ตอนที่ 163.2 ในที่สุดก็ได้เป็นอาจารย์และศิษย์

บทที่ 163.2 ในที่สุดก็ได้เป็นอาจารย์และศิษย์
โดย

ระหว่างที่เดินทางมา ชุยฉานซื้อเหล้าซ่านจิ่วเพิ่มอีกสองจิน เพราะหลังออกจากเมืองหลวงต้าสุย เขาก็ดื่มเหล้ากานั้นหมดแล้ว ตอนนั้นในรถม้ายังมีสุราดีอยู่อีกหลายไห แต่เขาก็ไม่สามารถกระดกก้นมุดหัวเข้าไปในไหเหล้าขนาดใหญ่เหล่านั้นได้ ชุยฉานจึงเก็บกาเหล้าใบเดิมไว้ ไม่ได้ทิ้งไป พอใช้นานวันเข้าก็เกิดความผูกพัน หลังจากนั้นเป็นต้นมาก็ซื้อเหล้าซ่านจิ่วที่แบ่งขายมาตลอด ช่วยไม่ได้ ตอนนี้ชุยฉานต้องยืมเงินจากเฉินผิงอัน เพราะเขาไม่มีเศษเงินเม็ดติดตัวอะไรทั้งนั้น เสียแรงที่มีภูเขาเงินภูเขาทองทั้งลูก แต่ดันเข้าไปข้างในนั้นไม่ได้ ก่อนหน้าที่จะกลายเป็นผู้ฝึกลมปราณขอบเขตห้า ชุยฉานก็ได้แต่เบิกตามองมันอย่างเดียวเท่านั้น

ชุยฉานปลดกาเหลาลงมาแล้วแหงนหน้าดื่มอึกใหญ่ เดินไปข้างหน้า ก้าวข้ามธรณีประตู

งูเหลือมไฟที่สัมผัสได้ถึงภัยคุกคามได้หดตัวเข้าไปในหอหนังสือแล้ว พลังอำนาจของเมฆทะมึนและสายฟ้ากลางอากาศก็อ่อนกำลังลงจากเดิมหลายส่วน

ชุยฉานเดินไปทางบันไดของชั้นหนึ่ง ถอนหายใจกล่าวว่า “เด็กหนุ่มไม่รู้รสชาติของความทุกข์ ชอบเดินขึ้นบันได ขึ้นบันได แล้วก็ขึ้นบันได แล้วก็ขึ้นบันไดไปอีก”

เมื่อเขาเดินไปถึงชั้นห้าก็ไม่ขึ้นไปข้างบนต่ออีก แต่นั่งลงบนบันไดด้วยสีหน้ากลัดกลุ้ม ให้ตายอย่างไรก็ไม่ยอมขึ้นไปให้ถึงยอดสูงสุด

ศีรษะมหึมาสีแดงสดค่อยๆ โผล่ขึ้นมาระหว่างชั้นสี่กับชั้นห้า ดวงตาทั้งคู่ที่ดำสนิทดุจหมึกของมันจ้องมองเด็กหนุ่มชุดขาวที่มีวิชาอภินิหารยิ่งใหญ่แต่กลับจิตใจเหี้ยมโหดด้วยความระมัดระวัง

ชุยฉานหันไปมองงูไฟตัวนั้นแล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงเสียดาย “หากปีนั้นในบ้านของพวกเรามีสิ่งมีชีวิตเช่นเจ้าคอยพูดคุยคลายความกลัดกลุ้มเป็นเพื่อนข้า ข้าก็อาจจะไม่มีสภาพอย่างในวันนี้ก็เป็นได้”

งูเหลือมไฟเอาคางวางทาบลงบนพื้นเบาๆ ทำท่านอบน้อมเงี่ยหูพร้อมรับฟัง เข้าใจลักษณะนิสัยของมนุษย์อย่างยิ่ง อีกทั้งเมื่อเทียบกับพ่อลูกสกุลเฉาที่จะ “ยึดครองเขตการปกครองแห่งหนึ่ง” แล้ว เห็นได้ชัดว่าสัตว์เดรัจฉานตัวนี้มีสายตากว้างไกลยิ่งกว่า

ชุยฉานถามยิ้มๆ “ตัดขาดเส้นทางแห่งความเป็นอมตะของเจ้า ทำให้เจ้าพลาดโอกาสฟ้าลิขิตดินอำนวยคนสามัคคีในวันนี้ เจ้าไม่โกรธรึ?”

งูเหลือมไฟส่ายศีรษะน้อยๆ หอเรือนทั้งห้าชั้นถึงกับส่ายไหวตามไปด้วยจนฝุ่นคลุ้งตลบไปสี่ทิศ

ชุยฉานพยักหน้ารับ “เจ้ามีสติปัญญา งูน้ำในแม่น้ำมีโอกาสสำเร็จมากกว่าเจ้าเยอะ หากเจ้าดึงดันจะลอกคราบ ถึงเวลานั้นตบะที่เจ้าสั่งสมมาอย่างยากลำบากหลายร้อยปีก็จะมีจุดจบเป็นชุดแต่งงานที่เจ้าตัดให้คนอื่น (สำนวนตัดชุดแต่งงานให้คนอื่นเปรียบเปรยว่าตัวเองเหนื่อยยาก แต่สุดท้ายกลับเป็นคนอื่นที่ได้ผลประโยชน์) เท่านั้น”

บนบันไดตำแหน่งที่สูงกว่าชุยฉานนั่งอยู่มีเด็กชายชุดเขียวอายุประมาณหกเจ็ดขวบคนหนึ่งที่ดวงตาดำตั้งตรงนั่งยองอยู่บนราวจับบันได เขามองมาที่แผ่นหลังของชุยฉานแล้วจุ๊ปากพูด “ว้าว เจ้าเด็กต่างถิ่นคนนี้ไม่เพียงแต่ลงมืออำมหิตโหดเหี้ยม ยังสายตาไม่เลว ยังรู้ด้วยว่าตัวข้าร้ายกาจอย่างยิ่ง”

งูเหลือมไฟตกตะลึงอย่างมาก กว่าจะสะกลดกลั้นความวู่วามที่จะกลับลงไปยังชั้นล่างได้ไม่ใช่เรื่องง่าย ร่างทั้งร่างของมันสั่นระริกเบาๆ ไม่หยุด

ไม่เพียงแต่ไม่มีการปกป้องจากพ่อลูกสกุลเฉา ตอนนี้ยังจำต้องฝืนใจระงับขั้นตอนการลอกคราบ เป็นช่วงเวลาที่มันอ่อนแอมากที่สุด แต่ไอ้หมอนั่นกลับยังแฝงตัวเข้ามาในสกุลเฉา แล้วตนจะยังเป็นคู่ต่อกรของเขาได้อย่างไร?

ชุยฉานส่ายหน้ายิ้ม “เกเร”

เด็กชายชุดเขียวทำหน้าเหลอหลา ยื่นปลายนิ้วที่มีเล็บแหลมคมเหมือนสว่านชี้ตัวเอง “เด็กน้อยอย่างเจ้าพูดถึงข้า?”

นาทีถัดมาเด็กชายชุดเขียวก็ยกสองมือกุมหน้าผาก เลือดสดทะลักออกมาจากร่องนิ้วของเขาอย่างต่อเนื่อง ร่างของเขาพลัดจากราวบันไดตกลงมายังชั้นห้า กลิ้งตัวทุรนทุรายอยู่กับพื้น ทำเอาหอหนังสือทั้งหอเริ่มสั่นโยกตามไปด้วย

ชุยฉานควักของสิ่งหนึ่งออกมาจากชายแขนเสื้อ กล่าวอย่างไม่สบอารมณ์ “พอที เลิกเสแสร้งได้แล้ว หากยังเกเรอยู่อย่างนี้ ข้าจะให้เจ้าไปพบพญายมราชจริงๆ แน่”

ร่างของเด็กชายชุดเขียวผู้นั้นพลันหยุดชะงัก พอลุกขึ้นแล้วก็ปัดชายแขนเสื้อ เอ่ยถาม “เจ้าต้องการอะไรกันแน่? ข้าสนิทสนมกับเทพวารีนอกเมืองผู้นั้นมากเลยนะ เรียกเป็นพี่เป็นน้องกับเขามาตั้งสองร้อยกว่าปี แข็งแกร่งกว่าเจ้าเด็กน้อยที่แม้แต่หน้าเทพอภิบาลเมืองก็ยังไม่กล้าพบผู้นี้หลายเท่านัก ตบะของเจ้าไม่เลวเลย มีคุณสมบัติให้ไปเป็นแขกของจวนข้าได้ หากวันนี้เจ้าย่อมช่วยข้า ให้ข้าได้กินมัน วันหน้าในรัศมีร้อยลี้นอกเขตการปกครองแห่งนี้ เจ้าอยากจะฆ่าใครก็ฆ่าได้ตามสบาย…”

เด็กชายชุดเขียวเหมือนถูกคนบีบคอกะทันหัน พูดไม่ออกแม้แต่ครึ่งคำ จ้องเขม็งไปยังวัตถุที่อยู่ในมือของเด็กหนุ่มชุดขาว ตกใจจนขวัญกระเจิง ขาทั้งสองข้างเริ่มสั่นพั่บๆ ส่วนงูเหลือมไฟตัวนั้นก็ยิ่งกลายร่างเป็นเด็กหญิงที่สวมชุดกระโปรงสีขาวซึ่งยืดขดตัวอยู่ตรงทางขึ้นบันได ร่างสั่นระริก

ในมือของชุยฉานคือแท่นฝนหมึกโบราณ ด้านบนมีเจียวเฒ่าร่างผอมแห้งยาวไม่เกินขุ่นขดตัวอยู่ หากตั้งใจฟังยังสามารถได้ยินเสียงกรนเบาๆ ดังแว่วมาด้วย

สำหรับเด็กชายชุดเขียวและงูเหลือมไฟแห่งหอหนังสือแล้ว เสียงคนที่กรนธรรมดาไม่รู้สึกว่าแปลกประหลาดอะไร เมื่อดังอยู่ในหูของพวกมันแล้วกลับน่ากลัวยิ่งกว่าเสียงฟ้าร้องซะอีก

ชุยฉานก้มหน้าลง สองนิ้วคีบ “เข็มปักลายดอกไม้” เล่มหนึ่งที่ทอแสงทองวิบวับ แล้วเอาไปสีเข้ากับขอบของแท่นฝนหมึกโบราณจนเกิดประกายไฟ คล้ายกำลังใช้แท่นฝนหมึกโบราณขัดเกลาคมแหลมคม

ชุยฉานยื่นแท่นฝนหมึกออกมา “เข้ามาในนี้แต่โดยดีเถอะ”

เด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูที่จำแลงร่างมาจากงูเหลือมไฟยืนหันหลังติดผนัง หลังจากลุกขึ้นยืนอย่างยากลำบากก็ไม่กล้าขยับตัวอีก

เด็กชายชุดเขียวถาม “มีประโยชน์หรือไม่?”

ชุยฉานพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม “มีสิ ยกตัวอย่างเช่นได้มีชีวิตอยู่ต่อไป”

เด็กชายชุดเขียวกล่าวคำว่าดีเสียงหนัก จากนั้นก็…พุ่งชนหน้าต่างชั้นห้า เผ่นหนีออกไป

แต่หลังจากนั้นกลับมีแสงสีทองยาวสองสามฉื่อเส้นหนึ่งตามติดไปด้านหลัง ทะลุหน้าต่างออกไปนอกเมืองทางฝั่งตะวันออกเช่นกัน

ครู่หนึ่งต่อมา ในแม่น้ำใหญ่ทางทิศตะวันออกนอกเมืองก็มีคลื่นยักษ์ถาโถม บางครั้งยังมีน้ำเลือดสาดกระเซ็นไปสี่ทิศ

เฉินผิงอันที่กำลังดื่มชาอยู่หน้าประตูเมืองรีบจ่ายเงินแล้ววิ่งเข้าไปในเมืองทันที

ผลกลับพบว่าจวน “จือหลัน” ไม่มีแม้แต่คนเฝ้าประตู เฉินผิงอันจึงเข้าไปข้างในได้อย่างราบรื่นตลอดทาง สุดท้ายมาถึงหอเรือนสูงตระหง่าน เห็นชุยฉานจูงมือเด็กหญิงสวมชุดกระโปรงสีชมพูเดินออกมาพอดี คงเป็นเพราะต้องการความสบาย ชุยฉานจึงยกหีบหนังสือให้เด็กหญิงตัวน้อยร่างเล็กบางสะพาย ส่วนตัวเองเดินตัวเปล่า มีเพียงกาเหล้าที่ห้อยอยู่ตรงเอวเท่านั้น

ชุยฉานตบศีรษะตัวเองแล้วบอกให้เด็กหญิงที่แบกหีบหนังสือไปหยิบตำราโบราณที่มีปราณวิญญาณเปี่ยมล้นที่สุดมา จากนั้นจึงนั่งลงบนธรณีประตู ดื่มเหล้า เงยหน้ากล่าวยิ้มๆ “อาจารย์ พูดมาเถอะ ข้ากำลังฟังอยู่”

เฉินผิงอันถาม “รู้หรือไม่ว่าทำไมข้าถึงให้เจ้าเดินทางกลับไปยังอำเภอหลงเฉวียนด้วยกัน?”

ชุยฉานกระดกเหล้าดื่มอึกใหญ่ ก่อนจะใช้หลังมือเช็ดริมฝีปาก “รู้สิ กลัวว่าข้าจะความจำสั้น หรือไม่ก็มีเจตนาไม่ดี ก่อเรื่องก่อราวขึ้นมาในสำนักศึกษาซานหยาของต้าสุย ท่านเป็นห่วงพวกหลี่เป่าผิงสามคน ดังนั้นยอมให้ตัวเองหลับไม่เป็นสนิท แต่ไม่ยอมให้เกิดเรื่องไม่คาดฝันกับเด็กเหล่านั้นเด็ดขาด”

เฉินผิงอันมองชุยฉาน

ชุยฉานกล่าวอย่างจนใจ “เฮ้ๆๆ เดาคำตอบแบบนี้ออกมาได้เป็นเรื่องยากนักหรือไง? อาจารย์อย่าใช้สายตาแบบนี้มองข้าได้หรือไม่ ต่อให้มีความตกตะลึงอยู่เพียงแค่เสี้ยวเดียวก็ยังเป็นการหมิ่นเกียรติข้าชุยฉานอยู่ดี”

เฉินผิงอันลังเลไปชั่วขณะ สุดท้ายก็เอ่ยว่า “หากเจ้ายินดีปกป้องพวกเขาด้วยความจริงใจ นับจากวันนี้ไป ข้าก็รับปากว่าจะให้เจ้าเป็นลูกศิษย์ของข้า”

ชุยฉานชูกาเหล้าขึ้นสูง “คำไหนคำนั้น!”

เฉินผิงอันขมวดคิ้ว “ช่างมันเถอะ”

“เป็นเพราะข้ารับปากเร็วเกินไป?”

ชุยฉานแค่นเสียงเย็น “อย่าเพิ่งรีบร้อนเปลี่ยนใจ นับแต่นาทีที่ข้าแอบออกมาจากรถม้าพร้อมกับเจ้า ข้าก็เดาได้แล้วว่าจะมีก้าวนี้ สำหรับข้าแล้วนี่ไม่ใช่เรื่องเกินคาดที่นำมาซึ่งความปิติยินดี แต่เป็นผลลัพธ์ที่ได้จากการใคร่ครวญอย่างลึกซึ้ง ดังนั้นเจ้าอย่าได้รู้สึกว่าข้าปฏิบัติต่อเจ้าเฉินผิงอันอย่างขอไปที พูดไปแล้วเจ้าอาจจะไม่เชื่อ การที่ข้าอยู่ต่อให้เมืองหลวงต้าสุย เดิมทีก็เป็นการเดินหมากก้าวหนึ่งที่ข้าคาดการณ์ไว้ให้ตัวเองล่วงหน้าอยู่แล้ว เจ้าคิดว่าตลอดทางมานี้ ข้าเล่นหมากล้อมกับตัวเองมันสนุกมากนักหรือ? พูดไปแล้วข้าก็กลัวว่าจะทำให้เจ้าตกใจตาย นั่นคือการเล่นหมากล้อมระหว่างต้าหลีกับต้าสุย! หมากล้อมกระดานนี้เกี่ยวพันกับแนวโน้มของโชคชะตาสองราชวงศ์ใหญ่ในอนาคต!”

ชุยฉานถอนหายใจ “แต่จะว่าไปแล้ว เดิมทีวิธีพาตัวไปตกอยู่ในอันตราย บีบให้วีรบุรุษปรากฏกายในบ่อมังกรถ้ำพยัคฆ์ก็ไม่ใช่นแนวทางของข้าอยู่แล้ว ทว่าช่วยไม่ได้ จะว่าไปแล้วข้าเป็นคนเจาะก้นตะกร้าให้ทะลุเอง ถึงเวลาจะให้คนอื่นมาเก็บกวาดเรื่องเละเทะที่ตัวเองทำไว้ ก็ไม่แน่เสมอไปว่าข้าจะวางใจ”

ชุยฉานยิ้มขื่น “อาจารย์หากข้าตายอยู่ในเมืองหลวงต้าสุยจริงๆ …”

เฉินผิงอันตอบจริงจัง “ข้าจะพยายามช่วยสร้างสุสานอีกวาน (แปลตรงตัวคือสุสานหมวกและเสื้อผ้า คือสุสานที่ฝังเฉพาะเสื้อผ้าหรือสิ่งของของผู้ตายเนื่องจากหาศพของผู้ตายไม่เจอ หรือไม่ศพก็ถูกฝังอยู่ที่อื่น) ให้เจ้าเอง”

ชุยฉานตะลึงงัน ก่อนจะพึมพำเสียงเบา “ขนาดสุสานกวานอีแม่งก็ยังรู้…ตลอดทางมานี้เรียนหนังสือกับหลินโส่วอี หลี่เป่าผิงไม่เสียเปล่าเลยจริงๆ! ฮ่าๆ ไม่เสียแรงที่เป็นอาจารย์ของข้า เรียนรู้ไวจริงๆ!”

เฉินผิงอันถาม “ใช่แล้ว บนป้ายหน้าหลุมศพจะให้เขียนว่าชุยฉานหรือว่าชุยตงซาน?”

ใบหน้าของชุยฉานเต็มไปด้วยความหวาดผวา “ถุยๆๆ!”

จากนั้นชุยฉานก็เอ่ยยิ้มๆ “รู้ว่าอาจารย์ต้องเดินก้าวนี้ ดังนั้นลูกศิษย์อย่างข้าจึงเตรียมของขวัญจากลาไว้เรียบร้อยแล้ว  เด็กหญิงคนเมื่อครู่นี้มีชาติกำเนิดเป็นงูเหลือมไฟ สูบดึงเอากลิ่นหอมของตำรามาตั้งแต่เด็กจนเติบใหญ่ นิสัยอ่อนโยนอย่างมาก วันหน้าให้เป็นเด็กรับใช้ของอาจารย์ก็ย่อมเหมาะสมอย่างมาก ส่วนเจ้าคนที่เหลือนั่นก็มีชาติกำเนิดพอๆ กัน แต่นิสัยดุร้ายเกรี้ยวกราดไปสักหน่อย ตลอดทางที่เดินทางกลับเมืองหลงเฉวียนนี้จำเป็นต้องมีคนที่ต่อสู้ได้อยู่ข้างกายสักคน จะได้ช่วยอาจารย์บุกเบิกภูเขาตักน้ำตักท่า สำหรับพวกมันแล้วถ้ำสวรรค์หลีจูนับว่ามีแรงดึงดูดสูงมาก วันหน้าเมื่อพวกมันเข้าไปในถิ่นของอาจารย์ก็จำเป็นต้องเชื่อฟังท่าน แต่อาจารย์จำเป็นต้องรอสักครู่ อีกไม่นานงูน้ำตัวนั้นก็จะวิ่งกลับมาโขกหัวยอมรับผิดที่นี่ด้วยตัวเอง”

อารมณ์ของเฉินผิงอันซับซ้อนเล็กน้อย

“เจ้าเป็นคนเลว แถมยังฉลาดกว่าข้ามาก ดังนั้นจึงรู้ดีกว่าข้าว่าควรจะรับมือกับคนเลวอย่างไร ข้าหวังว่าเมื่อเจ้ากลับไปถึงสำนักศึกษาแล้วจะสามารถปกป้องพวกเป่าผิงได้จริงๆ”

สายตาของเฉินผิงอันจริงใจ เขาสูดลมหายใจเข้าลึกหนึ่งครั้งแล้วจึงกุมมือคารวะด้วยท่าทางของคนในยุทธภพ “หากเจ้าทำได้ ข้าก็ขอขอบคุณเจ้าไว้ ณ ที่นี้ก่อน”

“อาจารย์ยอมตัดสินใจเช่นนี้ก็แสดงว่ายอมรับในตัวศิษย์จริงๆ แล้ว ต่อให้จะเป็นเพียงแค่ส่วนน้อยก็ตามที อาจารย์ต้องการให้ศิษย์ทำอะไรล้วนเป็นเรื่องที่สมเหตุสมผลอยู่แล้ว ไยยังต้องเอ่ยขอบคุณ?”

ตอนแรกชุยฉานยังยิ้มตาหยี แต่พอเห็นความจริงจังบนใบหน้าของเฉินผิงอันแล้วเขาก็หุบยิ้ม สะบัดชายแขนเสื้อ กุมมือคารวะอย่างเคร่งขรึม ชายแขนเสื้อที่ย้อยลงเหมือนนกกระเรียนที่หุบปีก องอาจสง่างาม เขาเอ่ยเสียงหนักว่า “ศิษย์ขอลาอาจารย์ไปก่อน! อาจารย์ ตลอดการเดินทางนี้รักษาตัวด้วย!”

—–

Sword of Coming กระบี่จงมา

Sword of Coming กระบี่จงมา

อ่านนิยายเรื่อง Sword of Coming กระบี่จงมา ” หนึ่งโลกธาตุขนาดใหญ่ เต็มไปด้วยความลี้ลับมหัศจรรย์ ใจกลางฟ้าดิน เคยมีปัญญาชนผู้หนึ่งใช้หนึ่งกระบี่ฟาดฟันให้เกิดน้ำตกธารสวรรค์ คือความภาคภูมิใจสูงสุดของโลกมนุษย์ หน้าผาทะเลบูรพา มีนักพรตไร้นามผู้หนึ่งที่ไม่ยินดียินร้ายกับสิ่งใด หวังเพียงให้ลมเย็นโชยมาปะทะใบหน้า แดนสุขาวดีปัจฉิมทิศ มีหลวงจีนเฒ่าที่ชอบเล่าเรื่องราวให้ผู้คนฟัง เลี้ยงมังกรสวรรค์ไว้เก้าตัว พื้นที่กันดารแดนใต้ มีจิตรกรตาบอดควบคุมหุ่นเชิดเกราะทองสูงเท่าเนินเขาให้เคลื่อนย้ายภูเขาใหญ่หนึ่งแสนลูก ปูแผ่เป็นภาพลายปัก เมื่อวันหนึ่งเด็กหนุ่มยากจนที่เติบโตทางทิศเหนือได้พบกับเซียนที่เหนือศีรษะมีกระบี่บินนับพันนับหมื่นประดุจฝูงตั๊กแตน “ เขาจึงอยากจะไปเห็นปัญญาชนคนนั้น เห็นคลื่นยักษ์ที่โถมตัวเทียมฟ้าของทะเลบูรพา เห็นทะเลทรายสีเหลืองทองกว้างไกลนับหมื่นลี้ของแดนประจิม และอยากไปเห็นภูเขาลูกโอฬารของแดนกันดารทางใต้ที่นักเล่านิทานเอ่ยถึงกับตาตัวเอง ดังนั้น ในที่สุดวันหนึ่ง เด็กหนุ่มจึงสะพายกระบี่ไม้พาดหลัง มุ่งหน้าไปทางทิศใต้ –ข้ามีนามว่าเฉินผิงอัน ผิงอันที่แปลว่าสงบสุข สันติ ข้าคือมือกระบี่คนหนึ่ง–

Comment

Options

not work with dark mode
Reset