจารย์ฉีทำอย่างไรถึงอดทนไม่ตีเขาได้ ยังมีอีกก็คือพอได้กินอาหารเลิศรสมาแล้ว เจ้าเด็กพวกนี้ก็ไม่ชอบอาหารที่ข้าทำอีกต่อไป อันที่จริงข้าเองก็กลุ้มมาก น้ำมันและเกลือแพงมากนี่นา ยังมีเวลาที่ข้าไปตกปลาในแม่น้ำ เมื่อเลือกเวลาไม่ได้ ข้าก็มักจะตกมาได้แค่ไม่กี่ตัว ทุกครั้งที่กลับไปแล้วมองเห็นสีหน้าผิดหวังของพวกเขา ข้าก็น้อยใจมาก หากไม่เป็นเพราะกังวลว่าจะถ่วงการเดินทางไปศึกษาของพวกเขาให้ล่าช้า ให้เวลาข้าวันสองวันไปขุดหลุม นั่งเฝ้าตกปลาตอนกลางคืน ไม่ว่าจะปลาตัวใหญ่แค่ไหนข้าก็ล้วนตกมาได้ทั้งนั้น”
“ล่าสุดก็คือครั้งที่หลินโส่วอีโกรธ อันที่จริงข้าค่อนข้างจะเหมือนวัวสันหลังหวะอยู่มาก แม้ว่าหลักๆ แล้วก็เพื่อให้เขาได้ฝึกตนดีๆ แต่ข้าก็มีใจที่เห็นแก่ตัว เพราะมีคนบอกกับข้าว่าสะพานแห่งความอมตะขาดแล้ว ชั่วชีวิตนี้คงไม่อาจซ่อมแซมได้ แต่ข้าไม่อยากยอมแพ้ทั้งอย่างนี้ หนึ่งก็เพราะเคยรับปากพี่สาวเทพเซียนอย่างท่านว่าในอนาคตจะต้องกลายเป็นเซียนที่บินไปบินมา สองคือตัวข้าเองก็อิจฉาพวกอาเหลียงมาก ก็เหมือนอย่างที่หลี่ไหวเคยพูด เหยียบอยู่บนกระบี่ บินไปบินมาดังสวบๆๆ อยากจะไปที่ไหนก็ได้ไป ทั้งเท่ห์และมากบารมี ข้าเองก็อยากเป็นอย่างนั้นเหมือนกัน”
สตรีสูงใหญ่รับฟังความในใจของเด็กหนุ่มจนจบแล้วเอ่ยเย้า “โอ้ เจ้าเองก็รู้จักคิดถึงเรื่องของตัวเองเหมือนกันหรอื”
เด็กหนุ่มหยีตาพยายามมองไปให้ไกลที่สุด เอ่ยยิ้มๆ “แน่นอนสิ หลังจากที่พ่อแม่ข้าจากไป ข้าก็คิดเพื่อตัวเองมาโดยตลอด อยากจะคิดแทนคนอื่นนั้นยากมาก อันที่จริงหลังจากได้พบพวกเจ้า ข้าถึงได้กลายมาเป็นคนแบบนี้ ทะเลาะกับคนอื่น ซื้อภูเขาและร้านค้า เรียนรู้ตัวอักษร ทำหีบหนังสือใบเล็ก ฝึกเดินนิ่ง ฝึกวิชาหมัด จ่ายเงินซื้อหนังสือ เลือกเส้นทางเดิน ลับดาบป้อนอาหารม้า ทุกวันมีแต่เรื่องให้ยุงวุ่นวาย แต่ข้าไม่เคยเสียใจ ข้ามีความสุขมาก!”
เฉินผิงอันพึมพำ “แค่ค่อนข้างจะคิดถึงพวกเขา ไม่รู้ว่าพวกเขามีชีวิตที่ดีไหม”
นางเองก็ทอดถอนใจด้วยประโยคเดียวกับเด็กหนุ่ม “แบบนี้เองหรือ”
เฉินผิงอันพลันหันหน้ามา กดเสียงแผ่วต่ำ “พี่สาวเทพเซียน ตอนนี้ข้ามีเงิน มีเงินเยอะมาก!”
นางหลุดหัวเราะพรืด
เพียงแต่พอนึกถึงช่วงเวลายามที่เด็กหนุ่มเติบโตขึ้นมา นางก็เข้าใจได้ในเวลาไม่นาน
ลำพังเพียงแค่เรื่องติดกลอนคู่ในวันปีใหม่ เรื่องเล็กเพียงเท่านี้ก็สามารถทำให้เด็กหนุ่มอาวรณ์มาได้ตั้งหลายปีขนาดนี้ ถ้าอย่างนั้นพอเขามีเงินแล้วก็ย่อมต้องดีใจอย่างมาก
แววตาของเด็กหนุ่มพลันฉายแววเด็ดเดี่ยว “พี่สาวเทพเซียน ท่านวางใจเถอะ เรื่องที่ข้ารับปากท่านไว้แล้ว ข้าจะต้องพยายามทำให้ได้”
นางเบี่ยงตัว ยื่นมือไปวางบนศีรษะของเด็กหนุ่ม เอ่ยเสียงอ่อนโยน “ได้พบเจอเจ้า ข้าก็มีความสุขมากแล้ว”
ดูเหมือนนางจะยังรู้สึกไม่สมใจพอจึงค้อมตัวลงมาใช้หน้าผากดันหน้าผากเด็กหนุ่ม
เด็กหนุ่มผู้เดียงสาเขินอายไปตามธรรมชาติ อยากเกาหัวแต่ก็ไม่กล้า
นางยิ้มแล้วยืดตัวกลับคืน
สุดท้ายวิญญาณกระบี่กับเด็กหนุ่ม คนหนึ่งเท้าเปล่า คนหนึ่งสวมรองเท้าแตะก็แกว่งขาเบาๆ นั่งมองทิศไกลอยู่ด้วยกันเช่นนี้
เวลาผ่านไปโดยไม่รู้ตัว
สมมติว่าวันเวลาในตอนนี้เป็นท่าเรือแห่งหนึ่งของแม่น้ำแห่งกาลเวลา เมื่อย้อนทวนกระแสขึ้นไปสองหมื่นปี หากพูดถึงความยิ่งใหญ่ของพลังสังหาร ความกร้าวแกร่งแห่งจิตการทำลายล้างของวิญญาณกระบี่ มีเพียงนางที่เป็นผู้พิชิตหนึ่งเดียว สูงเหนือนอกฟ้า!
—–