ตอนที่ 154.2 อาจารย์เฒ่านั่งลงถกปัญหา

บทที่ 154.2 อาจารย์เฒ่านั่งลงถกปัญหา
โดย

ซิ่วไฉเฒ่าคว้าจับไปบนหน้าโต๊ะ สายธารแห่งกาลเวลาช่วงนั้นกลับมารวมกันเป็นก้อนอีกครั้ง พอเขาผลักเข้าหาร่างของเฉินผิงอัน มันก็สลายหายกลับเข้าไปในฟ้าดินดังเดิม

วิชาอภินิหารไร้เทียมทานที่เกี่ยวพันกับต้นกำเนิดของมหามรรคาชนิดนี้ ไม่ได้อาศัยฟ้าดินขนาดเล็กของอริยะ ไม่ได้อาศัยอาวุธอาคมที่มหัศจรรย์ ผู้เฒ่าเพียงแต่โบกมือเรียกมาอย่างไม่ใส่ใจ

หลี่เป่าผิงเพียงรู้สึกถึงความมหัศจรรย์น่าสนใจ

แต่ชุยฉานที่มองออกกลับยิ่งตกตะลึง ตาเฒ่านี่เป็นอะไรกันแน่ ทั้งๆ ที่ตบะอริยะไม่เหลืออยู่แล้ว เหตุใดยังสามารถใช้อิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์เช่นนี้ได้?

ซิ่วไฉเฒ่าเอ่ยเบาๆ “ผีสาวผู้นี้น่ารังเกียจหรือไม่? แน่นอนว่าน่ารังเกียจ สังหารผู้บริสุทธิ์พร่ำเพื่อ มีโทษมหันต์ น่าสงสารหรือไม่? ก็น่าสงสารอยู่เหมือนกัน เป็นภูตผีที่เดิมทีมีสันดานดีงาม ไม่เพียงแต่มีคุณความชอบในการสยบโชคชะตาให้แก่ราชสำนัก แต่ยังสร้างกรรมดีต่อพื้นที่ของตน ทั้งยังรักใคร่กับบัณฑิต เดิมทีควรจะเป็นเรื่องที่ดีงามถึงจะถูก สุดท้ายกลับต้องมาตกอยู่ในสภาพนี้ ทั้งผีและเทพต่างก็เคียดแค้น ถูกมหามรรคาผลักไสไล่ส่ง ผลกรรมติดตัวพัวพัน ทั่วร่างเปรอะเปื้อนน้ำคลำดินโคลน ไม่ว่ากี่ชาติก็ไม่อาจชดใช้หนี้เลอะเลือนครั้งนี้ได้หมดสิ้น”

ซิ่วไฉเฒ่าถอนหายใจ “ดังนั้นคนที่น่ารังเกียจก็มีส่วนที่น่าสงสารอยู่เหมือนกัน ใช่หรือไม่?”

ชุยฉานตั้งท่าเหมือนเผชิญศัตรูตัวฉกาจ ไม่กล้าพยักหน้าแล้วก็ไม่กล้าส่ายหน้า

หลี่เป่าผิงเข้าสู่รูปแบบของ “ขึ้นเขาตีพยัคฆ์ขวางทางให้ตาย” ตั้งใจคิดอยู่ชั่วครู่ก็เอ่ยว่า “แต่น่ารังเกียจมากกว่า”

ซิ่วไฉเฒ่าพยักหน้ายิ้มให้แม่นางน้อย “ถ้าอย่างนั้นน่ารังเกียจกับน่าสงสาร น่ารังเกียจมากกว่าเท่าไหร่? แล้วน่าสงสารล่ะมากเท่าไหร่?”

แม่นางน้อยตั้งใจคิดอีกครั้ง “สมเหตุสมผล ถูกกฎระเบียบ ย้อนกลับไปลองคำนวณอย่างละเอียดอีกครั้งดีไหม?”

ซิ่วไฉเฒ่ายิ้มตาหยี “หลี่เป่าผิง ถูกกฎระเบียบย่อมไม่เลวร้าย แต่ปัญหาก็มาแล้ว เจ้าจะแน่ใจได้อย่างไรว่ากฎระเบียบบนโลกมนุษย์ใบนี้เป็นกฎดีหรือกฎเลว?”

แม่นางน้อยตะลึงงัน ราวกับว่าไม่เคยคิดถึงปัญหาข้อนี้มาก่อน แต่กลับไม่ตกประหม่า บอกกับผู้เฒ่าว่า “ท่านผู้เฒ่า รอข้าสักเดี๋ยวนะ ปัญหาข้อนี้เป็นปัญหาใหญ่เหมือนกับของอาจารย์น้อยก่อนหน้านี้ ข้าต้องคิดอย่างจริงจัง!”

รอยยิ้มของซิ่วไฉเฒ่าอ่อนโยน ผงกศีรษะเอ่ยชม “ประเสริฐ”

ชุยฉานมองรอยยิ้มที่คุ้นตาของผู้เฒ่า มองแม่นางน้อยที่หน้าเคร่งเพราะกำลังใช้สมาธิแล้วแค่นเสียงในลำคอหนึ่งที

ไม่เสียแรงที่เป็นลูกศิษย์ที่ฉีจิ้งชุนและอาจารย์ของฉีจิ้งชุนภาคภูมิใจ สมกับเป็นการสืบทอดความรู้ สืบทอดแนวคิดจากสำนักเดียวกัน แม้แต่บรรยากาศของการถ่ายทอดความรู้ก็ยังเป็นแบบเดียวกัน!

หลังจากตั้งปัญหายากให้กับแม่นางน้อยได้แล้ว ซิ่วไฉเฒ่าก็หันไปมองเฉินผิงอันที่ดวงตาใสกระจ่าง “เมื่อก่อนเวลาที่ข้ารวบรวมความรู้ ขบคิดถึงปัญหายุ่งยาก มักจะชอบตั้งสมมติฐานไปในทางที่เลวร้ายก่อน วันนี้ก็ไม่แตกต่าง คนน่ารังเกียจย่อมมีจุดที่น่าสงสาร ประโยคนี้เดิมทีไม่มีปัญหามากนัก แต่บนโลกมีคนมากมายที่ชอบอวดฉลาด ชอบวางท่าว่าคนอื่นเมามาย มีเพียงข้าผู้คงสติ คิดแต่จะพูดถึงจุดที่น่าสงสาร จงใจมองข้ามจุดที่น่ารังเกียจ”

“คนบางคนกลับชอบที่จะประทานความเมตตาและเกิดจิตใจแห่งความสงสารพร่ำเพื่อ บวกกับที่ ‘จุดที่น่ารังเกียจ’ ไม่ได้เกิดขึ้นกับตัวเอง จึงไม่เคยสัมผัสได้ถึงความเจ็บปวดที่แท้จริงสักเท่าไหร่ ในทางกลับกันยังชอบชี้ไม้ชี้มือ บอกให้คนอื่นทำใจกว้างถ่ายเดียว เฉินผิงอัน เจ้าคิดว่าต้นตอของปัญหาอยู่ที่ไหน? ต้องรู้ว่าคนเหล่านี้ที่ข้าพูดถึง หลายคนมักเคยเรียนหนังสือ มีความรู้ไม่น้อย และไม่แน่ว่าบางคนยังเป็นยอดฝีมือด้วย เฉินผิงอัน เจ้ามีความคิดอะไรหรือไม่? พูดมาได้เลย อยากจะพูดอะไรก็พูดเลย”

เฉินผิงอันขยับปากจะพูดแต่ก็หยุดชะงักไป สุดท้ายจึงเอ่ยว่า “ไม่มีอะไรที่อยากพูด”

ชุยฉานไม่สนใจแล้วว่าคำตอบของเฉินผิงอันคืออะไร เขาเริ่มคิดอนุมานกับตัวเองเงียบๆ ว่าทำไมตาเฒ่าถึงต้องพูดถึงเรื่องพวกนี้

ซิ่วไฉเฒ่าหันไปมองหลี่เป่าผิงและชุยฉานที่นั่งอยู่ฝั่งซ้ายขวา เอ่ยเนิบช้า “ถูกผิด สำเร็จล้มเหลวล้วนมีใจคนวัดประเมิน ดีเลวมากน้อยย่อมมีพญายมราชเป็นผู้ตัดสิน เหตุใดถึงพูดเช่นนี้? เพราะว่าคุณธรรม การอบรมบ่มเพาะ ประสบการณ์การเติบโต สิ่งที่ประสบพบเจอล้วนแตกต่างกัน ใจคนมีขึ้นมีลงไม่แน่นอน มีสักกี่คนก็กล้าพูดว่ามโนธรรมของตนเป็นกลางเที่ยงธรรมที่สุด?”

“ดังนั้นสำนักนิตินิยมจึงใช้ทางลัด ดึงบรรทัดฐานของคุณธรรมและมารยาทลงมาต่ำที่สุด เมื่ออยู่ที่นี่สูงเพียงเท่านี้ ไม่อาจต่ำไปมากกว่านี้ได้อีกแล้ว”

ผู้เฒ่ากล่าวมาถึงตรงนี้ก็ยื่นมือข้างหนึ่งออกมาวาดเส้นหนึ่งลงบนโต๊ะ

แล้วจึงหันไปมองชุยฉาน “รู้หรือไม่ว่าทำไมตอนนี้ที่เจ้าเสนอปัญหานั้นขึ้นมา ข้าถึงได้ตอบไวขนาดนั้น?”

เรื่องไหนไม่พูดดันมาพูดเรื่องนี้

ชุยฉานเอ่ยเสียงขุ่น “เพราะเจ้าชอบและให้ความสำคัญกับฉีจิ้งชุนมากกว่า รู้สึกว่าความรู้ของข้าชุยฉานล้วนเป็นกองกระดาษเสียที่อยู่ในถังขยะ หากจะให้ใต้เท้าเหวินเซิ่งอย่างเจ้าคลี่ออกมารีดให้เรียบก็ยังรังเกียจว่ามือจะสกปรก!”

ผู้เฒ่าส่ายหน้า “เพราะปัญหาข้อนั้นของเจ้า ข้าได้ใคร่ครวญมานานหลายปีก่อนที่เจ้าจะถามซะอีก ตอนนั้นไม่ว่าข้าจะอนุมานอย่างไรก็ได้แค่ข้อสรุปเดียว เขื่อนยาวพันลี้พังได้ด้วยรังมดเล็กๆ เมื่อน้ำบ่าไหลหลาก ถึงเวลานั้นก็ไม่อาจเก็บกวาดได้อีก เพราะไม่เพียงแต่แก้ปัญหาที่ปลายเหตุไม่ใช่ต้นเหตุ ภายใต้สถานการณ์ที่รากฐานความรู้ของเจ้ายังไม่แน่นหนาพอ ความรู้ที่แต่เดิมมีจุดประสงค์ที่ดีเยี่ยมนี้จะกลับกลายมาเป็นปัญหาใหญ่ เหมือนหอเรือนอาคารสูงแห่งหนึ่ง ยิ่งเจ้าสร้างได้สูงได้สวยมากเท่าไหร่ แต่หากรากฐานไม่มั่นคง ลมแรงๆ พัดมาก็พังถล่ม ยิ่งทำร้ายคนมากกว่าเดิม”

ชุยฉานอึ้งงันอยู่กับที่ แต่ก็ยังไม่ยอมศิโรราบง่ายๆ

ผู้เฒ่าถอนหายใจ กล่าวอย่างจนใจ “พวกเจ้าต้องรู้ว่าระบบลัทธิขงจื๊อของพวกเรามีโรคเรื้อรัง หาใช่งดงามสมบูรณ์แบบไปทั้งหมด กฎเกณฑ์มากมายเช่นนั้น เมื่อกาลเวลาบนโลกหมุนเวียนเปลี่ยนผันก็ใช่ว่าจะใช้ได้ตลอดกาล ใช่ว่าสรรพสิ่งบนโลกจะไร้ซึ่งการเปลี่ยนแปลง นี่ก็เป็นเรื่องปกติ หากเหตุผลล้วนเป็นสิ่งที่คนในยุคแรกเริ่มสุดพูดได้ดีที่สุด ถูกต้องที่สุด แล้วคนรุ่นหลังจะทำอย่างไร? จะเล่าเรียนศึกษาไปเพื่ออะไร?”

“วิธีการที่ปรมาจารย์มหาปราชญ์มอบไว้ให้กว้างขวางที่สุด แล้วก็ถูกต้องมากที่สุด ดังนั้นความอบอุ่นและผลประโยชน์คืออาหารบำรุงที่มีแต่ผลดีไม่มีผลร้าย แต่ก่อนที่จะเป็นอาหารบำรุงได้ก็ต้องขึ้นอยู่กับว่าทุกคนจะกินอาหารของ ‘ลัทธิขงจื๊อ’ นี้หรือไม่ ถูกไหม?”

“แต่มีบางครั้ง ก็เหมือนคนคนหนึ่งที่เนื่องจากสมรรถภาพของร่างกายลดน้อยลง หรือไม่ก็อาจเป็นเพราะตากแดดตากลมจึงเจ็บไข้ไม่สบาย อาหารบำรุงไม่สามารถเห็นผลในทันที แล้วก็ไม่สามารถช่วยรักษาชีวิตคนได้ สิ่งที่จำเป็นคือยาบำรุง”

“แต่ยามีพิษสามส่วน จำเป็นต้องระมัดระวังอย่างมาก อริยะในยุคบรรพกาลยังได้แต่กล้าทดลองพืชหญ้าร้อยชนิดก่อนแล้วถึงกล้าพูดว่าพืชหญ้าชนิดไหนคือยา ชนิดไหนคือพิษ”

“นิสัยใจร้อนของเจ้าชุยฉานจะเต็มใจเสียเวลาทำเช่นนี้จริงๆ หรือ? ฉีจิ้งชุนศิษย์น้องของเจ้าเคยเตือนเจ้ามาหลายครั้งแล้วว่าเจ้าชุยฉานฉลาดเกินไป ความทะเยอทะยานสูงกว่าฟากฟ้า ไม่ชอบเสียเวลากับเรื่องต่ำต้อย แบบนี้จะได้อย่างไร? หากเจ้าเป็นแค่เด็กที่งอแง คิดอยากจะเป็นผู้อำนวยการของโรงเรียน เป็นเจ้าขุนเขาของสำนักศึกษา ถ้าอย่างนั้นคูคลองที่เจ้าขุดเจาะ หรือแม้แต่เขื่อนที่เจ้าสร้างจะเกิดรูรั่วนับพันนับหมื่นจริงๆ ถึงท้ายที่สุดน้ำทะลักเขื่อนพัง ก็ยังมีคนมาคอยช่วย แต่หากความรู้ของเจ้ากลายมาเป็นกระแสความคิดหลักของระบบลัทธิขงจื๊อ เมื่อเกิดปัญหา ใครจะมาช่วยเจ้า? ข้า? หรือว่าหลี่เซิ่ง หรือว่าปรมาจารย์มหาปราชญ์? ต่อให้คนเหล่านี้ลงมือช่วยเหลือ แต่เจ้าชุยฉานจะแน่ใจได้อย่างไรว่าเมื่อถึงเวลานั้นอริยะของพุทธเต๋าสองลัทธิเจ้าไม่เพิ่มปัญหาให้วุ่นวาย? ไม่ทำให้ใต้หล้าไพศาลแห่งนี้กลายมาเป็นใต้หล้าที่นิยมหลักคำสอนของสองลัทธิพวกเขาอย่างแพร่หลาย?”

ชุยฉานยังคงไม่ยอมแพ้

ซิ่วไฉเฒ่ารู้สึกเหนื่อยล้าเล็กน้อย “แม้ว่าวิชาความรู้นี้ของเจ้า ข้าจะคิดได้มาตั้งนานแล้ว แต่หากเจ้าลองตั้งใจคิดพิจารณา วันหน้าก็มีแต่จะคิดได้ยาวไกลยิ่งกว่าข้า สุดท้ายข้าเองก็มีความคิดอยากจะลงมือ รู้สึกว่าน่าจะทดลองทำดูได้หรือไม่ ดังนั้น ‘ศึกตรีจตุ’ ที่แท้จริงซึ่งหลบอยู่เบื้องหลังเวทีในครั้งนั้นก็คือ ‘พิธีการและดนตรี’ กับ ‘กิจการและความดีความชอบ’ ที่สองราชวงศ์ใหญ่ของทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางต่างฝ่ายต่างผลักดัน จากนั้นก็มาดูว่าหกสิบปีให้หลัง ใครชนะใครแพ้ ใครได้เปรียบเสียเปรียบ แน่นอนว่าผลลัพธ์เป็นอย่างไร ใต้หล้าล้วนรู้กันดี เป็นข้าที่พ่ายแพ้ ดังนั้นจึงจำต้องขังตัวเองอยู่ในสวนป่ากงเต๋อ”

สีหน้าของชุยฉานตะลึงพรึงเพริด ถลันพรวดลุกขึ้นยืน “เจ้าโกหก!”

ผู้เฒ่าเอ่ยเรียบเรื่อย “ลืมอีกแล้วหรือ? เวลาที่ถกเถียงกับคนอื่น สภาพจิตใจของตนต้องสงบและเป็นกลาง ไม่ควรใช้อารมณ์ตัดสิน”

ชุยฉานนั่งกลับลงไปบนเก้าอี้อย่างห่อเหี่ยวจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว พึมพำกับตัวเอง “เจ้าเดิมพันด้วยเรื่องนี้ได้อย่างไร ข้าจะแพ้ได้อย่างไร…”

ซิ่วไฉเฒ่าหันหน้าไปมองทางลานบ้าน “จำไว้นะ อย่าได้ไม่เห็นเป็นจริงเป็นจังเด็ดขาดเชียว”

สตรีสูงใหญ่ตอบอย่างเกียจคร้าน “รู้แล้วน่า”

คราวนี้ซิ่วไฉเฒ่ากระดกเหล้าอึกใหญ่ พูดเยาะเย้ยตนเอง “ใช้เหล้าดับทุกข์ก็ถูก เหล้ากระตุ้นคนขลาดให้กล้าหาญก็ยิ่งถูก”

ซิ่วไฉเฒ่าวางไหเหล้าลง จัดอาภรณ์ เอ่ยเนิบช้า “หลี่เซิ่งเขียนคำสองคำลงในใต้หล้าเที่ยงธรรมของพวกเรา ชุยฉาน จะอธิบายว่าอย่างไร?”

คำตอบของชุยฉานหลุดออกมาจากจิตใต้สำนึก “ระเบียบ!”

พอหลุดปากออกไป ชุยฉานก็ให้เสียใจอารมณ์ขุ่นทันที

ผู้เฒ่าสีหน้าเคร่งขรึม พยักหน้ารับเอ่ยเสียงหนัก “ใช่ กฎเกณฑ์และมารยาทพิธีการก็คือความเป็นระเบียบเรียบร้อย สิ่งที่อริยะลำดับที่สองในระบบลัทธิขงจื๊อของพวกเราอย่างหลี่เซิ่งแสวงหาก็คือความเป็นระเบียบ สรรพสิ่งบนโลกล้วนมีระเบียบ มีกฎเกณฑ์ กฎเกณฑ์เหล่านี้ล้วนเป็นสิ่งที่หลี่เซิ่ง ‘แย่งกลับมา’ จากมหามรรคาทีละขีดทีละเส้นอย่างยากลำบาก จนกระทั่งนำมาสร้างสิ่งที่เขาเรียกเสียดสีว่า ‘กระท่อมมุงแฝกผุพัง’ หลังหนึ่งขึ้นมาเพื่อบังลมบังฝนให้ปวงประชา กระท่อมนั้นใหญ่มาก ใหญ่จนถึงขั้นที่ว่าต่อให้คนแทบทั้งหมดใช้เวลาตลอดชีวิต ใช้ความรู้ที่ลึกล้ำที่สุดก็ยังเดินไปไม่ถึงกำแพงบ้าน ใหญ่จนต่อให้ตบะของผู้ที่ฝึกตนจะสูงแค่ไหนก็แตะไม่โดนหลังคา ดังนั้นนี่ก็คือความอิสระเสรีและความมั่นคงของสรรพชีวิต”

ชุยฉานแค่นหัวเราะ “แล้วฉีจิ้งชุนล่ะ ความรู้ของเขาแตะโดนหลังคา อาเหลียงล่ะ ตบะของเขาสัมผัสโดนกำแพง ถ้าเป็นเช่นนี้จะทำอย่างไร? ควรพวกนี้ควรทำอย่างไร? อาศัยอะไรเหล่าผู้เป็นที่ภาคภูมิใจแห่งสวรรค์บนโลกมนุษย์เหล่านี้ถึงเดินออกไปจากเส้นทางของตัวเองไม่ได้ ไม่สามารถเปิดประตูบ้านที่ผู้เฒ่าหลี่เซิ่งเป็นคนสร้าง ออกไปสร้างกระท่อมหลังใหม่เอี่ยมอีกหลังหนึ่ง?!”

กล่าวมาถึงตรงนี้ ชุยฉานชี้นิ้วไปยังประตูห้องโดยไม่รู้ตัว

สีหน้าของเด็กหนุ่มชุดขาวในเวลาเต็มไปด้วยประกายเฉียบคม พลังอำนาจบีบคั้นคนมอง

จึงเห็นได้ว่าทั้งกายและใจของชุยฉานล้วนถูกดึงเข้าร่วมกับการถกปัญหาในครั้งนี้โดยที่เขาไม่อาจห้ามตัวเองได้ อาจถึงขั้นที่ว่าไม่ใช่แค่ความคิดของเด็กหนุ่มชุยฉานเท่านั้น แม้แต่จิตใต้สำนึกที่สมบูรณ์แบบที่สุดในส่วนลึกของจิตวิญญาณก็อาจถูกชักนำมาด้วย

ผู้เฒ่าเอ่ยยิ้มๆ “แสวงหาอิสระเสรีเต็มที่อย่างที่ใจพวกเจ้าปรารถนา? ได้สิ แต่เจ้ามีความมั่นใจอะไรถึงแน่ใจว่า สุดท้ายแล้วพวกเจ้าจะเดินออกไปจากประตูบาน ไม่ใช่ใช้หมัดต่อยกำแพงให้ทะลุ ใช้หัวโหม่งหลังคาให้เป็นรู? ทำให้กระท่อมที่เดิมทีแข็งแรงช่วยบังลมบังฝน ช่วยให้เจ้าเติบโตถึงจุดสูงสุดต้องคลอนแคลน เต็มไปด้วยรูรั่ว เพียงลมพัดมาก็อาจพังครืน?”

ชุยฉานหัวเราะเสียงดัง “ตาเฒ่าเจ้าพูดเองว่าอิสระเสรีอย่างเต็มที่ แล้วยังจะต้องสนใจเรื่องพวกนี้ทำไม?! แล้วเจ้าเอาอะไรมาแน่ใจว่า หลังจากที่พวกเราทุบทำลายกระท่อมหลังเก่าแล้ว กระท่อมหลังใหม่ที่สร้างขึ้นจะไม่กว้างขวางยิ่งกว่า แข็งแรงมั่นคงยิ่งกว่า?”

ผู้เฒ่าแย้มยิ้ม “อ้อ? นี่ก็ไม่เท่ากับย้อนกลับไปยังจุดเริ่มต้นของมหามรรคาข้าหรอกหรือ? ขนาดสูตรตายตัวของข้า เจ้าชุยฉานยังฝ่าออกไปไม่ได้ แล้วยังจะคิดทำลายกฎระเบียบของหลี่เซิ่งงั้นรึ?”

ชุยฉานกล่าวขุ่นเคือง “นี่จะเกี่ยวกับธรรมชาติของมนุษย์ชั่วร้ายได้อย่างไร? ตาแก่เจ้าพูดจาเหลวไหล!”

ผู้เฒ่าเอ่ยเรียบเรื่อย “คำถามข้อนี้ไม่ต้องมาถามข้า ข้าเมตตาเจ้า อาศัยสิ่งนี้มาทำให้จิตวิญญาณของเจ้าสมบูรณ์แบบ เป็นโอกาสที่พันปียากจะพานพบ จงถามกมลสันดานของตัวเอง”

ชุยฉานอึ้งงันเป็นไก่ไม้

สุดท้ายราวกับว่าโลกทั้งใบเหลือเพียงแค่ซิ่วไฉเฒ่ากับเฉินผิงอัน หนึ่งแก่หนึ่งเด็กนั่งหันหน้าเข้าหากัน

—–

Sword of Coming กระบี่จงมา

Sword of Coming กระบี่จงมา

อ่านนิยายเรื่อง Sword of Coming กระบี่จงมา ” หนึ่งโลกธาตุขนาดใหญ่ เต็มไปด้วยความลี้ลับมหัศจรรย์ ใจกลางฟ้าดิน เคยมีปัญญาชนผู้หนึ่งใช้หนึ่งกระบี่ฟาดฟันให้เกิดน้ำตกธารสวรรค์ คือความภาคภูมิใจสูงสุดของโลกมนุษย์ หน้าผาทะเลบูรพา มีนักพรตไร้นามผู้หนึ่งที่ไม่ยินดียินร้ายกับสิ่งใด หวังเพียงให้ลมเย็นโชยมาปะทะใบหน้า แดนสุขาวดีปัจฉิมทิศ มีหลวงจีนเฒ่าที่ชอบเล่าเรื่องราวให้ผู้คนฟัง เลี้ยงมังกรสวรรค์ไว้เก้าตัว พื้นที่กันดารแดนใต้ มีจิตรกรตาบอดควบคุมหุ่นเชิดเกราะทองสูงเท่าเนินเขาให้เคลื่อนย้ายภูเขาใหญ่หนึ่งแสนลูก ปูแผ่เป็นภาพลายปัก เมื่อวันหนึ่งเด็กหนุ่มยากจนที่เติบโตทางทิศเหนือได้พบกับเซียนที่เหนือศีรษะมีกระบี่บินนับพันนับหมื่นประดุจฝูงตั๊กแตน “ เขาจึงอยากจะไปเห็นปัญญาชนคนนั้น เห็นคลื่นยักษ์ที่โถมตัวเทียมฟ้าของทะเลบูรพา เห็นทะเลทรายสีเหลืองทองกว้างไกลนับหมื่นลี้ของแดนประจิม และอยากไปเห็นภูเขาลูกโอฬารของแดนกันดารทางใต้ที่นักเล่านิทานเอ่ยถึงกับตาตัวเอง ดังนั้น ในที่สุดวันหนึ่ง เด็กหนุ่มจึงสะพายกระบี่ไม้พาดหลัง มุ่งหน้าไปทางทิศใต้ –ข้ามีนามว่าเฉินผิงอัน ผิงอันที่แปลว่าสงบสุข สันติ ข้าคือมือกระบี่คนหนึ่ง–

Comment

Options

not work with dark mode
Reset