ตลอดทางที่เดินมาคึกคักอย่างมาก คึกคักจนถึงขั้นที่เฉินผิงอันผู้มีความอดทนเป็นเลิศยังรู้สึกรำคาญหู
ทั้งหมดนี้ล้วนต้องยกคุณความชอบให้กับเด็กชายชุดเขียวที่พูดจ้อไม่หยุดปากเสียยิ่งกว่าชุยฉาน
นับตั้งแต่ต้นฤดูหนาว หนึ่งเด็กหนุ่มสองเด็กเล็กได้ผูกสมัครเป็นเพื่อนร่วมทางกันมาสิบห้าวันแล้ว คนทั้งสามก้าวเดินอย่างเชื่องช้าอยู่ข้างทางหลวงที่เปล่าเปลี่ยวอ้างว้าง เด็กชายชุดเขียวเริ่มตามมาตอแยเฉินผิงอันอีกครั้ง “เมื่อไปถึงอำเภอหลงเฉวียนของนายท่านผู้เฒ่า อย่าให้ข้าเป็นคนรับใช้ที่ต้องทำงานกวาดพื้นปูเตียงอะไรพวกนั้นได้ไหม? มันค่อนข้างจะน่าอายน่ะ หากไม่ทันระวังแล้วเรื่องนี้แพร่สะพัดมาที่เมือง พวกเขาคงหัวเราะเยาะข้าไปอีกหลายร้อยปี แล้วข้าจะยังเป็นพี่ใหญ่ของภูตผีปีศาจพวกนั้นอีกได้อย่างไร? นายท่านผู้เฒ่าท่านไม่รู้อะไร ตอนข้าอยู่ที่นี่ เรียกลมก็ได้ลม เรียกฝนก็ได้ฝน หากพูดถึงชื่อข้า ไม่ว่าใครก็ต้องยกนิ้วโป้งชื่นชมกันทั้งนั้น!”
เฉินผิงอันแสร้งทำเป็นไม่ได้ยิน เพราะเขารู้ว่าหากรับคำ นั่นก็คือหายนะครั้งหนึ่ง
เด็กชายชุดเขียวยังคงพูดกับตัวเองต่อไปว่า “หากนายท่านผู้เฒ่าไม่เชื่อจะถามนังเด็กโง่ผู้นั้นดูก็ได้ ต่อให้เป็นชนชั้นสูงหรือขุนนางที่อยู่ในเมืองก็ล้วนยกข้าขึ้นหิ้งบูชาดุจองค์เทพ ก็มีแต่ท่านอ๋องที่อยู่ในจวนโอ่อ่าของเมืองผู้นั้นที่วางท่าโอหังไปสักหน่อย กับข้าก็แค่เรียกได้ว่ามีความเกรงใจ ไม่ถือว่ากระตือรือร้นสักเท่าใด แต่กลับมีความสัมพันธ์ที่ไม่เลวกับสหายของข้า มักจะสรวลเสเฮฮาอยู่ด้วยกันเป็นประจำ นายท่านผู้เฒ่าเองก็จริงๆ เลย เหตุใดไม่ถือโอกาสไปนั่งพักที่บ้านของข้าสักหน่อย? ถึงขั้นไม่อนุญาตให้ข้าส่งข่าวสักคำ เดี๋ยวจะหาว่าข้าโม้ ไม่อย่างนั้นข้าคงจัดพิธีต้อนรับท่านอย่างยิ่งใหญ่ด้วยการตีกลองป่าวประกาศไปยันชั้นฟ้า ซัดผืนน้ำให้เดือดพล่านไปแล้ว!”
เมื่อได้คุยเล่นกับเด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูเป็นการส่วนตัว เฉินผิงอันก็พอจะเข้าใจนิสัยของงูน้ำแห่งแม่น้ำตัวนี้บ้างแล้ว
อีกฝ่ายเป็นคนหุนหันพลันแล่น มักจะถูกเทพแม่น้ำลากออกมาเป็นหนังหน้าไฟ หายนะมากมายที่สร้างความครึกโครมไปทั่วราชสำนักแคว้นหวงถิง ทั้งๆ ที่ไม่เกี่ยวข้องกับเขาเลย แต่พอเทพแม่น้ำใช้คำพูดยั่วยุมากระตุ้นไม่กี่คำ เขาก็กลายเป็นคนที่แบกรับเรื่องทั้งหมดไว้อย่างโง่งม แถมยังรู้สึกว่าตัวคือวีรบุรุษผู้องอาจ เคยมีครั้งหนึ่งเขาถูกผู้อาวุโสไท่ซ่างของพรรคทำนองศักดิ์สิทธิ์ไล่ฆ่า หนีไปไกลถึงสองพันกว่าลี้ ตอนนั้นแม่นางน้อยขี้อายเล่ามาถึงตรงนี้ก็ถึงกับยอมเอ่ยความในใจอย่างที่หาได้ยาก บอกว่าหากอีกฝ่ายไม่ต้องกลับมาอีกก็คงดี”
เฉินผิงอันเห็นว่าเขาทำท่าจะโม้เรื่องคุณความชอบอันยิ่งใหญ่ในอดีตอีกครั้งก็สอดปากขึ้นอย่างอดไม่ไหวจริงๆ “เจ้าไม่รู้จริงๆ หรือว่าเทพแม่น้ำผู้นั้นเห็นเจ้าเป็นโล่กันธนู? หรือว่ารู้แล้วแต่ไม่สนใจ?”
เด็กหญิงชุดกระโปรงสีชมพูแอบพยักหน้าตามเพราะเห็นด้วยอย่างมาก
เด็กชายชุดเขียวไม่กล้าพูดอะไรกับเฉินผิงอัน แต่หางตากลับเหลือบไปเห็นท่าทางนั้นของงูเหลือมน้อยจึงแค่นเสียงเย็นชา “เจ้าเป็นแค่ผู้หญิงจะไปเข้าใจคุณธรรมน้ำมิตรของพี่น้องได้อย่างไร?”
กล่าวมาถึงตรงนี้เขาก็อ้าปากกว้างเผยให้เห็นฟันสีขาวสะอาด แสยะปากกางเล็บใส่เด็กหญิง “หากยังพูดจาส่งเดช ทำลายภาพลักษณ์ของข้าต่อหน้านายท่านผู้เฒ่าอีก ข้าจะหาโอกาสกินเจ้าซะ! เอาให้เจ้ากลัวจนอึราดเลย…”
สายตาของเด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูฉายแววแค้นเคือง ในใจคิดว่าข้ายังไม่ได้พูดอะไรสักหน่อย เจ้ามันก็ดีแต่เลือกบีบลูกพลับนิ่ม! (เปรียบเปรยว่ารังแกคนที่อ่อนแอกว่า)
เฉินผิงอันกระดกตะกร้าให้เข้าที่ แม้ว่าชุยฉานจะย้อนกลับไปยังสำนักศึกษาของเมืองหลวงต้าสุยแล้ว แต่เขาก็ยังไม่ค่อยวางใจ เพียงแต่เฉินผิงอันเองก็รู้ดีว่านอกจากเป็นกังวลแล้ว ตนก็ทำอะไรไม่ได้อีก
เฉินผิงอันยกมือสองข้างขึ้นเป่าลมร้อนๆ ใส่ เงยหน้ามองสีท้องฟ้า
ฤดูหนาวแล้ว
แค่ไม่รู้ว่าปีนี้หิมะจะตกตอนไหน เขาจะพยายามกลับไปให้ถึงเมืองเล็กก่อนวันปีใหม่ หากไม่ทันจริงๆ ก็จะหยุดพักการฝึกเดินนิ่งไว้ก่อน หันไปฝึกยืนนิ่งเจี้ยนหลูให้มากแทนก็แล้วกัน หรือไม่ก็สามารถให้เด็กชายชุดดำคืนร่างจริงเป็นงูน้ำ พยายามเลือกเส้นทางที่เป็นป่ารกร้างไร้ผู้คน
แท่นสังหารมังกรก้อนเล็กที่ไม่รู้ว่าอาจารย์ฉีไปตัดแบ่งมาจากที่ไหนก้อนนั้น เฉินผิงอันทิ้งไว้ให้หลี่เป่าผิง ‘ภาพค้นภูเขา’ ที่นักพรตเต๋าตาบอดมอบให้ก็ยกให้กับหลินโส่วอี
แต่อันที่จริงแล้วทรัพย์สมบัติของเฉินผิงอันก็ยังเหลืออยู่อีกไม่น้อย เพียงแต่ว่าไม่กินที่ก็เท่านั้น ตอนนี้ไม่จำเป็นต้องดูแลเด็กๆ ที่ไปขอศึกษาต่อ ในตะกร้าไม้ไผ่สะพายหลังจึงว่างเปล่าอย่างเห็นได้ชัด แต่นี่กลับทำให้เฉินผิงอันรู้สึกไม่ชินสักเท่าไหร่
ตอนนั้นที่อยู่บนภูเขาฉีตุน อาเหลียงปล้นสะดมเว่ยป้อเทพเจ้าที่มารอบหนึ่ง สุดท้ายเฉินผิงอันได้รับเมล็ดบัวสีทองที่เหี่ยวแฟบเมล็ดหนึ่ง เป็นของที่ทุกคนเหลือเอาไว้ จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่รู้ว่ามีประโยชน์อะไร
ด้านในกระบี่ไม้ไหวมีคนควันธูปตัวจิ๋วคนหนึ่งอาศัยอยู่ หลังจากเผยกายในเมืองแห่งนั้นก็หลบหน้าหลบตาไปอีกครั้ง
ทำหีบหนังสือไม้ไผ่เขียวให้คนทั้งสามก็ยังเหลือแผ่นไม้ไผ่กระจัดกระจายอีกส่วนหนึ่ง เวลาอยู่ว่างๆ เฉินผิงอันก็จะเอามาฝึกแกะสลักตัวอักษร บันทึกข้อความมีชื่อเสียงที่ตัวเองรู้สึกว่ามีความรู้ที่ลึกซึ้งลงไป
มีหนังสืออยู่หลายเล่มที่ตอนนั้นอาจารย์ผู้เฒ่าเหวินเซิ่งเป็นผู้เลือกไว้ด้วยตัวเอง
ปิ่นหยกขาวชิ้นหนึ่งที่แกะสลักตัวอักษรด้วยตัวเอง เฉินผิงอันเคยปักบนมวยผมตอนอยู่ในเมืองหลวงต้าสุย แต่ตอนนี้เขาถอดไปเก็บรักษาไว้อย่างระมัดระวังแล้ว หลังจากที่ออกมาจากเมืองหลวงด้วยกัน ชุยฉานก็เคยบอกว่าอันที่จริงแล้วของที่มีมูลค่าอย่างแท้จริงก็คือกล่องไม้ใบนั้น แต่ตอนนั้นเฉินผิงอันได้ยกมันให้กับพวกหลี่เป่าผิงไปพร้อมกับปิ่นหยกสามชิ้นแล้ว แน่นอนว่าเฉินผิงอันไม่รู้สึกเสียดายเลยแม้แต่น้อย
ตราประทับภูเขาและแม่น้ำคู่หนึ่ง และยังมีตราประทับ “สงบใจสมปรารถนา” ที่มีความหมายยิ่งใหญ่นั่นอีกชิ้น
รวมไปถึงกระดาษเทียบยาสองสามแผ่นที่นักพรตหนุ่มแซ่ลู่เขียนไว้ให้เพื่อให้เขาได้ใช้ฝึกอ่านตัวอักษร ทุกวันนี้เฉินผิงอันก็ยังเอามาพลิกอ่านดูอยู่เป็นระยะ
ส่วนตัวอ่อนกระบี่น้อยที่ลักษณะเหมือนก้อนเงินซึ่งว่ากันว่ามีความเกี่ยวข้องกับภูเขาสุ้ยซานของทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางนั้นสว่างไสวมากเป็นพิเศษ ยามค่ำคืนจึงให้แสงสว่างแจ่มชัด
แต่ว่าตะกร้าไม้ไผ่ในเวลาเวลานี้ยังมีของบางอย่างที่เฉินผิงอันคิดไม่ถึง
นอกจากจดหมายฉบับหนึ่งที่ไม่รู้ว่าชุยฉานใส่ไว้ในตะกร้าไม้ไผ่ตอนนไหนแล้ว ยังมีกลอนปีใหม่อีกสองแผ่น และตัวอักษรคำว่าฝูอีกหนึ่งคำ ในจดหมายชุยฉานบอกว่านี่คือน้ำใจเล็กๆ น้อยๆ จากศิษย์ หวังว่าอาจารย์จะรับไว้ด้วยความเต็มใจ วางใจเถอะ ตัวอักษรก็คือตัวอักษร ไม่มีแผนการใดๆ ทั้งนั้น
ด้วยเหตุนี้จึงเห็นได้ว่าชุยฉานไม่เพียงแต่คิดได้นานแล้วว่าตัวเองต้องย้อนกลับไปยังเมืองหลวงต้าสุย แม้แต่การตัดสินใจของเขาเฉินผิงอัน ศิษย์อย่างเขาก็ยังคาดการณ์ได้อย่างแม่นยำ
สำหรับเรื่องนี้เฉินผิงอันค่อนข้างจะหวาดผวาเล็กน้อย แต่ก็ไม่อาจพูดอะไรได้เช่นกัน
นอกจากนี้ในตะกร้าไม้ไผ่ยังมีสมุดคัดตัวอักษรอีกสองฉบับ ‘สมุดภูเขาเขียวแม่น้ำใส’ เนื้อหาด้านในเขียนได้เป็นระบบระเบียบ ค่อนข้างจะจริงจัง ยังมีสมุดคัดตัวอักษรอีกหนึ่งฉบับที่ค่อนข้างสอดคล้องกับนิสัยเหลวไหลของชุยฉาน มีชื่อว่า ‘สมุดอาจารย์โปรดใส่เกลือและน้ำมันให้มากสักหน่อย’ ซึ่งเนื้อหาทั้งหมดล้วนพร่ำบ่นถึงความขี้เหนียวของเฉินผิงอัน
ตัวอักษรเขียนได้…เฉินผิงอันอธิบายด้วยคำพูดสวยหรูไม่ถูก รู้แต่ว่าเขียนได้ดีมาก สบายตาสบายใจ แค่มองสมุดคัดตัวอักษรเหล่านี้ก็เหมือนยืนอยู่ในตรอกเมฆคล้อยน้ำไหลแห่งนั้นแล้ว
เด็กชายชุดเขียวพูดจ้อเป็นน้ำไหลไฟดับไปตลอดทาง ไม่รู้จักเหน็ดจักเหนื่อย
เด็กหญิงชุดกระโปรงเดินตามอยู่ด้านหลังเฉินผิงอันอย่างว่าง่าย ยังคงแบกหีบหนังสือใบนั้นของชุยฉาน ไม่ว่าเฉินผิงอันจะเกลี้ยกล่อมอย่างไร ให้ตายเด็กหญิงก็ไม่กล้าเอาของใดๆ มาใส่ไว้ในตะกร้าสะพายหลังของเขา
เฉินผิงอันย้อนนึกดูก็จำได้ว่านางคืองูเหลือมไฟที่ไม่รู้ว่ามีชีวิตอยู่มากี่ร้อยปีแล้ว ไม่ใช่หลี่เป่าผิง ไม่มีทางเหน็ดเหนื่อย
พอคิดถึงเรื่องนี้เด็กหนุ่มก็ปรารถนาให้ตัวเองหันตัวเดินกลับไปก้าวเดียวก็ไปโผล่อยู่นอกสถานศึกษาซานหยาแห่งใหม่ เขาจะยืนอยู่ตรงมุมกำแพงมองพวกหลี่เป่าผิงฟังอาจารย์สอนหนังสืออย่างมีความสุข ไม่ถูกใครรังแก มีชีวิตอยู่อย่างดี ทำให้เฉินผิงอันรู้ว่าต่อให้เขาไม่อยู่ข้างกาย พวกเขาก็มีชีวิตที่ดีได้ แถมยังเป็นชีวิตที่ดียิ่งกว่าเดิม
เฉินผิงอันสูดลมหายใจเข้าลึกหนึ่งครั้งแล้วเริ่มฝึกเดินนิ่งไปเงียบๆ
……
ตอนนี้สำนักศึกษาซานหยาแห่งใหม่ได้กลายมาเป็นข้อหัวสนทนาที่สำคัญหลังมื้ออาหารในเมืองหลวงต้าสุย ชนชั้นสูงแทบทั้งหมดต่างก็กำลังวิพากษ์วิจารณ์เรื่องนี้ นั่งชมไฟชายฝั่งช่างเป็นเรื่องที่สนุกสนานอย่างถึงที่สุด แน่นอนว่าตระกูลทั้งหลายที่ตกอยู่ท่ามกลางคลื่นมรสุมครั้งนี้ย่อมไม่รู้สึกว่าน่าสนใจ ยกตัวอย่างเช่นตระกูลฉู่หนานซี จวนหันของนายพลเอกแห่งเมืองหลวง และยังมีจวนฮวายหย่วนโหว อารมณ์ของพวกผู้เฒ่าในตระกูลเหล่านี้ไม่ใคร่จะดีนัก ทุกครั้งที่เข้าประชุมเช้า สีหน้าแต่ละคนราวกับมีพยับเมฆมาออรวมกัน
ต้าสุยให้ความสำคัญกับบุ๋นไม่เลื่อมใสบู๊ และชาวบู๊ตลอดบนจรดล่างในราชสำนักก็ล้วนใช้ชีวิตไม่สง่างาม กินอยู่ไม่หรูหราดั่งชาวบุ๋น
ขุนนางทัดทานสูงศักดิ์อีกทั้งยังมีอำนาจมาก ช่วงนี้ราชสำนักค่อนข้างจะครึกครื้นอย่างมาก เหล่าขุนนางฝ่ายตรวจการและฝ่ายหกกรมต่างก็พากันแสดงความคิดเห็นเรื่องการทะเลาะวิวาทในสำนักศึกษา ต่างคนต่างมีฝักฝ่ายเป็นของตัวเอง ถ้อยคำที่ใช้ไม่มีเกรงใจกันแม้แต่น้อย มีทั้งทวงความเป็นธรรมให้แก่นายพลเอกหันเหล่า ฮวายหย่วนโหวและใครอีกหลายคน บอกว่าเด็กนักเรียนจากต่างแดนพวกนั้นลงมือโหดเหี้ยม ไม่มีความสง่างามของบัณฑิตแม้แต่น้อย แล้วก็มีทั้งคนที่โจมตีพวกขุนนางเหล่านี้ว่าวิธีจัดการไม่ได้เรื่อง เด็กที่เดินทางมาไกลจากหลงเฉวียนต้าหลีไม่ได้ทำผิด จะปล่อยให้คนอื่นรังแกโดยไม่ต่อสู้เลยก็คงไม่ใช่กระมัง จากนั้นฝ่ายแรกก็ตอบโต้กลับมาอีกว่า นี่จะเรียกว่ารังแกได้อย่างไร การปะทะฝีปากระหว่างบัณฑิตด้วยกันเป็นเรื่องปกติจะตายไป จะกลายเป็นเรื่องใหญ่โตจนใช้คำว่ารังแกได้อย่างไร? แถมยังยกถ้อยความในคัมภีร์มาอ้างอิงเป็นหลักฐาน พูดจาฉาดฉาน ยกเอาบทอภิปรายที่มีชื่อเสียงในประวัติศาสตร์มาเป็นตัวอย่าง จึงเลี่ยงไม่ได้ที่จะยกวลียอดนิยมบางประโยคของแคว้นหนันเจี้ยนที่เลื่อมใสมาเอ่ยอ้างด้วย ฝ่ายหลังยังคงไม่ยอมแพ้ ต่างฝ่ายต่างโต้เถียงคัดค้านกันไปมา
มรสุมที่ดึงดูดความสนใจจากผู้คนนับไม่ถ้วนในเมืองหลวงครั้งนี้เริ่มต้นจากการทะเลาะกันของเด็กสี่คนในหอพักแห่งหนึ่ง ภายหลังแม่นางน้อยจากต่างถิ่นที่ชื่อหลี่เป่าผิงถืออาวุธไปทำร้ายคน เด็กคนหนึ่งที่โดนตีคือลูกชายหัวแก้วหัวแหวนของฮวายหย่วนโหวพอดี และฮวายหย่วนโหวก็เป็นดองกับตระกูลฉู่หนันซี หลานชายคนโตของตระกูลฉู่คือบุคคลผู้มีความสามารถโดดเด่นของสำนักศึกษาในรุ่นนี้ อายุสิบหกปี ถูกผู้คนเรียกขานด้วยชื่อเสียงงดงามว่าเป็นเด็กเทพ คือวิญญูชนที่ต้าสุยยอมรับอย่างเป็นทางการ
พอได้ยินเรื่องนี้ หลานชายคนโตตระกูลฉู่ที่เมื่อเติบโตมาก็กลายเป็นความหวังของผู้คนก็ไม่ได้แสดงตัวในทันที แต่เป็นสหายร่วมเรียนของเขาสองคน หลานชายคนโลกของนายพลเอกหันเหล่า และเด็กหนุ่มคนหนึ่งที่มาจากตระกูลชนชั้นสูงของท้องถิ่นต้าสุยผู้หนึ่งที่พากันไปหาเรื่องแม่นางน้อย แน่นอนว่าไม่ได้ลงไม้ลงมือ แต่กล่าววาจาหยาบคายทำร้ายจิตใจนั้นกลับเป็นเรื่องจริง บังเอิญหลินโส่วอีที่มาจากบ้านเกิดเดียวกันกับแม่นางน้อยมาเห็นเข้าพอดี ไปๆ มาๆ สองฝ่ายก็ถลกแขนเสื้อต่อยตีกันไปครั้งหนึ่ง
คนทั้งสองมีหรือจะเป็นคู่ต่อสู้ของศิษย์ผู้เป็นความภาคภูมิใจของต่งจิ้งปราชญ์ผู้มากความรู้ได้ ถูกเล่นงานจนอึราดฉี่ราด อเนจอถนาถเกินจะเปรียบ คราวนี้หลานชายคนโตของตระกูลฉู่ที่ถูกมองเป็น ‘หยกงามแห่งการฝึกตน’ เช่นเดียวกันจึงไม่อาจนิ่งดูดายอีกต่อไป เขาไปหาหลินโส่วอี การต่อสู้ครั้งนี้ตระการตาอย่างยิ่ง คนหนึ่งใช้พิณเมฆาอสนีอาวุธอาคมที่สืบทอดมาจากบรรพบุรุษ ใช้วิชาของผู้ฝึกลมปราณใหญ่เรียกรวมสายฟ้า ใช้เวทลับหล่อหลอมสายพิณ ทุกครั้งที่พิณถูกดีด เสียงฟ้าร้องจะดังครืนครั่น พลังอำนาจไม่ธรรมดา ส่วนหลินโส่วอีเด็กหนุ่มจากต่างถิ่นที่มีชื่อเสียงโด่งดังอยู่ในเมืองหลวงต้าสุยแล้วก็แสดงออกได้อย่างไม่ธรรมดา ร่ายใช้เวทห้าอสนีที่ยิ่งใหญ่เกรียงไกรได้ด้วยมือเดียว มีตบะขอบเขตสามเช่นเดียวกัน ต่อให้เผชิญหน้ากับอัจฉริยะของสกุลฉู่ที่ได้ครอบครองอาวุธอาคมชั้นดี แม้จะเป็นรองอย่างเห็นได้ชัด แต่กลับยังคงต่อสู้ได้อย่างเป็นขั้นเป็นตอน สร้างความตื่นตะลึงให้แก่ผู้คน
ว่ากันว่าการประลองเวทแห่งการช่วงชิงปณิธานในครั้งนี้ถึงขั้นสร้างความตกอกตกใจให้กับต่งจิ้งปราชญ์ผู้มากความรู้และเหล่าอาจารย์กลุ่มหนึ่งจนต้องรีบตามไปมองดูอยู่ไกลๆ ทั้งเพื่อร่วมชมความครึกครื้น แล้วก็เพื่อป้องกันเหตุการณ์ไม่คาดฝันในคราวเดียวกัน
ผลลัพธ์สุดท้ายเป็นหลานชายตระกูลฉู่ที่ยอมดีดสายพิณสายฟ้าให้ขาดเส้นหนึ่งอย่างไม่เสียดาย หลินโส่วจึงได้รับบาดแผลเล็กๆ น้อยๆ เต็มร่าง ไม่ร้ายแรงนัก แต่ผิวเนื้อกลับปริแตก ได้รับความลำบากมากพอสมควร
—–