หลี่ฉางอิงมองไปยังเด็กหนุ่มร่างสูงใหญ่ที่เดินเข้ามาหาตน แม้ว่าในใจจะเต็มไปด้วยความระแวดระวัง ทว่าในร่างกลับมีปราณแห่งความยิ่งใหญ่เที่ยงธรรมบังเกิดขึ้นมา เอ่อล้นจนชายแขนเสื้อสองข้างกระเพื่อมไหวเบาๆ นักปราชญ์ลัทธิขงจีอที่อายุน้อยที่สุดของต้าสุยผู้นี้ยังคงกล่าวด้วยรอยยิ้มอ่อนโยนมีไมตรี “ข้ารู้ว่าเจ้าเป็นคนบ้านเดียวกับพวกหลี่ไหวที่เดินทางไกลมาศึกษาต่อ หากเจ้าอยากทวงความยุติธรรมให้กับพวกเขาก็ย่อมได้ แต่ช่วยอธิบายเหตุผลให้จบก่อนค่อยลงมือได้หรือไม่? หากเจ้าพูดโน้มน้าวข้าได้ ข้าก็จะไม่ตอบโต้ ต่อให้เจ้าต่อยข้าได้สองหมัด ข้าก็ยินดีรับมัน”
แต่อวี๋ลู่กลับยังไม่หยุดชะงักเท้า รอยยิ้มบนใบหน้าก็ไม่แปรเปลี่ยน แต่กลับเอ่ยถ้อยคำบางอย่างที่ทำให้หลี่ฉางอิงรู้สึกประหลาดใจ “การเฝ้ายามยามค่ำคืนเมื่อครั้งแบกหีบหนังทัศนาจรไกลมักมีข้าเป็นคนรับผิดชอบครึ่งคืนหลัง ดังนั้นเรื่องพูดเหตุผลคงต้องวางไว้ก่อน วันหน้าหากเจ้ามีโอกาสได้เจอกับอาจารย์อาน้อยของหลี่เป่าผิงก็ถามเขาเอาเอง คืนนี้ข้าไม่พูดเรื่องพวกนี้”
อยู่ห่างกันแค่ห้าก้าว
อวี๋ลู่ก้าวมาข้างหน้าหนึ่งก้าว ก้าวนี้ค่อนข้างจะกว้าง ขณะเดียวกันเขาก็เอ่ยยิ้มๆ ไปด้วยว่า “เริ่มแล้วนะ ระวังหน่อย อย่าปล่อยให้ข้าต่อยด้วยหมัดเดียวง่ายๆ จนเกือบตาย ถึงเวลานั้นจะกลายเป็นว่าข้าติดหนี้มากเกินไป คิดจะติดเงินใครโดยไม่จ่ายคืน ต้องเป็นเพื่อนสนิทของเขาถึงจะได้ ข้ายังไม่มีคุณสมบัตินั้น”
ถ้อยคำโอหังเพิ่งจะขาดคำ เมื่อฝีเท้าหนักๆ ก้าวที่สองของอวี๋ลู่เหยียบลงพื้น หลี่ฉางอิงก็สัมผัสได้ถึงเสียงทึบหนักที่ส่งมาจากใต้ดิน เนื่องจากพละกำลังทั้งหมดแทรกซอนลงไปใต้ดิน ไม่ได้แผ่กระจายไปบนพื้นผิวหน้าดิน ดังนั้นพลังอำนาจจึงไม่น่าตื่นตะลึงสักเท่าใดนัก แต่ยิ่งเป็นเช่นนี้ หลี่ฉางอิงก็ยิ่งพรั่นผวา เพียงแค่ก้าวนี้ก็มองออกแล้วว่าเด็กหนุ่มร่างสูงใหญ่ตรงหน้าผู้นี้ย่อมต้องเป็นผู้ฝึกยุทธ์เต็มตัวซึ่งอย่างน้อยขอบเขตต่ำสุดก็คือขอบเขตสี่ ไม่อาจดูแคลนได้เลย
แม้ว่าความคิดจะแล่นอย่างรวดเร็ว แต่กระนั้นก็ไม่ถ่วงรั้งลมปราณในร่างของหลี่ฉางอิงที่ทะลักทลายดุจน้ำที่ทำนบพัง การหล่อเลี้ยงลมปราณและการหล่อหลอมลมปราณของผู้ฝึกลมปราณผสานรวมเป็นหนึ่ง เมื่อเกิดมามีข้อได้เปรียบด้วยวิชาหมัดในของวิถีวรยุทธ์ ควบคุมกับการฝึกหล่อเลี้ยงลมปราณ จึงเป็นเหตุให้มีอายุขัยยืนยาวกว่าคนฝึกยุทธ์ทั่วไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลี่ฉางอิงยังได้รับโชควาสนาครั้งใหญ่มาตั้งแต่เด็ก พอประกายรัศมีของเขาส่องเจิดจ้าจึงได้รับความโปรดปรานจากปรมาจารย์ผู้ฝึกลมปราณท่านหนึ่งของต้าสุยอย่างรวดเร็ว เขาถ่ายทอดเวทลับแห่งความเป็นอมตะให้แก่หลี่ฉางอิง ขอบเขตของหลี่ฉางอิงจึงทะยานไกลพันลี้ภายในวันเดียว ตอนนี้ยังไม่ทันอายุยี่สิบก็มีตบะที่โดดเด่นอย่างขอบเขตหกขอบเขตถ้ำสถิตย์แล้ว หากจะบอกว่าหลินโส่วอีในสำนักศึกษาซานหยาเป็นเพียงหยกชั้นดีที่ยังไม่ผ่านการทดสอบ ยังจำเป็นต้องเจียระไน ถ้าเช่นนั้นหลี่ฉางอิงก็คือหยกงามก้อนหนึ่งที่สำเร็จรูป นอกและในใสกระจ่างแวววาวแล้ว
ความต่างระหว่างขอบเขตที่ห้าและหก เก้าและสิบของผู้ฝึกลมปราณ ความต่างระหว่างขอบเขตที่สามและสี่ หกและเจ็ดของผู้ฝึกยุทธ์ล้วนเป็นดั่งร่องลึกกว้างใหญ่มหาศาล
เมื่อเห็นว่าอวี๋ลู่บุกมาสังหารถึงตรงหน้า หลี่ฉางอิงก็แอบทำมือเตรียมพร้อมไว้ก่อน จากนั้นถึงก้าวถอยหลังไปหลายก้าวอย่างสง่างาม สองนิ้วประกบกันตั้งวางตรงหน้าอก ประหนึ่งผู้ฝึกกระบี่ที่ถือกระบี่ในท่าเตรียมพร้อม เป็นเพียงแค่ท่ามือง่ายๆ แต่พอเป็นหลี่ฉางอิงทำมันกลับทำให้เขามีมาดของปรมาจารย์อยู่หลายส่วน ให้ความรู้สึกเปิดเผยตรงไปตรงมาแก่คนมอง
ไม่เพียงเท่านี้ กลิ่นอายหอมเย็นอ่อนจางในหอหนังสือยังถูกกระตุ้นให้มีชีวิตในฉับพลัน ประหนึ่งปลาได้น้ำซึ่งพากันพุ่งเข้าหาหลี่ฉางอิงอย่างบ้าคลั่ง
ขอบเขตถ้ำสถิตที่หกเป็นทั้งการเปิดประตูถ้ำ ประตูจวน แล้วก็เป็นทั้งการเปิดช่องโพรงรับลมปราณ เริ่มดูดซับปราณวิญญาณมาจากฟ้าดิน ช่องโพรงสามร้อยหกสิบห้าโพรงในร่างมนุษย์ก็เหมือนกับถ้ำสวรรค์พื้นที่มงคลทัง้สามร้อหกสิบห้าแห่งที่เกิดขึ้นมาตามธรรมชาติ แล้วนี่ก็เป็นเหตุผลที่ว่าทำไมถึงมีคำกล่าวว่ามนุษย์คือผู้นำของหมื่นวิญญาณ เหตุใดภูตผีปีศาจแต่ละตนบนโลกที่พอเกิดสติปัญญาสามารถจำแลงร่างเป็นมนุษย์ได้แล้วถึงยังสามารถฝึกตนต่อได้?
ต้นกำเนิดนั้นมาจากที่นี่
นอกจาก “เจ็ดโพรง” ที่จะเปิดโล่งตามธรรมาชาติในชั่วขณะที่มนุษย์ถือกำเนิดแล้ว ขอแค่ผู้ชายสามารถเปิดช่องโพรงอีกเก้าช่องได้ก็จะสามารถเลื่อนขอบเขตสู่อันดับถัดไป ทว่าผู้หญิงจำเป็นต้องเปิดช่องโพรงให้ได้สิบสองช่องเสียก่อนถึงจะเลื่อนขั้นได้ นักพรตหญิงหลายคนมักจะขอบเขตไม่สูงนัก จำนวนของคนที่เป็นห้าขอบเขตกลางค่อนไปทางช่วงหลังก็ยิ่งหาได้ยาก นั่นก็เป็นเพราะว่าหลายคนถูกขัดขวางไว้ด้วยสาเหตุนี้ ทว่าความโชคร้ายก็มาพร้อมกับความโชคดี หากผู้หญิงเปิดช่องโพรงของขอบเขตนี้ได้มากเท่าไหร่ ผลประโยชน์ที่จะได้รับในห้าขอบเขตหลังก็จะมากล้นเท่านั้น
หลี่ฉางอิงเอ่ยเบาๆ “ตั้งค่ายกล”
เมื่อนักปราชญ์ของสำนักศึกษาท่านนี้ออกเสียง รอบกายเด็กหนุ่มก็ปรากฏกระบี่ยาวไร้ฝักโปร่งแสงเล่มแล้วเล่มเล่า พวกมันหมุนเป็นวงกลม ระดับความสูงต่ำไม่เท่ากัน ปราณกระบี่หลายสิบเส้นหมุนวนอย่างเชื่องช้า “ยอดเขาเขียวสามฉื่อ” เหล่านี้เกิดจากการรวมตัวกันของปราณวิญญาณจากหลี่ฉางอิง แม้ว่าจะยังไม่อาจจับต้องได้จริง แต่ก็กลายมาเป็นศาสตราวุธที่ทำให้คนเกิดความกริ่งเกรงได้แล้ว
การรับมือของอวี๋ลู่ทั้งเรียบง่ายและเผด็จการ นั่นคือการปล่อยหมัดออกไปเป็นแนวตรง
ประหนึ่งกองทัพม้าเหล็กที่เจาะทะลวงค่ายกล
หลี่ฉางอิงเพียงแค่ยิ้มรับ นิ้วสองข้างชี้ไปยังอวี๋ลู่
ปราณกระบี่สามเส้นที่อยู่ด้านหน้าโน้มตามออกไปคล้ายจะใช้ปลายกระบี่ต้านทานเด็กหนุ่มร่างสูงใหญ่
อวี๋ลู่ที่ก่อนหน้านี้เปิดเผยตบะขอบเขตสี่พลันเพิ่มความเร็ว ก้าวเดียวก็เหยียบให้พื้นดินปริแตก หนึ่งหมัดทะยานแหวกอากาศออกไป
ปราณกระบี่แหลกสลายในชั่วพริบตา
ปราณกระบี่ทั้งสามเส้นยังไม่ทันได้สำแดงอานุภาพก็ถูกสามหมัดของอวี๋ลู่ต่อยกระจายระหว่างที่กำลัง “แปรเปลี่ยนเป็นค่ายกล” เสียก่อน
หลี่ฉางอิงใจสั่นเล็กน้อย ขยับเท้าเคลื่อนไปด้านข้างหลายก้าว ยังคงเป็นท่าทางที่ไม่รีบไม่ร้อน ระหว่างที่ขยับเท้าก็ยังคงเปี่ยมไปด้วยมาดพลิ้วไหวดั่งยามที่บัณฑิตลัทธิขงจื๊อตวัดปลายพู่กัน ขณะเดียวกันปราณกระบี่ที่เหลืออยู่ก็เรียงตัวกันเป็นค่ายกลอยู่ข้างกายเขา
อวี๋ลู่วาดเท้าเตะมาทีเดียว
ปราณกระบี่ทั้งหมดที่อยู่ฝั่งซ้ายของหลี่ฉางอิงก็ระเบิดกระจายพร้อมกัน เกิดเป็นริ้วคลื่นกระเพื่อมอยู่กลางอากาศ เป็นเหตุให้การมองเห็นของหลี่ฉางอิงพร่ามัวเล็กน้อย เหมือนกำลังมองกระจกทองแดงคุณภาพต่ำที่ชาวบ้านร้านตลาดทั่วไปมักใช้กัน
หลี่ฉางอิงหงุดหงิดเล็กน้อย อวี๋ลู่ผู้นี้จำเป็นต้องลงมือโหดเหี้ยม บีบคั้นกันขนาดนี้เชียวหรือ?
หลี่ฉางอิงแค่นเสียงเย็นหนึ่งที เพียงก้าวเท้าออกไปก็ทำให้เกิดพายุลมกรดในพื้นที่แคบๆ ก่อนหน้าที่ขาซึ่งฟาดเหวี่ยงเข้ามาอย่างดุดันจะสัมผัสโดนไหล่ เขาก็เคลื่อนย้ายตำแหน่งไปแล้ว มาหยุดอยู่ตรงตำแหน่งที่อวี๋ลู่เริ่มลงมือก่อนหน้านี้ คนทั้งสองสลับตำแหน่งกัน อวี๋ลู่ที่หมุนตัวกลางอากาศไปหนึ่งรอบ มหาศาลลมปราณลดดิ่งลง ร่างพลันร่วงลง ปลายเท้าแตะพื้นเบาๆ หนึ่งที ทั้งร่างก็พุ่งไปด้านหน้าอย่างเงียบเชียบดุจกบที่กระโดดบนผิวน้ำ
ความเร็วมากเกินจินตนาการ เป็นเหตุให้หลี่ฉางอิงคิดจะดึงลมปราณมาจากฟ้าดินก็ยังเป็นเรื่องที่เพ้อฝันเกินไป ได้แต่ใช้ปราณวิญญาณที่ฟูมฟักอยู่ในกายของตนก่อนชั่วคราว ไม่หลบเลี่ยงรัศมีคมกริบของอีกฝ่ายอีกต่อไป กลับกันยังบุกรุดหน้า สองหมัดต่อยไปยังเด็กหนุ่มร่างสูงใหญ่ที่ไม่ยอมรามือ แม้ว่าจะเป็นผู้ฝึกลมปราณ แต่พลังอำนาจของหลี่ฉางอิงในเวลานี้กลับรุดทะยานไม่มียั้ง ไม่ว่าจะเป็นพลังของการสังหารหรือความแข็งแกร่งดุกร้าวของร่างกายและจิตวิญญาณล้วนไม่เป็นรองการโจมตีสุดพลังจากผู้ฝึกยุทธ์เต็มตัวขอบเขตสี่ขอบเขตห้าเลย
หลี่ฉางอิงใช้วิธีของผู้ฝึกกระบี่มาป้องกันตัวก่อน จากนั้นจึงเปลี่ยนมาใช้วิชาอภินิหารย่อพื้นที่ของลัทธิเต๋า ครั้นจึงใช้เคล็ดการโจมตีของสำนักการทหารมาปะทะกับศัตรูซึ่งๆ หน้า ทำให้คนได้เปิดโลกกว้างอย่างแท้จริง
ขั้นตอนที่ใช้ประดุจรวบรวมความเชี่ยวชาญของร้อยสำนัก เอามาหล่อหลอมไว้รวมกันในเตาเดียว
ความทะเยอทะยานสูงส่ง ปณิธานยิ่งใหญ่
สองหมัดที่เรียบง่ายแท้จริงอย่างถึงที่สุดปะทะกัน หมัดแข็งๆ ชนเข้ากับหมัดแข็งๆ
กลางอากาศมีเพียงเสียงดังกัมปนาท
อวี๋ลู่ยังคงยืนตระหง่านไม่สั่นคลอน หลี่ฉางอิงถอยกรูดไปหลายก้าว แขนสองข้างทิ้งตัวลง สีหน้าซีดขาวเล็กน้อย ใบหน้าเต็มไปด้วยความเหลือเชื่อ
อวี๋ลู่ยังคงขยับเข้ามาใกล้ ไม่มีวี่แววว่าจะหยุดมือเมื่อถึงเวลาสมควรเลยแม้แต่น้อย
ในหอหนังสือมีเสียงถอนหายใจที่แก่ชราเสียงหนึ่งดังขึ้นมา
อยู่ไม่ใกล้กับตำแหน่งที่คนทั้งสองประมือกันเท่าใดนัก ระยะห่างนั้นมากพอยี่สิบกว่าจั้ง มีชั้นหนังสือจำนวนมากกั้นขวาง ต้นกำเนิดมาจากใต้ผนังแห่งหนึ่ง
หลังจากนั้นก็มีแสงกระบี่สีขาวโพลนเส้นหนึ่งเปล่งวาบขึ้น แสงขาวสามฉื่อทะยานไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว มันอ้อมผ่านชั้นหนังสือแถวหนึ่ง จากนั้นก็พุ่งไปตามเส้นทางของตัวเอง อ้อมผ่านชั้นหนังสืออีกรอบ ก่อนจะข้ามผ่านข้างกายหลี่ฉางอิงกระโจนเข้าหาอวี๋ลู่ด้วยความเร็วดุจสายฟ้าแลบ
เด็กหนุ่มร่างสูงใหญ่ไม่หยุดเท้า เขาเบี่ยงตัวหันข้างในชั่วเสี้ยวเส้นยาแดงผ่าแปด หลบกระบี่บินสีขาวหิมะเล่มนั้นไม่ได้ แล้วตัวเองก็พุ่งทะยานไปข้างหน้าต่อด้วยท่วงท่าประหลาด
น้ำเสียงแก่ชราที่ดังขึ้นแฝงแววโทสะไว้เสี้ยวหนึ่ง “ยังไม่หยุดมืออีกรึ?”
แสงสีขาวยาวสามฉื่อที่แฉลบผ่านไหล่ของเด็กหนุ่มร่างสูงใหญ่ไปหยุดชะงักเล็กน้อย ไม่ได้หันปลายกระบี่แหลมคมกลับมา แต่ใช้ด้ามกระบี่เป็นปลายกระบี่ บินถอยกลับมาทั้งอย่างนั้น
เห็นได้ชัดว่าผู้ฝึกกระบี่อายุมากที่ซ่อนตัวอยู่ในมุมมืดผู้นั้นรู้ว่าต่อให้เขาเชี่ยวชาญเวทการบังคับกระบี่บินได้ดังใจปรารถนา แต่หากหมุนปลายกระบี่กลับมา เวลาที่ถูกถ่วงรั้งไว้ในชั่วขณะนั้นก็อาจจะทำให้เขาพลาดโอกาสในการต่อสู้ ทำให้เมล็ดพันธ์บัณฑิตของต้าสุยผู้นั้นได้รับบาดเจ็บอย่างแท้จริง ดังนั้นเขาจึงไม่มัวมาพิถีพิถันในมาดของเวทกระบี่อะไรอีก กระบี่บินจึงพุ่งแทงเข้าที่ด้านหลังของเด็กหนุ่มร่างสูงใหญ่ด้วยความเร็วที่มากกว่าเดิม
อวี๋ลู่กระโดดผลุงขึ้น เท้าเหยียบลงบนชั้นหนังสือที่อยู่ฝั่งขวามือ อาศัยแรงดีดพุ่งตัวไปด้านหน้า ไม่เพียงแต่หลบเลี่ยงกระบี่บินคมกริบที่พุ่งตรงเข้าหาแผ่นหลังตัวเองได้ ยังถือโอกาสนี้ปล่อยหมัดเท้าใส่ศีรษะหลี่ฉางอิงได้อีกหนึ่งที
หลังจากผู้ฝึกกระบี่ออกกระบี่อย่างเด็ดเดี่ยวแล้ว หลี่ฉางอิงก็เตรียมพร้อมรับมือกับผลลัพธ์ที่เลวร้ายที่สุด ในใจท่องคัมภีร์ลัทธิขงจื๊อประโยคหนึ่งที่มาจากหลี่เซิ่ง นาทีที่อวี๋ลู่เหยียบลงบนชั้นหนังสือ ชั้นหนังสือมากมายในชั้นนี้ก็สั่นสะเทือนเบาๆ อย่างพร้อมเพรียงกัน ตัวอักษรสีขาวในตำราโบราณที่บันทึกถ้อยคำสอนของอริยะร้อยเรียงกันเป็นทอดพากันบินกระจัดกระจายจากสี่ด้านแปดทิศ พริบตาเดียวก็มาถึง ตัวอักษรบ้างใหญ่บ้างเล็ก บ้างก็เป็นตัวบรรจง บ้างเป็นตัวหวัด ทั้งหมดต่างก็มารวมตัวกันอยู่ตรงหน้าหลี่ฉางอิงในชั่ววินาที
สุดท้ายก็แปรเปลี่ยนเป็นธารตัวอักษรสายหนึ่งที่ไหลรินเอื่อยเฉื่อย สาดแสงเปล่งประกายอยู่ตรงหน้าหลี่ฉางอิง แม้ว่าธารน้ำนั้นจะเล็ก แต่กลับแผ่กลิ่นอายของความศักดิ์สิทธิ์ที่ยิ่งใหญ่ไพศาล
เด็กหนุ่มร่างสูงใหญ่ที่ตัวลอยอยู่กลางอากาศร่วงลงมาอย่างรวดเร็ว สีหน้าของเขาเป็นปกติ และยังคงปล่อยหมัดแสกหน้าออกไปอีกครั้ง
ต่อยให้ธารน้ำสายนั้นปริแตกโดยตรง!
หนึ่งหมัดต่อยให้ธารน้ำขาดกลาง ต่อยจนตัวอักษรทั้งหมดละเอียดย่อยยับ!
อวี๋ลู่ถีบเข้าที่หน้าท้องของหลี่ฉางอิง หลี่ฉางอิงที่ไม่ว่าจะเป็นความรู้หรือตบะก็ล้วนได้รับการยอมรับว่าเป็นอันดับหนึ่งของสำนักศึกษาต้องมาถูกเตะกระเด็นออกไปหลายจั้งทั้งอย่างนี้ เขาไปหล่นกระแทกอยู่บนช่องว่างระหว่างชั้นหนังสือแถวหนึ่ง แถมพอร่วงลงพื้นแล้วยังไถลออกไปอีกหนึ่งจั้งกว่า มากพอจะพิสูจน์ให้เห็นถึงความรุนแรงของกำลังเท้านี้
ผู้เฒ่าชุดเทาคนหนึ่งปรากฏกายอยู่ข้างหลี่ฉางอิง กระบี่บินที่กลับมามือเปล่าหยุดลอยนิ่งอยู่ใกล้ไหล่ของผู้เฒ่า ปลายกระบี่ชี้ไปยังคนร้ายที่ยืนอยู่ฝั่งตรงข้าม ผู้เฒ่านั่งยองลงด้วยสีหน้าลนลาน รีบจับชีพจรให้หลี่ฉางอิง เขาบาดเจ็บไม่เบา ยังดีที่ไม่ร้ายแรงถึงชีวิต ทว่านักปราชญ์หนุ่มที่กองอยู่กับพื้นยังลุกไม่ขึ้นนั้นคือคลื่นลูกใหม่ที่แม้แต่ขุนนางสำคัญของต้าสุยก็ยังปฏิบัติด้วยอย่างมีมารยาท และในอนาคตก็ยิ่งต้องกลายมาเป็นเสาคานของต้าสุยอย่างไม่ต้องสงสัย!
เขาอดเงยหน้ามองเด็กหนุ่มร่างสูงใหญ่ด้วยสายตาเดือดดาลไม่ได้ “อายุน้อยๆ แต่กลับใจคออำมหิตถึงเพียงนี้?! เจ้ารู้หรือไม่ว่า…”
ผู้เฒ่าหยุดเสียงตวาดอย่างรวดเร็ว
เพราะเด็กหนุ่มร่างสูงใหญ่ผู้นั้นยังคงเดินหน้ามาอย่างเชื่องช้า ต่อให้ทำร้ายคนบาดเจ็บไปแล้ว ต่อให้ผู้เฒ่าลุกขึ้นยืนแล้ว เขาก็ยังไม่มีท่าทีว่าจะหยุดมือ
—–