ตอนที่ 173.1 คนผ่านทางที่เดินทางอย่างรีบร้อน

บทที่ 173.1 คนผ่านทางที่เดินทางอย่างรีบร้อน
โดย

มีพบต้องมีจาก ชีวิตคนก็คือการหักกิ่งหลิวครั้งแล้วครั้งเล่าเช่นนี้ (ในสมัยโบราณยามที่คนจากลากันจะมีธรรมเนียมหักกิ่งต้นหลิวมอบให้)

ระหว่างเส้นทางของแม่น้ำแห่งกาลเวลาอันยาวไกลคล้ายจะมีท่าเรือที่ต้นหลิวโน้มกิ่งอยู่หลายต่อหลายแห่ง ในโรงเตี๊ยมแห่งกาลเวลาที่ตั้งอยู่ทุกๆ ช่วงระยะทางหนึ่งจะต้องมีคนทิ้งเรือจากไป บ้างก็ลงเรือเดินทาง แล้วการพบและการจากลาครั้งใหม่ก็จะมีขึ้นตรงท่าเรือถัดไป

ก็เหมือนเด็กหนุ่มจากตรอกหนีผิงผู้หนักเอาเบาสู้คนนั้นที่ลาจากทุกคนไปไกลตั้งแต่ท่าเรือท่าก่อน

ฟ้าเริ่มสาง ครอบครัวหลี่เอ้อร์สามคนที่จัดเตรียมสัมภาระไว้เรียบร้อยแล้วบอกลากับทุกคนตรงตีนเขาตงหัว เมื่อเทียบกับตอนแยกจากกับครอบครัวครั้งแรกที่เมืองเล็ก ครั้งนี้หลี่ไหวไม่ได้ทำตัวแล้งน้ำใจ ไม่ได้แค่รู้สึกว่าจะไม่มีคนมาคอยควบคุม สามารถกินพุทราเชื่อมเคลือบน้ำตาลและน่องไก่ได้ทั้งวันอีกแล้ว แต่มีอารมณ์เศร้าหมองอยู่หลายส่วน จะอย่างไรซะเด็กชายก็โตแล้ว

หลี่เป่าผิง หลินโส่วอี อวี๋ลู่ เซี่ยเซี่ยและชุยตงซานเด็กหนุ่มผู้มีหน้าตาหล่อเหลาชวนมองต่างก็มาส่งพวกเขา

สตรีแต่งงาแล้วตาแดงก่ำ ไม่ยอมปล่อยมือหลี่ไหว พูดจู้จี้ด้วยคำพูดทำนองว่าอากาศหนาวแล้วต้องสวมเสื้อผ้าหนาชั้น ต้องกินให้อิ่มนอนให้หลับ ฯลฯ ไม่หยุดปาก หลี่ไหวรับฟังเงียบๆ หลี่เอ้อร์ยืนซื่อบื้ออยู่ข้างๆ ตลอดเวลา ส่วนหลี่หลิ่วที่หลังจากช่วยจัดระเบียบเสื้อผ้าซึ่งพอจะเรียกได้ว่าชุดใหม่เอี่ยมให้หลี่ไหวเรียบร้อยแล้วก็เงยหน้ามองไปทางกรอบป้ายของสำนักศึกษาซานหยา ไม่สนใจสายตามองประเมินจากคนวัยเดียวกันสองคนอย่างอวี๋ลู่และเซี่ยเซี่ย

ในที่สุดสตรีแต่งงานแล้วก็ยอมตัดใจจากไปได้ เมื่อเดินออกไปแล้วก็แข็งใจไม่หันกลับมามองอีก หลี่เอ้อร์ตบศีรษะของหลี่ไหวเบาๆ ก่อนจะเดินตามฝีเท้าภรรยาไปพร้อมรอยยิ้ม หลี่หลิ่วตบไหล่น้องชาย จากนั้นหันไปยอบตัวให้กับทุกคนแล้วก้าวเดินจากไปอย่างแช่มช้า

หลี่ไหวเตะหลินโส่วอีเบาๆ หนึ่งที ฝ่ายหลังกำจดหมายฉบับหนึ่งไว้ในกำมือที่ชื้นไปด้วยเหงื่อ เด็กหนุ่มผู้เย็นชาส่ายหน้า มองแผ่นหลังของเด็กสาวพลางตอบงึมงำ “ไว้คราวหน้าเถอะ”

หลี่ไหวไม่ต้องการเผยอารมณ์เศร้าสร้อยต่อหน้าพวกเขาจึงฝืนข่มกลั้นความทุกข์ในใจ หาหัวข้อสนุกสนานมาพูดคุยพลางหัวเราะหึหึ “ชุยตงซาน หากเจ้าเป็นลูกศิษย์ของเฉินผิงอัน ส่วนพวกเราล้วนเป็นลูกศิษย์ของอาจารย์ฉี แล้วเป่าผิงก็เรียกเฉินผิงอันว่าอาจารย์อาน้อย เจ้ากับพวกเราจะแบ่งลำดับศักดิ์กันอย่างไร?”

ชุยตงซานที่ยืนสองมือไพล่หลังประดุจต้นไม้หยกตระหง่านรับสายลม ตอบอย่างลำพองใจ “ข้าเป็นถึงลูกศิษย์ใหญ่บุกเบิกสำนักของอาจารย์ข้า ลำดับศักดิ์สูงมาก สูงกว่าภูเขาตงหัวแห่งนี้ตั้งหนึ่งแสนแปดพันลี้”

หลี่ไหวตะลึง “หรือต้องเรียกเจ้าว่าศิษย์พี่ใหญ่?”

“ศิษย์พี่ใหญ่?”

ชุยตงซานร้อนรนขึ้นมาทันใด “ทั้งตระกูลเจ้าสิเป็นศิษย์พี่ใหญ่! ข้าผู้อาวุโสไม่เป็นศิษย์พี่ใหญ่ ส่วนอย่างอื่นจะเรียกอะไรก็ตามใจพวกเจ้า”

หลี่ไหวมึนงง “ถ้าอย่างนั้นก็เรียกเจ้าว่าศิษย์พี่น้อย? แต่ไม่ค่อยชินปากเท่าไหร่เลยนะ”

ดวงตาชุยตงซานเป็นประกาย “ศิษย์พี่น้อยดีสิ ทั้งเคารพผู้ใหญ่ ทั้งให้ความใกล้ชิดสนิทสนม วันหน้าพวกเจ้าก็เรียกข้าว่าศิษย์พี่น้อยแล้วกัน อวี๋ลู่ เซี่ยเซี่ย พวกเจ้าเองก็เหมือนกัน นับจากวันนี้ไปไม่ต้องเรียกว่าคุณชายแล้ว ห่างเหินกันเกินไป เรียกข้าว่าศิษย์พี่น้อยเหมือนพวกหลี่เป่าผิงก็แล้วกัน”

หลี่เป่าผิงแค่นเสียงเย็น “ข้าไม่ได้รับปากซะหน่อย!”

แม่นางน้อยชุดผ้าฝ้ายบุนวมสีแดงพุ่งตัวออกจากซุ้มประตูหิน หลี่ไหวตะโกนเรียก “หลี่เป่าผิง เรายังมีเรียนต่อนะ!”

“ลงโทษให้คัดบทความ เมื่อคืนข้าเขียนไว้เสร็จแล้ว จะกลัวอะไร! ข้าจะไปเดินเล่นแถวนี้ให้ทั่วคนเดียวก่อน วันหน้าจะได้พาอาจารย์อาน้อยไปเดินเล่นได้ถูก” หลี่เป่าผิงเชิดหน้าสูง วิ่งตะบึงตามนกพิราบกลุ่มหนึ่งที่บินอยู่กลางท้องนภาสีครามสดใสไปตลอดทาง เสียงนกพิราบร้องดังเดี๋ยวสูงเดี๋ยวต่ำ ก้องสะท้อนกังวานไปทั่วเมืองหลวงของต้าสุย

หลี่ไหวแผดเสียงตะโกนตามหลัง “งั้นก็พาข้าไปด้วยสิ”

หลี่เป่าผิงแสร้งทำเป็นไม่ได้ยิน เทียบกับเรือนกายเล็กบางของนางที่วิ่งห่างไปจากซุ้มประตูสำนักศึกษาแล้ว ความคิดของแม่นางน้อยยิ่งห่างไกลนับพันนับหมื่นลี้

……

เดินมาถึงภูเขาลูกหนึ่งริมชายแดนแคว้นหวงถิง เฉินผิงอันหยุดพักล้างหน้าที่ริมธารน้ำสายหนึ่งในภูเขา

ต่างจากเด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูที่แบกหีบหนังสือของคนอื่น เด็กชายชุดเขียวพกวัตถุฟางชุ่นชิ้นหนึ่งที่ข้างในบรรจุของเล่นประหลาดไว้กองโต ตอนแรกเขาไม่คิดจะเอาออกมาโอ้อวดต่อหน้านายท่าน ตอนหลังติดใจหินดีงู คิดพะวงถึงทุกวันจึงเริ่มหยิบออกมา ขอร้องให้เฉินผิงอันเอาหินดีงูมาแลกกับสมบัติของเขา

ก็เหมือนกับตอนนี้ที่เด็กชายชุดเขียวหยิบขวดใบเล็กลักษณะเหมือนกันทุกใบออกมากองหนึ่ง นั่งยองอยู่ข้างเฉินผิงอัน อธิบายให้นายท่านของเขาฟังถึงความน่าสนใจของขวดเหล่านี้ เขาดึงฝาจุกของขวดสีเขียวอ่อนหนึ่งในนั้นออก เอียงขวดลงหาธารน้ำ เพียงไม่นานก็มีแสงจันทร์อ่อนโยนสาดส่องลงบนผืนน้ำประหนึ่งภาพฝันมายา

เด็กชายชุดเขียวหัวเราะร่าเริง “นายท่าน สวยไหมล่ะ นี่คือขวดแสงจันทร์ที่ผู้ฝึกตนชื่นชอบกันมาก นอกจากนี้ยังมีอีกมากมายอย่างเช่นขวดเมฆาเรือง ขวดแสงตะวัน ฯลฯ ซึ่งเป็นก้อนเมฆ แสงเรืองรอง แสงตะวัน แสงจันทรา ฯลฯ ที่ถูกเก็บมาจากห้าขุนเขาใหญ่โดยเฉพาะ ปราณวิญญาณที่ซุกซ่อนอยู่ข้างในนั้นมีไม่มาก แน่นอนว่าไม่อาจเทียบกับในถ้ำสวรรค์พื้นที่มงคลที่มีปราณวิญญาณอุดมสมบูรณ์เปี่ยมล้นอีกทั้งยังต่อเนื่องยาวนาน ทว่ากลับชนะขาดลอยด้านความงดงามยามที่เทออกมาจากขวดเหล่านี้ นายท่านเห็นด้วยไหม?”

เฉินผิงอันตะลึงลานอยู่มากจริงๆ เมื่ออยู่ท่ามกลางผืนป่ารกทึบ แม้จะเป็นเวลากลางวันแดดจ้า บรรยากาศก็ยังมืดสลัว เวลานี้พอได้เห็นแสงจันทร์สาดส่องลงบนธารน้ำที่ไหลเอื่อยจึงทำให้เขารู้สึกว่าไม่มีเรื่องมหัศจรรย์ใดที่ไม่อาจปรากฎบนโลกใบนี้

เด็กชายชุดเขียวยังพูดจ้อไม่หยุด “ขวดเล็กๆ ใบเดียวเอามาแลกกับหินดีงูของนายท่านย่อมไม่เป็นธรรม ที่ข้ายังมีขวดอีกสามใบซึ่งมีชื่อเรียกเดียวกันว่าขวดเร่าเหลียง (ล้อมวนคานขื่อ) มาจากประโยคว่า ‘เสียงเพลงยังแว่วล้อมคานขื่อ สามวันคืนตราตรึงไม่จางหาย’ ในแต่ละขวดล้วนบรรจุเสียงแห่งธรรมชาติที่งดงามชนิดต่างๆ ในฟ้าดิน ยกตัวอย่างเช่นในขวดใบนี้เป็นเสียงกบร้อง ขวดนี้เป็นเสียงกระแสน้ำขึ้น ส่วนขวดใบนี้เป็นเสียงต้นสนบนยอดเขาสูง นายท่าน ท่านลองคิดดูสิ เวลานอนเปิดขวดใดขวดหนึ่งในนี้ ข้างหมอนมีเสียงน้ำไหล แสนจะสุขสบาย ท่านไม่หวั่นไหวเลยหรือ? ขวดที่มีค่าของข้าตั้งมากมายขนาดนี้ แลกกับหินดีงูของท่านแค่ก้อนเดียว! ก้อนเดียวเท่านั้น! ขอแค่นายท่านพยักหน้าตอบรับ ขวดเจ็ดแปดใบนี้จะเป็นของนายท่านทั้งหมดทันที ไม่ทำการแลกเปลี่ยนแบบนี้ ต้องถูกฟ้าผ่าตายแน่…”

เฉินผิงอันคิดคำนวณทรัพย์สมบัติของตัวเองที่อยู่ในเมืองเล็กในใจ พบว่าหินดีงูลักษณะดีเยี่ยมยังมีอีกไม่น้อยจึงพยักหน้ารับยิ้มๆ “ตกลง”

เด็กหญิงชุดกระโปรงสีชมพูที่อยู่ด้านข้างโบกมือเป็นพัลวันพลางส่งสายตาให้นายท่านของตัวเอง คิดจะห้ามไม่ให้เฉินผิงอันตอบรับการแลกเปลี่ยนครั้งนี้

เด็กชายชุดเขียวผลักขวดเล็กขวดน้อยทั้งหมดมาให้เฉินผิงอัน ดีใจกระโดดโลดเต้น ยื่นนิ้วสองนิ้วไปให้เด็กหญิงชุดกระโปรงสีชมพู เอ่ยด้วยน้ำเสียงจองหอง “มากกว่าเจ้าหนึ่งก้อน ตอนนี้ขอบเขตสูงกว่าเจ้าหนึ่งขั้น พอไปถึงบ้านเกิดของนายท่าน กินก้อนหินเข้าไป ข้าผู้อาวุโสก็จะมีขอบเขตเหนือกว่าผู้หญิงหน้าโง่อย่างเจ้าสองขอบเขต ถึงเวลานั้นเจ้าก็ทำตัวให้รู้จักกาลเทศะด้วยล่ะ ไม่ต้องมาอยู่ข้างกายนายท่านแล้ว นายท่านมีข้าเป็นเด็กรับใช้คนเดียวก็พอ ไม่จำเป็นต้องมีเด็กรับใช้โง่ๆ อย่างเจ้า…”

เด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูมุ่ยปาก ย่นใบหน้าเล็กๆ สีขาวอมชมพูพาให้ลมฟ้าลมฝนพัดกระโชกแรง

เฉินผิงอันระอาใจ “หากเจ้ายังรังแกนางอีก ข้าจะเปลี่ยนใจ”

เด็กชายชุดเขียวรีบกระแอมหนึ่งทีแล้วพูดเป็นงานเป็นการกับนาง “วันหน้าเวลาดูแลอาหารการกิน ที่หลับที่นอนของนายท่านต้องตั้งใจให้มาก เข้าใจไหม? ยกตัวอย่างเช่นพอกินหินดีงูก้อนนั้นเข้าไปแล้วก็รีบจำแลงร่างเป็นหญิงสาวรูปร่างหน้าตางดงาม เมื่อนายท่านเลือดลมพลุ่งพล่านก็จะรู้สึกว่ากลางคืนยาวนาน เจ้าเองก็ต้องรู้จักเสนอตัวไปอุ่นเตียง…”

เฉินผิงอันเก็บขวดเล็กหายากที่ทำมาจากวัสดุแตกต่างกันเรียบร้อยแล้วก็หันมาเขกมะเหงกใส่ศีรษะของเด็กชายชุดเขียว “หยุดพูดเหลวไหลได้แล้ว”

เด็กชายชุดเขียวแสร้งทำท่าคารวะ “นายท่านสั่งสอนได้ถูกต้องแล้ว”

เฉินผิงอันนั่งยองกลับลงไปบนก้อนหินริมธารน้ำอีกครั้ง หยิบแผ่นแป้งมากัดกินแล้วถามชวนคุย “พวกเจ้ารู้หรือไม่ว่าข้องราชามังกรคืออะไร?”

เด็กน้อยสองคนหน้าซีดขาวพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย เด็กชายชุดเขียวยิ่งตัวแข็งทื่อ อย่าว่าแต่เอ่ยคำพูดที่จะช่วยให้สถานการณ์คึกคัก แม้แต่ขยับตัวเดินเขายังทำไม่ได้เลย

 —–

Sword of Coming กระบี่จงมา

Sword of Coming กระบี่จงมา

อ่านนิยายเรื่อง Sword of Coming กระบี่จงมา ” หนึ่งโลกธาตุขนาดใหญ่ เต็มไปด้วยความลี้ลับมหัศจรรย์ ใจกลางฟ้าดิน เคยมีปัญญาชนผู้หนึ่งใช้หนึ่งกระบี่ฟาดฟันให้เกิดน้ำตกธารสวรรค์ คือความภาคภูมิใจสูงสุดของโลกมนุษย์ หน้าผาทะเลบูรพา มีนักพรตไร้นามผู้หนึ่งที่ไม่ยินดียินร้ายกับสิ่งใด หวังเพียงให้ลมเย็นโชยมาปะทะใบหน้า แดนสุขาวดีปัจฉิมทิศ มีหลวงจีนเฒ่าที่ชอบเล่าเรื่องราวให้ผู้คนฟัง เลี้ยงมังกรสวรรค์ไว้เก้าตัว พื้นที่กันดารแดนใต้ มีจิตรกรตาบอดควบคุมหุ่นเชิดเกราะทองสูงเท่าเนินเขาให้เคลื่อนย้ายภูเขาใหญ่หนึ่งแสนลูก ปูแผ่เป็นภาพลายปัก เมื่อวันหนึ่งเด็กหนุ่มยากจนที่เติบโตทางทิศเหนือได้พบกับเซียนที่เหนือศีรษะมีกระบี่บินนับพันนับหมื่นประดุจฝูงตั๊กแตน “ เขาจึงอยากจะไปเห็นปัญญาชนคนนั้น เห็นคลื่นยักษ์ที่โถมตัวเทียมฟ้าของทะเลบูรพา เห็นทะเลทรายสีเหลืองทองกว้างไกลนับหมื่นลี้ของแดนประจิม และอยากไปเห็นภูเขาลูกโอฬารของแดนกันดารทางใต้ที่นักเล่านิทานเอ่ยถึงกับตาตัวเอง ดังนั้น ในที่สุดวันหนึ่ง เด็กหนุ่มจึงสะพายกระบี่ไม้พาดหลัง มุ่งหน้าไปทางทิศใต้ –ข้ามีนามว่าเฉินผิงอัน ผิงอันที่แปลว่าสงบสุข สันติ ข้าคือมือกระบี่คนหนึ่ง–

Comment

Options

not work with dark mode
Reset