ตอนที่ 156.2 ไหล่เด็กหนุ่มแบกทัศนียภาพปลายฤดูใบไม้ผลิ

บทที่ 156.2 ไหล่เด็กหนุ่มแบกทัศนียภาพปลายฤดูใบไม้ผลิ
โดย

ชุยฉานไม่หันไปมองคนสองคนที่กำลังครุ่นคิด เขายื่นฝ่ามือข้างหนึ่งออกมาปาดด้านหน้าหนึ่งที แล้วก็เปลี่ยนเป็นฝ่ามืออีกข้างที่ปาดลงไปบนตำแหน่งต่ำกว่า “บนดีล่างเลว สองเส้นในใจคน เส้นความดีของข้าชุยฉานอยู่สูงมาก แทบจะสูงเท่าฟ้าเลยทีเดียว ดังนั้นในสายตาของข้าจึงมองเห็นคนดีแค่ไม่กี่คน เส้นความชั่วของข้าชุยฉานต่ำมาก ดังนั้นสำหรับข้าแล้ว ทุกอย่างล้วนสามารถแลกเปลี่ยนและหลอกใช้ได้โดยที่ไม่ต้องรู้สึกผิด พวกเจ้าสองคนไม่ได้มีความต่างมากเท่าข้า แต่ระยะห่างระหว่างเส้นทั้งสองก็คงไม่น้อยเหมือนกัน”

ชุยฉานเก็บมือซ้ายกลับมา ยกนิ้วชี้กับนิ้วโป้งมือขวาเว้นว่างให้ห่างกันเหลือเพียงช่องเล็กๆ แล้วก้มหน้าหรี่ตามองสองนิ้วนั้น “เส้นความดีของเฉินผิงอันต่ำมาก ดังนั้นสำหรับเขาแล้วการทำเรื่องดีคือเรื่องที่เป็นธรรมชาติ นี่ก็คือต้นเหตุที่เขาถูกมองว่าเป็นคนดีเกินเหตุ แต่พวกเจ้าต้องรู้ว่า เส้นความดีต่ำไม่ได้หมายความว่าเขาจะเป็นคนพูดง่ายจริงๆ เพราะเส้นความเลวของเฉินผิงอันอยู่ใกล้กับเส้นความดีมาก ดังนั้นไม่ว่าเรื่องใดที่เขามั่นใจและตั้งใจว่าจะทำแล้ว เฉินผิงอันจะเด็ดขาดอย่างมาก ยกตัวอย่างเช่น…การสังหารข้า”

“อันที่จริงพวกเจ้าทั้งสองต่างก็รู้ดี ไม่ว่าพวกเจ้าจะดูถูกเฉินผิงอันอย่างไร พวกเจ้า แน่นอนว่ายังมีข้าด้วย พวกเราล้วนไม่อาจเป็นเพื่อนกับเฉินผิงอันได้ชั่วชีวิต”

อวี๋ลู่พลันเอ่ยขึ้นว่า “ข้าสามารถทดลองดูได้”

เซี่ยเซี่ยยกยิ้มเย็นชา

แต่พอหางตาของนางเหลือบไปเห็นอวี๋ลู่ที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามกับราชครูเด็กหนุ่มที่กำลังเงยหน้า เมื่อเซี่ยเซี่ยนึกถึงตอนอยู่บนกิ่งไม้ใหญ่บนภูเขาเหิงซาน แล้วตนถูกชุยฉานข่มขู่จนจำเป็นต้องเป็นฝ่ายไปหาเฉินผิงอันเพื่ออธิบายให้เขารู้วิถีวรยุทธ์อย่างผิวเผิน

เด็กสาวก็หงุดหงิดงุ่นง่านขึ้นมาเล็กน้อย

จากนั้นนางก็นึกถึงเงาร่างผอมบางที่ยืนรับลมภูเขาที่พัดโชยมาเป็นระลอกบนกิ่งไม้

นางพลันรู้สึกเสียใจอย่างไม่ทราบสาเหตุ นางเองก็เคยมีสภาพจิตใจที่ไร้จุดด่างพร้อยเช่นนี้มาก่อน สายตามักจะทอดมองไปยังทิศไกลเสมอ

“ข้าพูดมามากมายขนาดนี้ เปลืองน้ำลายเป็นถังๆ อยากจะสื่อถึงอะไรกันแน่?”

ชุยฉานลุกขึ้นยืน หัวเราะเฮอๆ แล้วให้ข้อสรุปแบบตอกปิดฝาโลง “ความหมายของข้าก็คือ วันหน้าคนโง่อย่างพวกเจ้าสองคนต้องให้ความเคารพที่มาจากใจต่ออาจารย์ของข้าชุยฉานให้มากหน่อย เข้าใจหรือไม่?”

นี่เป็นครั้งที่สองของวันที่อวี๋ลู่และเซี่ยเซี่ยหันมามองหน้ากัน

“เจ้าเศษสวะทั้งสองที่ไม่รู้ดีชั่ว ไม่รู้จักฟ้าสูงแผ่นดินต่ำ!”

อยู่ๆ ชุยฉานก็โมโหเดือดอย่างไร้ต้นสายปลายเหตุ สีหน้ามืดทะมึนนิ่งสนิทดุจผืนน้ำ ก้าวยาวๆ ไปข้างหน้าแล้วออกแรงต่อยหน้าอวี๋ลู่หนึ่งหมัด “คนหนึ่งคือรัชทายาทเฮงซวยที่กลายเป็นนักโทษ เกือบจะถูกสักหน้า รู้หรือไม่ว่าต้าหลีของข้าสังหารฮ่องเต้และองค์ชายไปมากน้อยเท่าไหร่แล้ว? คนสารเลวอย่างเจ้าที่ทรยศแม้แต่บรรพบุรุษของตัวเองมีคุณสมบัตินั้นหรือ?!”

อวี๋ลู่ไม่ทันตั้งตัวจึงรับหมัดเข้าอย่างจัง แล้วก็ไม่กล้าเอาคืน ได้แต่นั่งอึ้งอยู่อย่างนั้น

ชุยฉานหันกลับมา เดินเข้าหาเด็กสาวผิวดำ เงื้อฝ่ามือตบหน้านางหนึ่งฉาด “อีกคนก็นางแพศยาน้อยที่สำนักถูกคนทุบทำลายจนเละเทะ รู้หรือไม่ว่าเทพเซียนพสุธาที่ข้ากำจัดกับมือตัวเองมีกี่คน?”

เด็กสาวผู้มีนิสัยหยิ่งทระยงยื่นมือออกไปคว้าข้อมือของเด็กหนุ่มชุดขาวตามจิตใต้สำนึก เพื่อไม่ให้เขาตบเข้าที่ซีกแก้วของตัวเอง แต่นาทีถัดมานางก็พลันเสียใจทีหลัง จริงดังคาด ตลอดทั้งร่างของชุยฉานแผ่ปราณดุร้ายน่าพรั่นพรึง เขาจ้องเด็กสาวเขม็ง นางตกใจจึงรีบปล่อยมือ ชุยฉานก้มหน้าลงมองข้อมือที่บวมแดงน้อยๆ ก่อนฟาดลงไปบนใบหน้าเด็กสาวอย่างแรง ตวาดเสียงเฉียบ “พวกเจ้าสองคนกล้าดูแคลนเฉินผิงอันอย่างนั้นรึ? เขาคืออาจารย์ของข้าชุยฉาน!”

ชุยฉานตบใบหน้าของเด็กสาวติดต่อกันอีกสี่ห้าที

เด็กสาวถึงขั้นไม่กล้าใช้ตบะของผู้ฝึกลมปราณไปต้านแรงของอีกฝ่าย เพียงไม่นานก็ถูกตบจนหน้าบวมเป่ง เลือดสดไหลมาจากมุมปาก

ชุยฉานที่ทั่วร่างเต็มไปด้วยปราณสังหารคล้ายยังไม่หายโมโหจึงอยากจะหาของอะไรบางอย่างมาเป็นอาวุธสังหาร ทว่าเมื่อเขาหันหน้ากลับไปก็เห็นเงาร่างคุ้นเคยวิ่งเร็วๆ เข้ามา ชุยฉานจึงอึ้งค้างอยู่กับที่

แขกที่ไม่ได้รับเชิญคนนั้นเพิ่งจะตะโกนออกมาได้คำเดียวว่า “กิน…”

ผลกลับเห็นภาพเหตุการณ์ที่ชุยฉานลงมือตบตีคน เจ้าหมอนั่นรีบกลืนคำว่า “ข้าว” ลงไปทันที แล้วเริ่มวิ่งตะบึงเข้ามาเอาเรื่องกับชุยฉาน

พลังอำนาจที่อยู่บนร่างของเด็กหนุ่มนั้น เกรงว่าน่าจะคล้ายกับปราณสังหารมากยิ่งกว่า

ทำเอาชุยฉานตกใจจนรีบตะเกียกตะกายพลิกตัวข้ามระเบียงศาลา วิ่งไปทางบ่อโบราณ ตะโกนพลางหันหน้ากลับมามองด้วย “เฉินผิงอัน เจ้าจะทำอะไร?! ข้าสั่งสอนบ่าวรับใช้ของตัวเอง เกี่ยวอะไรกับเจ้าด้วย…เฮ้อ มีอะไรก็พูดกันดีๆ ข้ายอมรับผิดก็ได้ พวกเราหยุดก่อนเถอะ มาพูดคุยกันด้วยเหตุผล ได้ไหม?”

พอวิ่งเข้ามาในศาลาแล้ว เฉินผิงอันก็แตะปลายเท้ากระโดดตัวขึ้นสูง ร่างเหมือนวิหคที่ถลาข้ามระเบียงศาลาไปอย่างรวดเร็ว พอเท้าเหยียบบนพื้นนอกศาลาแล้วก็เริ่มวิ่งตะบึงเข้าหาชุยฉานต่ออีกครั้ง

ชุยฉานรู้ดีว่าไม่อาจหนีหายนะนี้พ้น เมื่อไหแตกก็ทุบให้แหลกเสียเลย เขายืนอยู่บนปากบ่อน้ำโบราณ พูดเสียงสั่นเศร้ารันทด “เฉินผิงอัน หากวันนี้เจ้าจะตีข้าจนตายจริงๆ ข้าก็จะกระโดดบ่อน้ำฆ่าตัวตายไปเลย! เชื่อหรือไม่ก็แล้วแต่เจ้า!”

เฉินผิงอันยังคงพุ่งมาด้านหน้า

ชุยฉานทำท่าจะกระโดดลงบ่อ เฉินผิงอันขมวดคิ้ว พลันหยุดชะงัก

ชุยฉานก้าวเท้าข้างหนึ่งออกมาแล้ว แต่ดึงกลับไปได้เฉียดเส้นยาแดงผ่าแปด ร่างส่ายโงนเงน ชีวิตแขวนอยู่บนเส้นด้าย

ด้วยสภาพร่างกายของเขาตอนนี้ หากพลัดตกลงไปในบ่อ เนื่องด้วยด้านล่างยังมีปราณกระบี่หลงเหลืออยู่ ต่อให้ไม่แข็งตายไม่จมน้ำตาย ถูกเฉินผิงอันช่วยกลับขึ้นมาได้ ก็เกรงว่ารากฐานคงถูกทำลาย ชีวิตหายไปเกินครึ่งแน่นอน

ด้วยเหตุนี้จึงเห็นได้ว่า เด็กหนุ่มชุยฉานกลัวเฉินผิงอันจริงๆ

เฉินผิงอันมองประเมินชุยฉานอย่างละเอียด เนิ่นนานกว่าจะเอ่ยคำว่า “กินข้าว”

ชุยฉานกระโดดลงจากปากบ่อน้ำอย่างระมัดระวัง แต่ก็ยังไม่กล้าเดินไปข้างหน้า จึงยืนอธิบายอยู่ที่เดิมอย่างโมโหโทโส “เมื่อครู่นี้ข้าช่วยระบายอารมณ์แทนเจ้า พวกเขาสองคนดูถูกเจ้า ข้าช่วยทวงความยุติธรรมให้ ต้องการให้พวกเขาเกรงใจเจ้าสักหน่อย แค่นี้ก็ผิดด้วยหรือ? อย่างเจ้านี่เรียกว่าเห็นความหวังดีของคนอื่นเป็นตับลา!”

เฉินผิงอันแค่นเสียงหยัน “เจ้าหยุดเอาข้าไปเป็นข้ออ้างบังหน้าได้แล้ว เจ้ามันสันดานสุนัขไม่เลิกกินอาจม!”

กล่าวจบเฉินผิงอันก็หมุนตัวเดินจากไป ตอนที่อ้อมผ่านศาลา เขาหันไปพูดกับเด็กหนุ่มเด็กสาวด้วยน้ำเสียงอ่อนลงมาก “พวกหลินโส่วเล่นหมากล้อมเสร็จแล้ว กินข้าวได้แล้ว”

ชุยฉานที่เดินตามเฉินผิงอันมาไกลๆ ด้านหลังไม่โกรธกลับยังหัวเราะขำ เขาวิ่งอาดๆ จนชายแขนเสื้อที่กว้างใหญ่ทั้งสองข้างส่ายสะบัดไปมา สภาพเหมือนสุนัขรับใช้อย่างยิ่ง “ไม่เสียแรงที่เป็นอาจารย์ของข้า ฉลาดกว่าเจ้าโง่สองคนนั้นมากมายนัก”

ผ่านศาลามาแล้ว ชุยฉานเผชิญหน้ากับคนทั้งสองก็เปลี่ยนสีหน้า เอ่ยตวาด “ยืนบื้ออยู่ทำไม? ไปกินข้าว!”

อวี๋ลู่ยิ้มบางๆ เหมือนในยามปกติ เดินออกจากศาลา ลงบันไดมาแล้วก็หันมาถามว่า “เจ้าไม่เป็นไรใช่ไหม?”

เซี่ยเซี่ยที่กรอบดวงตาฉ่ำน้ำส่ายหน้าให้

เด็กหนุ่มร่างสูงใหญ่ชี้ไปที่มุมปากของตัวเอง เด็กสาวคืนสติจึงหมุนตัวหันหลังให้เขา เช็ดคราบเลือดตรงมุมปากให้สะอาด

……

คนทั้งกลุ่มร่วมกินอาหารเช้าที่พรั่งพร้อมซึ่งทางโรงเตี๊ยมชิวหลูจัดเตรียมมาให้ หลี่ไหวกินอิ่มจนพุงกลม เจ้าลูกหมาที่ไม่สนใจใยดีกับสิ่งใดไม่ตระหนักถึงบรรยากาศแปลกประหลาดบนโต๊ะอาหารเลยแม้แต่น้อย

ซิ่วไฉเฒ่าหันไปเอ่ยกับเฉินผิงอันยิ้มๆ “ไป ข้าจะพาเจ้าไปเดินเล่นดูร้านหนังสือในเมือง พวกเราจะได้คุยกันไปด้วย หากเป็นไปได้ก็เลี้ยงเหล้าข้าหน่อยก็ดี”

ซิ่วไฉเฒ่ามองไปทางแม่นางน้อยที่ทำท่าหมายมั่นปั้นมือ จึงเอ่ยยิ้ม “ไปด้วยกันไหม?”

แม่นางน้อยพยักหน้ารับอย่างแรง “ข้าจะกลับไปเอาหีบหนังสือใบเล็ก!”

หลินโส่วอีอยู่ที่โรงเตี๊ยมเพื่อใช้เวทลับที่บันทึกไว้ใน ‘เหนือเมฆพร่างพราว’ มาฝึกเข้าฌาน หลี่ไหวขี้เกียจขยับตัว ไม่มีอารมณ์จะไปเดินเล่น จึงสั่งเฉินผิงอันว่าต้องเอาของกินอร่อยๆ กลับมาฝากเขาด้วย ชุยฉานบอกว่าตัวเองมีธุระส่วนตัวเล็กน้อย ต้องการไปหาเถ้าแก่โรงเตี๊ยมชิวหลูเพื่อดูว่าจะต่อรองราคาให้ถูกลงหน่อยได้หรือเปล่า อวี๋ลู่กับเซี่ยเซี่ยต่างก็กลับเข้าห้องใครห้องมัน

สุดท้ายหนึ่งผู้เฒ่า หนึ่งคนหนุ่ม หนึ่งเด็กหญิงก็ออกไปจากโรงเตี๊ยมชิวหลูเพียงแค่สามคน เดินผ่านตรอกเมฆคล้อยน้ำไหล ไปตามหาร้านหนังสือภายใต้การนำของซิ่วไฉเฒ่า

แม่นางน้อยอวดหีบหนังสือของตัวเองให้ผู้เฒ่าดูอยู่ตลอดเวลา คอยเดินล้อมหน้าล้อมหลังอีกฝ่าย ถามว่าหีบหนังสือใบเล็กนี้สวยหรือไม่ แน่นอนว่าผู้เฒ่าต้องตอบว่าสวยๆๆ

เฉินผิงอันคิดหาคำพูดอยู่นาน สุดท้ายก็ถามขึ้นอย่างอดไม่ไหว “ท่านผู้เฒ่าเหวินเซิ่ง ท่านโกรธข้าหรือไม่?”

ผู้เฒ่าที่เกือบจะชื่นชมจนหีบหนังสือใบเล็กของแม่นางน้อยมีดอกไม้ผุดขึ้นมา ได้ยินก็ตอบยิ้มๆ “เจ้าหมายถึงเรื่องที่เจ้าปฏิเสธจะเป็นลูกศิษย์คนสุดท้ายของข้าน่ะหรือ? ไม่ๆ ข้าไม่ได้โกรธ ผิดหวังนั้นมีอยู่บ้าง แต่ลองมาย้อนนึกดูแล้ว เป็นแบบนี้กลับยิ่งดี ความตั้งใจเดิมของฉีจิ้งชุน รวมไปถึงการติดตามของอาเหลียงในภายหลัง ไม่ใช่ว่าจะต้องทำอะไรให้เจ้าเฉินผิงอันเสมอไป รวมไปถึงครั้งก่อนที่ข้าขโมยปิ่นหยกของเจ้าไป จะว่าไปแล้ว…”

พูดมาถึงตรงนี้ผู้เฒ่าก็ทำมือปาดไปในแนวขวาง “ก็เพื่อให้เจ้าเฉินผิงอัน แค่เจ้าเฉินผิงอันเท่านั้น ไม่ให้เจ้าต้องถูกดึงมาพัวพันมากเกินไป เจ้าก็คือเด็กหนุ่มในตรอกหนีผิงถ้ำสวรรค์หลีจู แซ่เฉินชื่อผิงอัน จากนั้นก็พาพวกหลี่เป่าผิงออกเดินทางไกลไปขอศึกษาต่อ ง่ายๆ เพียงเท่านี้”

ผู้เฒ่ากล่าวยิ้มๆ “ยากนักที่คนเสเพลอย่างอาเหลียงจะทำตัวจริงจังกับเขาสักครั้ง ถึงขนาดช่วยกันไม่ให้ราชวงศ์ในโลกอย่างต้าหลีไม่สร้างภาระเพิ่มเติมให้เจ้ากับพวกเด็กๆ ก่อนหน้านี้ฉีจิ้งชุนสามารถทำให้พวก…ที่อยู่เบื้องบนไม่มาบงการชี้ไม้ชี้มือแล้ว เพราะการมาของข้าทำให้พี่สาวเทพเซียนนิสัยดีของเจ้าผู้นั้นต้องเผยตัว ดังนั้นจึงกลายเป็นปัญหาอีกเล็กน้อย แต่ไม่ต้องกลัว ตาแก่หนังเหนียวอย่างข้ายังพอจะมีความสามารถอยู่บ้าง จะไม่มีทางสร้างปัญหาให้กับพวกเจ้าแน่ ให้อธิบายหลักการกับบัณฑิต ข้าถนัดนักล่ะ”

ผู้เฒ่าตบไหล่เด็กหนุ่ม “วันหน้าก็ตั้งใจเรียนหนังสือไปเถอะ”

แล้วผู้เฒ่าก็หัวเราะกับตัวเอง “ไหล่ของเด็กหนุ่มควรจะเป็นแบบนี้ถึงจะถูก ความแค้นของบ้านเมือง ความซื่อสัตย์เที่ยงธรรมอะไรนั่น ยังไม่ต้องรีบร้อน แบกลมเย็นแสงจันทร์ กิ่งหลิวกิ่งหยางและทัศนียภาพปลายฤดูใบไม้ผลิไปก่อน เดิมทีไหล่ของเด็กหนุ่มก็ควรจะเต็มไปด้วยเรื่องราวที่งดงามเหล่านี้”

หลี่เป่าผิงดวงตาเป็นประกาย ยกนิ้วโป้งให้ซิ่วไฉเฒ่าพร้อมเอ่ยชื่นชม “ท่านผู้เฒ่าเหวินเซิ่ง ประโยคนี้ท่านกล่าวได้สวยงามมากเลย”

ผู้เฒ่าหัวเราะร่า ใช้ฝ่ามือตบพุงเบาๆ “ก็แน่ล่ะสิ ในท้องข้าเต็มไปด้วยความรู้นี่นา”

เฉินผิงอันมองซิ่วไฉเฒ่าและแม่นางน้อยที่หยอกล้อกันสนุกสนานก็สูดลมหายใจเข้าลึก บนไหล่มีอะไร เด็กหนุ่มสัมผัสไม่ถึง ทว่าในใจกลับอุ่นซ่าน

—–

Sword of Coming กระบี่จงมา

Sword of Coming กระบี่จงมา

อ่านนิยายเรื่อง Sword of Coming กระบี่จงมา ” หนึ่งโลกธาตุขนาดใหญ่ เต็มไปด้วยความลี้ลับมหัศจรรย์ ใจกลางฟ้าดิน เคยมีปัญญาชนผู้หนึ่งใช้หนึ่งกระบี่ฟาดฟันให้เกิดน้ำตกธารสวรรค์ คือความภาคภูมิใจสูงสุดของโลกมนุษย์ หน้าผาทะเลบูรพา มีนักพรตไร้นามผู้หนึ่งที่ไม่ยินดียินร้ายกับสิ่งใด หวังเพียงให้ลมเย็นโชยมาปะทะใบหน้า แดนสุขาวดีปัจฉิมทิศ มีหลวงจีนเฒ่าที่ชอบเล่าเรื่องราวให้ผู้คนฟัง เลี้ยงมังกรสวรรค์ไว้เก้าตัว พื้นที่กันดารแดนใต้ มีจิตรกรตาบอดควบคุมหุ่นเชิดเกราะทองสูงเท่าเนินเขาให้เคลื่อนย้ายภูเขาใหญ่หนึ่งแสนลูก ปูแผ่เป็นภาพลายปัก เมื่อวันหนึ่งเด็กหนุ่มยากจนที่เติบโตทางทิศเหนือได้พบกับเซียนที่เหนือศีรษะมีกระบี่บินนับพันนับหมื่นประดุจฝูงตั๊กแตน “ เขาจึงอยากจะไปเห็นปัญญาชนคนนั้น เห็นคลื่นยักษ์ที่โถมตัวเทียมฟ้าของทะเลบูรพา เห็นทะเลทรายสีเหลืองทองกว้างไกลนับหมื่นลี้ของแดนประจิม และอยากไปเห็นภูเขาลูกโอฬารของแดนกันดารทางใต้ที่นักเล่านิทานเอ่ยถึงกับตาตัวเอง ดังนั้น ในที่สุดวันหนึ่ง เด็กหนุ่มจึงสะพายกระบี่ไม้พาดหลัง มุ่งหน้าไปทางทิศใต้ –ข้ามีนามว่าเฉินผิงอัน ผิงอันที่แปลว่าสงบสุข สันติ ข้าคือมือกระบี่คนหนึ่ง–

Comment

Options

not work with dark mode
Reset