ภูเขาตงหัวในเมืองหลวงต้าสุย เมื่อเทียบกับห้าขุนเขาแล้ว อันที่จริงมันไม่ถือว่าเป็นภูเขาสูงตระหง่านได้เลย เพียงแต่ว่ามันสูงชะลูดอยู่ท่ามกลางภูเขาที่เตี้ยกว่าถึงได้ดูงดงามโดดเด่น
บนยอดเขามีต้นอิ๋นซิ่งพันปีต้นหนึ่ง แม่นางน้อยชุดผ้าฝ้ายบุนวมสีแดงคนหนึ่งที่หลังจากนั่งเหม่อลอยเสร็จแล้วก็กอดลำต้นแล้วไถลตัวลงมาอย่างคุ้นเคย
ผลกลับกลายเป็นว่ามองเห็นผู้เฒ่ามากความรู้คนหนึ่งเฝ้ารออยู่ใต้ต้นไม้ ร่างของเขาสูงใหญ่จริงๆ แถมยังกำลังหัวเราะชั่วร้าย มองแล้วรู้สึกว่าผู้เฒ่าไม่ใช่คนดี
ผู้เฒ่าสูงใหญ่เอ่ยถาม “เวลานี้ แสดงว่าหนีเรียนมาอีกแล้ว?”
แม่นางน้อยกลับซื่อสัตย์ยิ่ง “อืม ข้ารู้ว่าสำนักศึกษามากฎอยู่ ข้ายอมรับการลงโทษ”
ผู้เฒ่าถามยิ้มๆ “ทำไม ก่อนหน้านี้ตอนที่ฉีจิ้งชุนสอนพวกเจ้า ถ้าโดดเรียนต้องโดนตีรึ?”
แม่นางน้อยส่ายหน้า “โดดเรียนไม่โดนตี ท่านอาจารย์ไม่เคยสนใจเรื่องพวกนี้ แต่หากพวกเราจำสิ่งที่อาจารย์เคยสอนไปในห้องเรียนผิด ครั้งแรกจะตักเตือน ครั้งที่สองจะตี”
ผู้เฒ่าร้องอ้อรับหนึ่งทีแล้วถามด้วยความสงสัย “ไปดูอะไรอยู่ข้างบนนั้นน่ะ?”
แม่นางน้อยอึ้งตะลึง เห็นแก่ที่อีกฝ่ายอายุมากจึงยอมเอ่ยตอบ “ทิวทัศน์ไงล่ะ”
ผู้เฒ่ายิ่งรู้สึกสนใจ “มีทิวทัศน์อะไรน่าดูถึงเพียงนั้น ทำไมข้าถึงไม่เคยรู้”
แม่นางน้อยกะพริบตาปริบๆ “อาจารย์ผู้เฒ่าท่านก็ลองปีนขึ้นไปดูเองสิ”
“บัณฑิตปีนต้นไม้ ขัดต่อความสุภาพสำรวม”
ผู้เฒ่าโบกมือปฏิเสธเป็นพัลวันก่อน แต่แล้วก็กระจ่างแจ้งได้ทันใด “โอ้ นี่คิดจะให้พวกเราทำผิดกฎด้วยกัน จากนั้นข้าก็จะได้ไม่เอาเรื่องเจ้าไปฟ้องสินะ? แม่นางน้อย เจ้าฉลาดนัก”
แม่นางน้อยหัวเราะคิกคัก แต่แล้วก็ส่ายหน้า
ผู้เฒ่าเข้าใจความคิดของแม่นางน้อยจึงเอ่ยถาม “ทำไมล่ะ ข้าพูดว่าขัดต่อความสุภาพสำรวม ไม่ถูกต้องงั้นหรือ?”
แม่นางน้อยปัดเสื้อผ้าตัวเอง พลางอธิบายว่า “เมื่อก่อนตอนที่ข้าทำว่าวไปตกอยู่บนต้นไม้ อาจารย์ยังปีนต้นไม้ช่วยไปเก็บให้ข้า และยังมีครั้งหนึ่งที่ข้าโยนกางเกงหลี่ไหวขึ้นไป จากนั้นข้าก็วิ่งกลับบ้านตัวเอง ภายหลังได้ยินมาว่ายังคงเป็นอาจารย์ที่ปีนไปเก็บลงมา แล้วเหตุใดบัณฑิตในสำนักศึกษาของพวกท่านถึงมักจะพิถีพิถันกับเรื่องไม่เป็นเรื่องพวกนี้…”
ผู้เฒ่ารีบแก้ไข “ไม่ใช่ ‘สำนักศึกษาของพวกท่าน’ แต่เป็น ‘สำนักศึกษาของพวกเรา’”
สองมือของผู้เฒ่าไพล่หลัง ค้อมตัวลงยิ้มมองแม่นางน้อย “รู้สึกใช่หรือไม่ว่าอาจารย์ของเจ้า เจ้าคนที่ชื่อฉีจิ้งชุนผู้นั้นน่ะ ดีกว่าอาจารย์ที่นี่?”
แม่นางน้อยถอนหายใจ
ในใจคิดว่าอาจารย์ผู้เฒ่าคนนี้ก็ตัวสูง เหตุใดถึงคิดแต่ปัญหาที่ต่ำเตี้ยนักนะ?
ผู้เฒ่ากล่าวด้วยความหวังดี “แม่นางน้อยข้าจะบอกเจ้าให้นะ กฎระเบียบของพวกเรามีเยอะ นอกจากความรู้ที่มีไม่มากเท่าอาจารย์ของเจ้าแล้ว อย่างอื่นก็ไม่ใช่ว่าไร้ประโยชน์ไปซะหมด เราเองก็มีความลำบากใจเช่นกัน เจ้าคงเคยได้ยินประโยคที่ว่า ‘ทำตามใจปรารถนา ไม่ละเมิดกฎเกณฑ์’ กระมัง? ประโยคหน้านั้นคืออะไร รู้หรือไม่?”
แม่นางน้อยพยักหน้า “คือ ‘ส่วนสิบเจ็ด’ ส่วนประโยคก่อนหน้านั้นอีกก็คือ ‘สิบหกฟังแจ่มแจ้งไม่หวั่นไหว’” (มาจากถ้อยคำของขงจื๊อซึ่งประโยคดั้งเดิมคืออายุหกสิบฟังแจ่มแจ้งไม่หวั่นไหว ส่วนเจ็ดสิบทำตามใจปรารถนา ไม่ละเมิดกฎเกณฑ์)
ผู้เฒ่าร่างสูงใหญ่อึ้งตะลึงไปนาน ถึงกับพูดไม่ออก
ความรู้ของผู้เฒ่านั้นสูงเกินจะจินตนาการได้ถึง ใช่ว่าเขาจะไม่เข้าใจความหมายของนาง เพียงแต่คิดไม่ตกว่าในสมองเล็กๆ ของแม่นางน้อยมีคำตอบประหลาดอย่างนี้ผุดออกมาได้อย่างไร
แม่นางน้อยโบกมือเตรียมจะเผ่นหนี “อาจารย์ผู้เฒ่า ข้าชื่อหลี่เป่าผิง เป็นนักเรียนที่เพิ่งเข้าเรียนมาได้ไม่นาน ข้าไม่มีทางหลบเลี่ยงการลงโทษแน่นอน ข้าได้อ่านกฎระเบียบทั้งหมดมาล่วงหน้าก่อนแล้วรอบหนึ่ง รู้ว่าภายในสามวันต้องคัดลอกบทความหนึ่งฉบับ คืนนี้ข้าจะไปเขียนให้เสร็จ หลังจากนั้นจะนำไปส่งให้กับอาจารย์หงด้วยตัวเอง หากท่านไม่เชื่อ สามารถไปถามอาจารย์หงเองได้”
หลี่เป่าผิงตบอกตัวเอง “วางใจเถอะ ข้าเขียนตัวอักษรได้ไวกว่าตอนวิ่งซะอีก!”
ผู้เฒ่าไม่รู้ว่าจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี รีบตะโกนเรียกแม่นางน้อยที่เปี่ยมไปด้วยความกล้าหาญองอาจเอาไว้ “ยังพูดหลักการกันไม่จบเลยนะ เจ้าอย่าเพิ่งรีบร้อน ฟังหลักการของข้าจบแล้วก็จะถือว่าเจ้าได้รับโทษแล้ว”
มือสองข้างของหลี่เป่าผิงอยู่ในท่าเตรียมออกวิ่งแล้ว พอได้ยินคำพูดประโยคนี้ก็จำต้องหยุดชะงัก เบิกตากว้าง “อาจารย์ผู้เฒ่าเชิญท่านพูดได้เลย แต่หากหลักการที่ท่านพูดยังไม่ดีพอ ข้าคงต้องกลับไปคัดลอกตำราต่อแล้วล่ะ”
คำพูดของแม่นางน้อยทำเอาผู้เฒ่าสะอึกอึ้ง “เจ้าลองคิดดูนะ ปรมาจารย์มหาปราชญ์อายุปูนนั้นแล้วถึงได้กล้าทำอย่างนี้ หากคนทั่วไปทำอะไรตามแต่ใจของตัวเองโดยไม่สนกฎเกณฑ์ใดๆ แบบนั้นก็ไม่ค่อยดีหรือเปล่า?”
แม่นางน้อยพยักหน้ารับ “ย่อมไม่ดีอยู่แล้ว”
ผู้เฒ่ายิ้มกว้างดีใจ “นั่นไง เอาล่ะข้าอธิบายหลักการจบแล้ว เจ้าก็ไม่ต้องคัดหนังสือแล้ว”
คราวนี้เป็นหลี่เป่าผิงบ้างที่ต้องอึ้งตะลึง “แค่นี้เอง?”
แม่นางน้อยถอนหายใจหนักๆ มองอาจารย์ผู้เฒ่าที่อยู่ตรงหน้าครู่หนึ่ง ทำท่าจะพูดแต่ก็ไม่พูด สุดท้ายกุมมือคารวะ เตรียมจะวิ่งตะบึงลงจากภูเขาไป
ผู้เฒ่าโมโหจนขำ “แม่นางน้อย สายตาเมื่อครู่นี้ของเจ้าหมายความว่าอย่างไร รู้สึกว่าข้าอายุมากกว่าฉีจิ้งชุนอาจารย์ของเจ้า แต่กลับเข้าใจหลักการไม่มากเท่าเขา ใช่หรือไม่?”
หลี่เป่าผิงพยักหน้ารับช้าๆ ยืนกรานว่าจะไม่โกหกใคร ในเมื่อถูกอาจารย์ผู้เฒ่าจับได้แล้ว นางก็ย่อมไม่ปฏิเสธ
ผู้เฒ่าหัวเราะ “ถ้าอย่างนั้นเจ้ารู้หรือไม่ ข้าก็แค่ดูแก่กว่าอายุ ส่วนฉีจิ้งชุนนั้นก็แค่ดูหนุ่มกว่าอายุจริง อันที่จริงเขาแก่กว่าข้าเสียอีก! ดังนั้นความรู้เขาจะมากกว่าข้าเล็กน้อยก็ไม่ใช่เรื่องแปลก”
ใบหน้าหลี่เป่าผิงเต็มไปด้วยความคลางแคลงใจ
ผู้เฒ่าคล้ายจะอับอายจนพานเป็นโกรธ “จะโกหกแม่นางน้อยอย่างเจ้าไปไย!”
หลี่เป่าผิงไม่รีบร้อนลงจากภูเขาอีก นางยกมือสองข้างขึ้นกอดอก เดินไปทางซ้ายสองสามก้าว แล้วก็ขยับเดินมาทางขวาอีกสองสามก้าว เชิดศีรษะมองผู้เฒ่าร่างสูงใหญ่แล้วถามคำถามประหลาด “ต่อให้อายุของท่านน้อยกว่าอาจารย์ของข้า ความรู้เลยน้อยกว่า แต่ทำไมอาจารย์อาน้อยของข้าอายุน้อยกว่าท่าน แต่มีความรู้มากกว่าท่านล่ะ?”
ผู้เฒ่าจุ๊ปาก “ความรู้มากกว่าข้า? ข้าไม่เชื่อหรอก”
หลี่เป่าผิงร้อนใจเล็กน้อย รีบคิดอย่างจริงจัง หลังจากกวาดตามองไปรอบด้านอย่างระมัดระวังแล้วก็ยื่นฝ่ามือเล็กๆ ข้างหนึ่งมาป้องปาก เอ่ยเบาๆ ว่า “ข้าจะบอกท่าน แต่ท่านอย่าเอาไปบอกใครนะ”
จากนั้นนางก็ยื่นมือมาทำท่าทางประกอบเหนือศีรษะของตัวเอง “หากความรู้ของอาจารย์ข้าสูงขนาดนี้ ถ้าอย่างนั้นอย่างน้อยความรู้ของอาจารย์อาข้าก็ต้องสูงเท่านี้”
หลี่เป่าผิงยื่นมือออกมาวาดระดับตรงไหล่ของตัวเอง จากนั้นก็ย้ายไปที่ข้างหู “รอจนอาจารย์อาน้อยของข้ารู้จักตัวอักษรเพิ่มมากขึ้นระหว่างที่เดินทางกลับบ้าน ความรู้ก็จะต้องสูงขึ้นมาขนาดนี้!”
ผู้เฒ่าอ้าปากค้าง สุดท้ายได้แต่พูดเออออตาม “ถ้าอย่างนั้นอาจารย์อาน้อยของเจ้าก็สุดยอดมาก สุดยอดมาก!”
หลี่เป่าผิงพยักหน้ารับแรงๆ “ก็ใช่น่ะสิ! อาจารย์อาน้อยของข้าสุดยอด ร้ายกาจมากที่สุด!”
ผู้เฒ่าพลันทอดถอนใจ “ร้ายกาจสิดี ร้ายกาจสิดี เมื่อร้ายกาจแล้ว อนาคตจะได้สามารถปกป้องเป่าผิงน้อยของพวกเราได้”
สีหน้าของหลี่เป่าผิงหม่นหมองเล็กน้อย ฝืนเค้นรอยยิ้มออกมา เสียงฟิ้วดังหนึ่งครั้งร่างของนางก็พุ่งออกห่างจากผู้เฒ่าไปไกล วิ่งพลางหันมาโบกมือลาอีกฝ่าย “ข้าไปแล้วนะ อันที่จริงข้ารู้สึกว่าความรู้ของท่านอาจารย์ผู้เฒ่าก็ไม่เลวเลย สูงถึงขนาดนี้…”
แม่นางน้อยอยากจะยื่นมือออกมาทำท่าประกอบ แต่เพราะวิ่งเร็วเกินไป ทรงตัวไม่อยู่จึงลมกระแทกกับพื้นอย่างจัง จากนั้นก็ลุกขึ้นยืนอย่างว่องไวดุจฟ้าร้องกะทันหันจนคนไม่ทันป้องหู แล้วจึงวิ่งลงเขาไปด้วยความเร็วที่มากกว่าเดิม
ผู้เฒ่าร่างสูงใหญ่ตบเอวตัวเอง ไม้บรรทัด “กฎระเบียบ” จึงกลับคืนสู่รูปเดิมในทันที เขามองตามแผ่นหลังสีแดงที่ยิ่งเล็กลงเรื่อยๆ แล้วถอนหายใจ “จิ้งชุน หากรู้แต่แรกควรจะพบหน้าเด็กหนุ่มผู้นั้นสักหน่อย”
……
ภูเขาตงหัวมีทะเลสาบขนาดเล็กอยู่ห่างหนึ่ง น้ำในทะเลสาบใสจนเห็นเบื้องล่าง ปลูกดอกบัวไว้จนเต็มแน่น เพียงแต่ว่าเมื่อเข้าสู่ช่วงฤดูหนาว ดอกบัวจึงแห้งเหี่ยวเหลืองกรอบไปนานแล้ว แสดงให้เห็นถึงความเปล่าเปลี่ยวอย่างเห็นได้ชัด
มีเด็กหนุ่มร่างสูงใหญ่คนหนึ่งที่ในมือถือเบ็ดตกปลาไม้ไผ่เขียว นั่งตกปลาอยู่ริมตลิ่ง บางครั้งก็มีคนคอยชี้ไม้ชี้มือมาที่เขา แต่กลับไม่มีใครคิดจะขยับเข้ามาใกล้เพื่อพูดคุยด้วย
ในที่สุดก็มีเด็กสาวผิวดำหน้าตาไม่โดดเด่นคนหนึ่งเดินมาหยุดยืนอยู่ข้างกายเด็กหนุ่ม “ตกปลาน่าสนใจนักหรือ?”
อวี๋ลู่พยักหน้ารับยิ้มๆ “น่าสนใจสิ”
เซี่ยเซี่ยถาม “น่าสนใจตรงไหน?”
อวี๋ลู่ยังคงตอบกลับด้วยรอยยิ้ม “เวลาตกปลาจะทำให้อารมณ์ดี ต่อให้สุดท้ายปลาจะหนีไปก็ยังอารมณ์ดีได้อยู่ดี”
เซี่ยเซี่ยเริ่มโมโหเล็กน้อย
อวี๋ลู่จ้องนิ่งไปบนพื้นผิวทะเลสาบ ข่มกลั้นรอยยิ้ม ก่อนจะเอ่ยความลับออกมาด้วยประโยคเดียว “ได้ๆๆ ข้าจะพูดตามความจริง ข้ากำลังฝึกวรยุทธ์”
อวี๋ลู่อธิบายเนิบช้า “ยังไม่ต้องพูดถึงการถือคันเบ็ด พูดแค่ท่านั่งนี้ของข้าก็มีความพิถีพิถันแล้ว ต้องนิ่งสงบดุจขุนเขา ไหลรินดุจแม่น้ำ และวินาทีที่ปลาติดเบ็ดอย่างแท้จริง การสับเปลี่ยนระหว่างความหยุดนิ่งและการเคลื่อนไหวของทั้งร่างข้าจะเกิดขึ้นในเวลาเพียงเสี้ยววินาที สอดคล้องกับโอกาสในชั่วเส้นกั้นบางๆ ของการพลิกกลับหยินหยางแห่งลัทธิเต๋า ในตำราลับการฝึกวรยุทธ์เล่มนี้กล่าวไว้ว่า หนึ่งนิ่งกลับไม่มีสิ่งใดไม่นิ่ง หนึ่งขยับร้อยกระดูกล้วนเคลื่อนตาม ดังนั้นข้าตกปลาอย่างนี้จึงสามารถชำระล้างเส้นเอ็นและกระดูก เพิ่มพลังต้นกำเนิดให้เต็มเปี่ยม”
เซี่ยเซี่ยเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง
ตั้งแต่ต้นจนถึงตอนนี้อวี๋ลู่ก็ยังไม่ได้หันมามองเด็กสาว “หากเจ้าจะบอกว่าข้าไม่เคยได้ฝึกวรยุทธ์ ก็ไม่ผิด ข้าไม่เคยฝึกวิชาหมัดมาก่อน แต่หากเจ้าจะบอกว่าข้าฝึกวรยุทธ์อยู่ตลอดเวลาก็ไม่ผิดเช่นกัน เวลาที่ข้ากินข้าว นอน เดิน และตอนตกปลาก็ล้วนนึกถึงสิ่งที่อยู่ในตำราลับของการฝึกวรยุทธ์เหล่านั้น ชาติกำเนิดดีก็มีข้อดีอยู่ที่มีตำราลับอยู่ในบ้าน แม้ว่าระดับจะไม่สูงมากนัก แต่จุดที่ผิดพลาดย่อมมีไม่มากแน่นอน อีกอย่างหลายจุดที่มองดูเหมือนขัดแย้งกันในตำราหมัด คัมภีร์กระบี่มากมาย แท้จริงแล้วกลับเป็นความรู้สูงสุด ทำให้คนหลงใหลมากเป็นพิเศษ”
เซี่ยเซี่ยนั่งลงบนพื้น ชันขากอดเขา มองไปยังคันเบ็ดตกปลาที่เรียวยาว “เจ้าไม่ขึ้นไปฝึกตนบนภูเขา ช่างน่าเสียดายยิ่งนัก”
อวี๋ลู่กล่าวอย่างคนได้รับความอยุติธรรม “เฮ้ๆๆ แม่นางเซี่ย ไม่มีใครเขาแหวกบาดแผลคนอื่นแบบเจ้าหรอกนะ”
เซี่ยเซี่ยเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนพูดว่า “ในที่สุดก็ได้มีชีวิตที่สงบสุขแล้ว แต่ในใจกลับไม่เป็นมั่นคงเลย เจ้าล่ะ?”
เด็กสาวถามเองตอบเอง “ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน เจ้าอวี๋ลู่ก็คงจะไม่ทุกข์ร้อน ข้อนี้ข้าสู้เจ้าไม่ได้จริงๆ”
อวี๋ลู่หันหน้ามาอย่างกะทันหัน เขาส่ายหน้ากล่าวว่า “ข้าชอบเวลาที่นั่งเฝ้ายามอยู่หน้ากองไฟคนเดียว”
เซี่ยเซี่ยสงสัย “ทำไมล่ะ?”
อวี๋ลู่หันหน้ากลับไปจ้องผิวทะเลสาบดังเดิม “ไม่รู้สิ ชอบก็คือชอบ”
เซี่ยเซี่ยยิ้ม “ถ้าอย่างนั้นเจ้าชอบนางหรือไม่ สตรีที่เกือบจะได้เป็นชายารัชทายาทของเจ้าคนนั้นน่ะ?”
อวี๋ลู่สีหน้าไร้อารมณ์ก่อนเป็นอันดับแรก แต่ไม่นานก็ฉีกยิ้มกว้าง ตอบไม่ตรงคำถาม “แม่นางเซี่ย อยู่ที่นี่ พวกเราต้องระวังการกระทำ ระวังวาจา”
เซี่ยเซี่ยหน้ายิ้มใจไม่ยิ้ม “ก่อนหน้านี้หลี่ไหวมาหาข้าเพื่อโอ้อวดปิ่นหยกชิ้นนั้นของเขา แต่เจ้ากลับไม่มีรึ?”
อวี๋ลู่ยิ้มบาง “เจ้าเองก็ไม่มีเหมือนกันไม่ใช่หรือ ข้าไม่มีก็ไม่เห็นแปลก แต่เจ้าไม่มีนี่สิถึงไม่ถูก เป็นสาวงามขนาดนี้ เฮ้อ”
เซี่ยเซี่ยหน้าดำทะมึน “ระวังวาจา!”
อวี๋ลู่พลันขยับข้อมือ คันเบ็ดวาดวงโค้งงดงามสุดขีด เด็กหนุ่มร่างสูงใหญ่หัวเราะร่า “ติดเบ็ด!”
เด็กหนุ่มลุกขึ้นยืนแล้วเดินหนีไป “ผู้ชายไม่มีใครดีสักคน!”
อวี๋ลู่ดึงใช้คันเบ็ดเลี้ยงปลาไว้อย่างระมัดระวังพลางหันมองแผ่นหลังของเด็กสาว “ข้าจะใช่คนดีหรือไม่ คงบอกได้ยาก แต่คนบางคนนั้นดีมากจริงๆ อืม อาจจะลำเอียงไปสักหน่อย หีบหนังสือไม่มี ปิ่นไม่มี มีเพียงรองเท้าสานที่ไม่ว่าใครก็ได้รับ เฮ้อ ช่างทำให้คนผิดหวังซะจริง”
เซี่ยเซี่ยหมุนตัวกลับ ก้าวยาวๆ เข้าหาอวี๋ลู่
อวี๋ลู่รีบพูดเสริมเหมือนคนทำวัวหายแล้วล้อมคอก “ข้าไม่ได้มีความหมายอย่างอื่น พวกเราต่างก็เหมือนกันที่ไม่กลัวว่าจะได้ส่วนแบ่งน้อย แต่กลัวว่าจะได้ส่วนแบ่งไม่เท่ากันมากกว่า เจ้าอย่าเข้าใจผิด…”
เด็กสาวไม่มีท่าทีว่าจะหยุดเท้า อวี๋ลู่โยนคันเบ็ดทิ้ง แม้แต่ปลาที่ติดเบ็ดก็ไม่เอาแล้ว ชักขาได้ก็ออกวิ่งทันที
เซี่ยเซี่ยหยิบคันเบ็ดที่วางไว้บนชายฝั่งซึ่งยังไม่ถูกปลาลากไปไกล โยนไปยังใจกลางของทะเลสาบอย่างแรง ครั้นจึงปัดมือเดินจากไป
อวี๋ลู่ปากอ้าตาค้าง คราวนี้ไฟโทสะของเขาผุดขึ้นเหนือหัวสามจั้งจริงๆ จึงคำรามต่ำเสียงขุ่น “หากเปลี่ยนเป็นคันเบ็ดของเฉินผิงอันดูสิ เจ้ายังจะกล้าอารมณ์ร้ายแบบนี้หรือ? หากเจ้ากล้า ข้าจะเปลี่ยนไปใช้แซ่ของเจ้าเลย!”
—–