เห็นได้ชัดว่าประโยคหนึ่งคือคำที่ซิ่วไฉเฒ่ามอบให้เขาก่อนจากกัน ส่วนอีกประโยคหนึ่งน่าจะเป็นประโยคบอกลาครั้งสุดท้ายที่ฉีจิ้งชุนตั้งใจฝากผ่านเฉินผิงอันไปให้แก่เหมาเสี่ยวตง
ชุยฉานรู้สึกทดท้อใจเล็กน้อย ชี้ไปยังคนตัวจิ๋วบนไหล่เฉินผิงอัน “นี่คือคนจิ๋วควันธูปซึ่งเป็นผลเก็บเกี่ยวมหาศาลที่เหลืออยู่ไม่มากในถ้ำสวรรค์หลีจู สร้างร่างทองคำได้เกินครึ่งแล้ว นับว่าหาได้ยากยิ่ง ภูเขาลั่วพั่วของอาจารย์มีศาลเทพภูเขาอยู่แห่งหนึ่ง เทพภูเขาองค์นั้นค่อนข้างจะเชื่อถือได้ ในอนาคตสามารถนำคนจิ๋วควันธูปตัวนี้ไปเลี้ยงไว้ในศาลได้ ใช้กระถางธูปเป็นบ้าน ควันธูปเป็นอาหาร”
เด็กหญิงชุดสีทองที่ยืนอยู่บนไหล่เฉินผิงอันลังเลตัดสินใจไม่ได้ สุดท้ายก็สูดลมหายใจเข้าลึก มองมาทางชุยฉาน “อาจารย์ฉียังทิ้งอีกประโยคหนึ่งเอาไว้ แต่ตอนนั้นอาจารย์บอกว่าไม่แน่เสมอไปว่าเจ้าจะมีโอกาส ตอนนี้ในเมื่อเจ้ายอมรับเฉินผิงอันเป็นอาจารย์ แม้ว่าจะยังเป็นคนเลว แต่ข้ารู้สึกว่าสามารถพูดให้เจ้าฟังได้”
ชุยฉานอึ้งตะลึงอยู่กับที่ ในใจเกิดริ้วคลื่นกระเพื่อมไหว ค่อยๆ กล่าวด้วยสีจริงจัง “ข้าล้างหูรอฟังอยู่”
คนจิ๋วควันธูปที่สวมชุดสีทองกล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนเดียงสา “ศิษย์ถามว่า ‘ปูมีหกขา แต่มีก้ามปูสองก้าม’ จะอธิบายอย่างไร? หรือว่าเขียนผิด? อาจารย์ตอบว่า ซิ่วไฉยากจนกระเป๋าแฟบแบนย่อมลำบากใจ”
ชุยฉานหัวเราะท้องคัดท้องแข็ง หัวเราะจนน้ำตาไหลออกมา
ทุกคนต่างก็รู้สึกประหลาดใจอย่างมาก
ชุยฉานเดินเข้าไปในหอเก็บหนังสือเพียงลำพัง เขาหยุดหัวเราะไม่ได้ เดินไปก็เช็ดน้ำตาไปด้วย แล้วจึงหันหน้ามาเอ่ยยิ้มๆ “อาจารย์ ข้าไม่ไปส่งแล้วนะ”
ชุยฉานเดินเข้าไปในหอหนังสือ ยืนมองแผ่นหลังของเฉินผิงอันจากหน้าต่างชั้นที่สอง ตะโกนพูดเสียงดัง “อาจารย์ หากเจอเรื่องยุ่งยากใหญ่เทียมฟ้า สามารถเปลี่ยนเส้นทางไปตามหาซือหลางเฒ่าของกรมการคลังผู้นั้น แค่บอกกับเขาว่าท่านคืออาจารย์ของข้า หรือหากสามารถทำผิดต่อใจตัวเอง บอกว่าท่านกับซิ่วไฉเฒ่าถือเป็นอาจารย์และศิษย์กันครึ่งตัวได้ก็จะดียิ่งขึ้นไปอีก!”
เฉินผิงอันหันกลับมาพูด “รู้แล้ว เจ้าเองก็ระวังตัวด้วย”
ชุยฉานโบกมือ พึมพำเบาๆ “ลุกขึ้นลงมือ เจ้าและข้าต่างให้กำลังใจกัน”
จากนั้นชุยฉานก็เดินขึ้นด้านบนเรื่อยๆ จนถึงยอดสูงสุด ทอดสายตามองไปไกลจากมุมสูง
ก่อนหน้านี้ที่เขาไม่ยอมขึ้นมาบนชั้นนี้ ไม่ใช่เพราะที่นี่มีกลไกลี้ลับอะไร แต่เพราะสันดานเดิมของเด็กหนุ่มกำเริบ ทำให้ชุยฉานนึกถึงเรื่องบางอย่างในอดีตที่ไม่น่าอภิรมย์นัก
ลูกศิษย์คนแรกของเหวินเซิ่งก็ดี ราชครูต้าหลีก็ช่าง ทั้งสองคนนี้ต่างก็เริ่มเดินจากช่วงวัยหนุ่ม เริ่มจากช่วงเวลาที่อายุยังน้อย
เมื่อมาถึงชั้นบนสุด ชุยฉานก็ทิ้งตัวนอนหงายหลัง วางแท่นฝนหมึกโบราณชิ้นนั้นไว้ด้านข้างอย่างไม่ใส่ใจ แล้วก็ไม่สนว่าฝุ่นผงสกปรกจะเปรอะเปื้อนไปทั่วชุดขาว
เขาหันหน้ากลับไปมองแท่นฝนหมึก “ในเมื่อเริ่มทำแล้วก็ไม่สู้ฮึดทำให้สำเร็จในรวดเดียว รวบเจียวและมังกรของแคว้นสู่โบราณที่หลงเหลืออยู่มาให้หมด แล้วเอามาเลี้ยงไว้ด้วยกันอยู่ข้างในนี้?”
ชุยฉานมองไปยังเพดานสี่เหลี่ยมสีสันงดงามของชั้นบนที่สลักเป็นรูปมังกรขนด
ไม่ค่อยเหมือนกับหอหนังสือของบ้านตัวเองในความทรงจำสักเท่าไหร่ เส้นแสงหม่นมัว แต่กลับไม่มีทัศนียภาพที่งดงามน่ามองเหมือนที่นี่
ชุยฉานหลับตาลง เขารู้สึกง่วงนอนเล็กน้อย
ยังจำได้ว่าตอนที่เขายังเป็นเด็ก มีพรสวรรค์ล้ำเลิศ เพียงแต่ว่านิสัยไม่มั่นคง จึงถูกท่านปู่ที่ตั้งความหวังกับเขาไว้มาก “ขัง” ไว้ในห้องขนาดเล็กที่อยู่ชั้นบนสุดของหอหนังสืออย่างโหดเหี้ยม จากนั้นก็ยกบันไดออกไป อาหารสามมื้อที่อยู่ในกล่องอาหารจะถูกส่งมาผ่านทางเชือก กินดื่มอึฉี่ล้วนต้องจัดการอยู่ในพื้นที่ที่ใหญ่เพียงแค่นั้น
แน่นอนว่ายังมีกระโถนอยู่ด้วย ซึ่งจะถูกนำมาเปลี่ยนใหม่ทุกวัน และเพื่อแสดงการต่อต้าน แสดงออกถึงความโกรธเคืองไม่พอใจของตัวเองจึงมักจะฉีกหน้าหนังสือมาทำเป็นกระดาษชำระ หรือไม่ก็พับกระดาษเป็นนกตัวเล็ก แล้วขว้างออกไปจากหน้าต่างเล็กๆ ปล่อยให้มันบินไปตามลม และทุกครั้งเขาก็จะต้องได้ยินเสียงท่านปู่ของเขากระแทกไม้เท้าด่ากราดอยู่ล่างหอเรือน
เวลานั้นเรื่องที่ชุยฉานทำบ่อยที่สุดก็คือเอาหนังสือทุกเล่มในหอหนังสือมากองทับซ้อนกัน แล้วขึ้นไปยืนบนกองหนังสือ ฟุบตัวอยู่ตรงหน้าต่าง ทอดสายตามองออกไปยังแม่น้ำนอกเมือง มองครั้งหนึ่งมักจะใช้เวลาหลายชั่วยาม
ปีนั้นชุยฉานไม่ได้ชื่อว่าชุยฉาน และชื่อว่าชุยฉานฉาน ฉานคำแรกหมายถึงเสียงน้ำ ส่วนฉานคำที่สองหมายถึงยอดเขาสูงตระหง่าน
เวลานั้นท่านปู่ที่ตั้งชื่อให้กับเขาย่อมหวังว่าเมื่อเติบใหญ่ขึ้น คุณธรรมและพฤติรรม ความรู้และตบะของหลานชายคนนี้จะมีครบถ้วนสมบูรณ์ดุจนามที่ไพเราะของตัวเขา ทั้งมีสติปัญญาและความเมตตา ภูเขาและแม่น้ำล้วนเป็นความงดงาม สามารถกลายเป็นเมล็ดพันธ์แห่งบัณฑิต เลื่อนขึ้นไปอยู่ในขอบเขตของนักปราชญ์วิญญูชน ทว่าเด็กชายกลับไม่ยอมรับน้ำใจ กว่าจะได้ลงมาชั้นล่างไม่ใช่เรื่องง่าย แต่เพียงไม่นานก็ต้องจากบ้านเกิดเดินทางไกล ออกจากแคว้นของตัวเอง ออกจากทวีปแห่งหนึ่ง สุดท้ายไปถึงทวีปแดนเทพแผ่นดินกลาง แค้นก็แต่ตัวเองยังเดินไปได้ไม่ไกลพอ ยิ่งเดินไปไกลจากตาเฒ่าหัวแข็งผู้นั้นได้มากเท่าไหร่ก็ยิ่งดี อีกทั้งเขายังจงใจตัดตัวอักษรฉานคำหลังทิ้งไป เหลือเพียงฉานคำแรกที่ตัวเองค่อนข้างชอบเท่านั้น และท่ามกลางการเวลาที่ยาวนานในภายหลัง เขาก็บอกกับคนนอกมาตลอดว่าตัวเองชื่อแค่ชุยฉานเท่านั้น
ต่อให้ย้อนกลับมายังแจกันสมบัติทวีป กลายมาเป็นราชครูของต้าหลีแล้ว แต่เขาก็ไม่เคยกลับไปยังบ้านเกิดแม้แต่ครั้งเดียว
เขาไม่อยากกลับไป
ชุยฉานลืมตาขึ้น ใช้ชายแขนเสื้อเช็ดใบหน้า “มองอะไร ไม่เคยเห็นพวกนายท่านใหญ่เสียใจมาก่อนเหรอ”
บนเพดานมีผู้เฒ่าสวมชุดลัทธิขงจื๊อผู้หนึ่งที่ดวงจิตล่องลอยออกไปนอกร่างเผยกาย ซึ่งก็คือเจียวเฒ่าตนนั้น ผู้เฒ่าจ้องมองไปยังแท่นฝนหมึกโบราณด้วยสีหน้ามืดทะมึน
ชุยฉานไม่ได้ลุกขึ้นยืน เพียงโบกชายแขนเสื้อพัดแท่นฝนหมึกไปให้กับผู้เฒ่า “ตบะสามร้อยปีของเจ้าถูกหักไปแล้ว เรื่องคราวก่อนก็ถือว่าหายกัน หลังจากนี้เจ้าไม่ต้องรีบร้อนเดินทางไปอำเภอหลงเฉวียนอีกแล้ว แต่จงช่วยข้าจับตัวพวกเจียวและมังกรที่เหลืออยู่มา ไม่ว่าจะเป็นลูกเด็กเล็กแดงหรือแก่ชราก็เอาจับมาขังไว้ในแท่นฝนหมึกนี้ให้หมด อาจารย์ของข้าเก็บหินดีงูชั้นเลิศไว้ในบ้านเกิดมากมาย ไม่ได้เอาออกมาด้วย แล้วก็โชคดีที่เขาไม่ได้เอาออกมา หาไม่แล้วด้วยนิสัยของเขา สวรรค์เท่านั้นที่รู้ว่าจะทำตัวเป็นเด็กล้างเด็กผลาญ ใช้เงินมือเติบจนสิ้นเนื้อประดาตัวหรือไม่ ตอนนี้กลับดีเลย อนาคตสามารถมีกินมีใช้ไม่เดือดร้อน”
ชุยฉานลุกขึ้นยืน สะบัดไหล่อย่างไม่อนาทรร้อนใจ
เจียวเฒ่าเก็บแท่นฝนหมึกไป เมื่อสัมผัสได้ถึงการเปลี่ยนแปลงของบรรยากาศรอบด้าน ความแค้นเคืองในใจของเขาก็สลายหายวับไปในบัดดล แปรเปลี่ยนมาเป็นความจนใจและนับถือ “ราชครูไม่เสียแรงที่เป็นราชครู”
ชุยฉานถอนหายใจ “จากไม่มีถึงสาม จากสามถึงห้า ไม่มีค่าให้ต้องตอกตกใจ ในแจกันสมบัติทวีปเล็กๆ แห่งนี้นับว่าหายาก แต่หากเปลี่ยนมาเป็นทวีปแดนเทพแผ่นดินกลาง เจ้าไม่ต้องอยู่ที่นั่นไม่ต้องใช้เวลาถึงหนึ่งพันปี เวลาสั้นๆ แค่หนึ่งร้อยปี เจ้าก็จะค้นพบว่าอัจฉริยะที่มีพรสวรรค์ล้ำเลิศจำนวนนับไม่ถ้วนต่างก็ลุกผงาดกันอย่างว่องไว แต่ก็ตกต่ำรวดเร็วปานกัน ถึงขั้นที่ทำให้เจ้าลายตาได้เลย ถึงท้ายที่สุดเจ้าก็จะค้นพบว่ามีเพียงพวกคนที่แก่แต่ไม่ตาย อีกทั้งยังแก่โดยที่ร่างไม่เสื่อมโทรมเท่านั้นถึงจะร้ายกาจอย่างแท้จริง
ผู้เฒ่าสวมชุดลัทธิขงจื๊อ บิดาของบรรพบุรุษผู้บุกเบิกขุนเขาของทำเนียบตะวันม่วงและเทพวารีแม่น้ำหันสือ อดีตซือหลางเฒ่าของแคว้นหวงถิงที่ลาออกจากตำแหน่งขุนนางแล้วไปซ่อนตัวอย่างสันโดษส่ายหน้ากล่าวยิ้มๆ “ที่นั่นไม่ใช่สถานที่ที่คนอย่างพวกเราจะอยู่อาศัยได้ หากถูกค้นพบเข้าก็มีความเป็นไปได้แปดเก้าส่วนว่าจะถูกราชวงศ์ใหญ่ทั้งหลายจับไปแร่เนื้อถลกหนังเสียมากกว่า”
ชุยฉานยังคงนั่งอยู่บนพื้น กล่าวด้วยสีหน้าทึ่มทื่อ “ทุกเรื่องราวย่อมมีการเปลี่ยนแปลง ในเมืองหลวงต้าหลีมีคนรู้สึกว่าให้เจ้าเป็นเจ้าขุนเขาของสำนักศึกษาแห่งใหม่บนเขาพีอวิ๋นคงไม่อาจสยบผู้คนได้ แม้ข้าจะคัดค้าน แต่ฝ่าบาททรงตัดสินพระทัยแล้ว จึงได้แต่ให้เจ้ารับตำแหน่งรองเจ้าขุนเขาแทน แถมยังไม่แน่เสมอไปด้วยว่าจะนั่งอยู่ในอันดับที่สองนี้ได้อย่างมั่นคง นี่เป็นการวางแผนผิดพลาดของข้าชุยฉาน ดังนั้นหากเจ้าคิดจะเปลี่ยนใจ ข้าก็ไม่มีความเห็น”
ผู้เฒ่ายิ้มอย่างเปิดเผย “รองเจ้าขุนเขาที่ตำแหน่งอยู่เบื้องหลัง? ข้าว่าดีออก ไม่ต้องเป็นนกที่ออกจากป่า”
ชุยฉานหันกลับมาขมวดคิ้ว “ตอนนี้มัวมาเกรงใจกับข้า วันหน้าเปลี่ยนใจใหม่ ข้าก็ไม่มีทางพูดง่ายแบบนี้อีกหรอกนะ”
ผู้เฒ่าส่ายหน้า “นี่ไม่ใช่คำพูดเพราะความเกรงใจ”
นิสัยประหลาดของชุยฉานกำเริบอีกครั้ง เขาทั้งไม่รู้สึกโล่งอก กลับกันยังพูดเสียดสีอีกฝ่าย “มิน่าเล่าเจ้าถึงมีชีวิตอยู่มาได้นานขนาดนี้”
ผู้เฒ่าไม่ถือสา เพียงพูดปลงอนิจจัง “ตอนนี้หวังเพียงว่าจะมีชีวิตอยู่ได้นานอีกหน่อย”
ชุยฉานลุกขึ้นยืน ไม่ต้องทำอะไร ฝุ่นผงทั้งหมดก็หลุดร่วงออกจากชุดสีขาวแล้วล่องลอยไปไกลด้วยตัวเอง “หลังจากนี้รบกวนเจ้าพาข้าไปส่งที่ต้าสุยสักหน่อย แล้วเจ้าค่อยย้อนกลับมาที่นี่ จัดการเรื่องของจวนจือหลันให้เด็ดขาด สามารถถือโอกาสปลุกระดมเทพแม่น้ำที่อยู่นอกเมืองผู้นั้นไปได้พร้อมกัน”
ผู้เฒ่าสีหน้าเหยเก
ชุยฉานเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าผู้เฒ่า กล่าวกลั้วหัวเราะ “ทำไม ไม่ชินกับความรู้สึกที่โดนคนขึ้นมาขี่บนคอหรือ? มีอะไรให้รู้สึกไม่ดีกัน ในยุคบรรพกาล เทพขี่มังกรก็ไมต่างจากคนมีเงินที่ขี่ม้าขี่ลา เป็นเรื่องปกติจะตายไป”
ผู้เฒ่าสวมชุดลัทธิขงจื๊อยิ้มจืดเจื่อน กล่าวเหมือนคนยอมรับชะตากรรม “ถ้าอย่างนั้นข้าไปรอท่านอยู่นอกหอเรือน?”
ชุยฉานพยักหน้าให้ ร่างของผู้เฒ่าจึงพุ่งวูบออกไป
เหนืออากาศของกำแพงเมืองเขตการปกครองแห่งนี้พลันมีลมพัดกระโชกพาชั้นเมฆมารวมตัวกัน แล้วลดตัวลงต่ำจนแทบจะแตะหลังคาของหอหนังสือแห่งนั้น
เทพแม่น้ำที่อยู่นอกเมืองผู้นั้นกลายร่างเป็นคนยืนอยู่ริมตลิ่ง เงยหน้ามองไปด้วยสีหน้าเต็มไปด้วยความเคารพยำเกรง
องค์เทพทั้งสามจากศาลเทพอภิบาลเมืองศาลเจ้าบุ๋นและบู๋ต่างก็เป็นเช่นเดียวกัน
ชุยฉานแตะปลายเท้าลอยตัวออกไปนอกหน้าต่าง ลอดผ่านทะเลเมฆ พลิ้วกายลงบนศีรษะของเจียวเฒ่าตัวหนึ่งแล้วนั่งลงขัดสมาธิ หางของเจียวเฒ่าส่ายสะบัดหนึ่งครั้งร่างทั้งร่างก็พุ่งทะยานไปตามลม
เด็กหนุ่มชุดขาวที่มีไฝแดงกลางหว่างคิ้วประหนึ่งทวยเทพที่ขี่มังกรสวรรค์ในตำนาน
ชุยฉานยิ้มอย่างเข้าใจดี ครั้นจึงหลับตาลง สองมือทำมุทราฝึกท่ายืนนิ่งเจี้ยนหลูด้วยความเบื่อหน่ายเหลือประมาณ
ใกล้ชาดเปื้อนแดง
……
ตรงประตูเมือง เฉินผิงอันหันหน้ากลับไปมอง เห็นทะเลเมฆบนท้องฟ้ากลิ้งตลบปั่นป่วน
ข้างกายซ้ายขวามีเด็กสองคนลักษณะคล้ายเด็กรับใช้ยืนเคียง
พอเดินออกมานอกเมืองได้ เด็กชายชุดเขียวผู้นั้นก็รู้สึกเหมือนตัวเองคือพยัคฆ์ร้ายที่กลับคืนสู่ภูเขา ดั่งมังกรที่ว่ายลงมหาสมุทร จึงกล่าวอย่างโอหังว่า “นายท่านผู้เฒ่า ไอ้หมอนั่นอำมหิตยิ่งนัก”
เด็กหญิงชุดกระโปรงสีชมพูปรายตามองศัตรูคู่แค้นปากไร้หูรูดแล้วเม้มปากตัวเองแน่น ให้ตายอย่างไรก็ไม่ยอมพูดจา
เฉินผิงอันยื่นฝ่ามือข้างหนึ่งออกมาวางลงบนศีรษะของเด็กชายชุดเขียวเบาๆ “เขาคือลูกศิษย์ของข้า”
เด็กชายชุดเขียวตกใจรีบเผ่นหนีออกห่าง
เฉินผิงอันเดินหน้าต่อไป
นี่จะถือว่าใกล้หมึกเปื้อนดำหรือเปล่า?
—–