แต่ไหนแต่ไรมา แจกันสมบัติทวีปมักจะชอบใช้สำนักศึกษากวานหูเป็นตัวแบ่งเหนือใต้
ทางเหนือมีพวกป่าเถื่อนเยอะ ทางใต้ล้วนเป็นพวกที่ได้รับการศึกษา
คนใต้ดูถูกคนเหนือ นั่นคือเรื่องที่ถูกต้องตามหลักฟ้าดิน ต่อให้เป็นเหล่ากวีผู้ลือนามของต้าสุยแห่งทางเหนือ เมื่อต้องเผชิญหน้ากับปัญญาชนผู้มีความรู้ของแคว้นหนันเจี้ยนก็ยังยอมรับว่าตัวเองต่ำต้อยกว่าระดับหนึ่ง นี่จึงเป็นเหตุให้ชนชั้นสูงของทางใต้เห็นว่า หากแต่งงานกับคนทางเหนือถือเป็นความอัปยศ
ใกล้ช่วงปลายปี ในตลาดที่ครึกครื้นแห่งหนึ่งทางทิศใต้ มีหลวงจีนวัยกลางคนใบหน้ารูปเหลี่ยมเด็ดเดี่ยว เปลือยเท้าอุ้มบาตรเดินไปด้านหน้าอย่างเชื่องช้า
มีนักเล่นกายกรรมคนหนึ่งแสดงฝีมือของตนออกมาอย่างเต็มที่ เรียกเสียงปรบมือและเสียงให้กำลังใจจากผู้ชมได้เป็นระลอก หลวงจีนมองเห็นลิงตัวเล็กที่ถูกมัดเข้ากับเสาไม้เสาหนึ่ง ตัวมันผอมมาก ดวงตาจึงดูกลมโตเป็นพิเศษ
หลวงจีนย่อตัวลง ควักขนมแป้งแข็งครึ่งชิ้นออกมา บิให้เล็กละเอียด วางกลางฝ่ามือ ยื่นให้ลิงน้อยตัวผอมแห้ง
แต่มันกลับตกใจกับการกระทำด้วยความหวังดีของหลวงจีนจึงวิ่งเผ่นหนีไปด้านหลังด้วยความลนลาน โซ่เลยถูกดึงให้ตึงในฉับพลัน ร่างถูกดึงกลับ ลิงน้อยที่ทั่วร่างเต็มไปด้วยรอยแส้หงายหลังลงบนพื้น มันรีบขดตัว ส่งเสียงร้องครางแผ่วๆ
หลวงจีนวางขนมที่บิเล็กไว้ใกล้ๆ กับเสาไม้ ก่อนจะบิแผ่นแป้งที่เหลืออีกครึ่งหนึ่งเป็นชิ้นเล็กๆ แล้วโปรยไว้บนพื้น จากนั้นจึงวางบาตรลง แล้วเสร็จถึงได้ลุกขึ้นยืนเดินถอยหลัง สุดท้ายไปนั่งขัดสมาธิอยู่ห่างจากเสาไม้ประมาณสามสี่ก้าวแล้วเริ่มหลับตา ริมฝีปากขยับขมุบขมิบ ท่องศีลข้อห้ามของคัมภีร์
เดินก็ฝึกบำเพ็ญเพียร นั่งก็ฝึกบำเพ็ญเพียร ระยะทางยาวไกลนับหมื่นลี้ล้วนบำเพ็ญตนอย่างยากลำบากอยู่ตลอดเวลา
ลิงน้อยที่ทั้งอดยากและหนาวเหน็บคงจะหิวมากแล้วจริงๆ หลังจากหลวงจีนนั่งเข้าฌานแล้ว ลิงน้อยที่มองเขาอย่างขลาดกลัวอยู่นาน ในที่สุดก็ปลุกความกล้าขยับเข้าไปหยิบเศษขนมมาหนึ่งชิ้น ถอยกลับมาที่เดิมแล้วก้มหน้ากัดกิน พอเห็นว่าหลวงจีนยังนิ่งเฉย ความกล้าก็ยิ่งเพิ่มมากขึ้น แอบขโมยกินอีกหนึ่งชิ้น ทำอย่างนี้ซ้ำไปซ้ำมา หันไปเห็นโดยบังเอิญว่าในบาตรมีน้ำใสอยู่จึงดื่มเข้าไปหนึ่งอึก ทั้งที่เป็นช่วงกลางฤดูหนาว แต่น้ำใสในบาตรกลับค่อนข้างอุ่น นี่จึงทำให้ลิงน้อยรู้สึกสบาย เริ่มไม่กลัวหลวงจีนผู้นั้น ดวงตากลมโตจ้องเป๋งไปยังเจ้าคนหัวโล้นเปลือยเท้าผู้นั้นด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความไม่เข้าใจ
หลังจากท่องคัมภีร์บทหนึ่งจบ หลวงจีนก็ลืมตาแล้วลุกขึ้นยืน ลิงน้อยขยับตัวหลบซ่อน หลวงจีนทำเพียงแค่ค้อมตัวหยิบบาตรขึ้นมาแล้วจากไป
ลิงน้อยจับเสาไม้ มองแผ่นหลังของหลวงจีนที่หายไปท่ามกลางหมู่มวลชนที่เบียดเสียดอย่างรวดเร็ว
มันเรอออกมาเบาๆ อย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ยื่นมือเกาข้างแก้มแห้งตอบไร้เนื้อของตัวเอง กะพริบดวงตากลมโตปริบๆ
หลวงจีนเท้าเปล่าเดินก้มหน้าอยู่ท่ามกลางฝูงชน ต่อให้ถูกคนเดินชนไหล่ก็ไม่เงยหน้าขึ้น กลับกันยังใช้มือขวาวางตั้งไว้ตรงหน้าอก ผงกศีรษะเล็กน้อยแสดงการคารวะ แล้วจึงเดินหน้าต่อไป
ในตลาดมีผู้เฒ่าสติวิปลาสอยู่คนหนึ่ง หัวคิ้วของเขาขมวดเข้าหากันเป็นปม เสื้อผ้าขาดร่องแร่ง เนื้อตัวสกปรกมอมแมม ขอแค่เจอเข้ากับเด็กเล็ก ไม่ว่าผู้ปกครองของพวกเด็กๆ จะรวยหรือจน เขาก็จะต้องขยับเข้าไปใกล้แล้วถามคำถามหนึ่งที่เหมือนกัน ชาวบ้านส่วนใหญ่เห็นกันจนชินตา อย่างมากก็แค่จูงลูกหลานเดินเร็วๆ จากไป แต่ก็มีบางส่วนที่ด่าอย่างไม่จริงจังนัก ยังมีชายฉกรรจ์นิสัยฉุนเฉียวบางคนที่อาจจะผลักผู้เฒ่าวิปลาสออกให้พ้นตัว และตั้งแต่ต้นจนจบ ผู้เฒ่าเสียสติจะเอาแต่เอ่ยคำถามประหลาดนั้นซ้ำๆ
“เด็กบ้านเจ้าตั้งชื่อแล้วหรือยัง?”
มีคนหนุ่มเสเพลกลุ่มหนึ่งที่รู้ความเป็นมาของผู้เฒ่าดีมาขวางทางเขาเอาไว้ คนหนึ่งในนั้นถามด้วยรอยยิ้มชั่วร้าย “ที่บ้านข้ามีเด็กคนหนึ่งยังไม่ได้ตั้งชื่อ เจ้าจะทำไม?”
ผู้เฒ่าหน้าบานทันที เขาดีใจจนแทบจะกระโดดโลดเต้น “ข้าจะตั้งให้ ข้าจะตั้งชื่อให้เอง คราวนี้ข้าต้องตั้งชื่อดีๆ ได้แน่…”
“ตั้งกะปู่เจ้าน่ะสิ!” ผู้เฒ่าถูกคนหนุ่มผู้นั้นถีบเข้าที่หน้าท้องจนหงายหลังผลึ่ง กุมท้องล้มกลิ้งไปบนพื้น
หลวงจีนถือบาตรย่อตัวลงประคองผู้เฒ่าให้ลุกขึ้น อันธพาลกลุ่มนั้นจากไปพร้อมเสียงหัวเราะดังครืน
หลังถูกประคองให้ลุกขึ้น ผู้เฒ่าก็ยื่นมือมาจับแขนหลวงจีนไว้แน่น และยังคงถามคำถามที่ไร้ความเคารพยำเกรงอย่างถึงที่สุดคำถามนั้นกับหลวงจีน “เด็กบ้านเจ้าตั้งชื่อแล้วหรือยัง?”
หลวงจีนวัยกลางคนมองสีหน้าเซ่อซ่าของผู้เฒ่าแล้วส่ายหน้า ช่วยปัดฝุ่นบนร่างให้ผู้เฒ่า ค่อยเดินหน้าต่อไป
ผู้เฒ่ายังคงหาเรื่องลำบากใส่ตัว เรียกคำด่าและอาการค้อนตาจากคนนับไม่ถ้วนอยู่ในตลาด
ภายใต้แสงอาทิตย์แรงจ้า หลวงจีนถือบาตรขอบิณฑบาต หลังผ่านไปได้เจ็ดหลังคาเรือนก็ไม่มีวาสนาอีก อาหารในบาตรหร็อมแหร็ม คิดจะกินให้ท้องอุ่นยังยาก
หลวงจีนเข้าเมืองทางทิศเหนือ ออกจากเมืองทางทิศใต้ คนสัญจรไปมาบนถนนเดินสวนกันขวักไขว่ หลวงจีนก้มหน้าเดิน หากเจอแมลงตัวเล็กก็จะเก็บขึ้นมาแล้ววางลงข้างทางที่ไม่มีคนเดินผ่าน
สุดท้ายพบวัดเก่าที่ถูกทิ้งร้างมานานแห่งหนึ่ง หลวงจีนคารวะด้วยมือข้างเดียวอยู่นอกประตู ก่อนเดินช้าๆ เข้าไปข้างใน
หลังจากกินอาหารในบาตรอยู่บนระเบียงทางเดินใต้ชายคานอกห้องโถงใหญ่ หลวงจีนก็เริ่มนั่งสมาธิเข้าฌาน ฝึกบำเพ็ญตบะต่ออีกครั้ง
ท่ามกลางแสงสายัณห์ ผู้เฒ่าวิปลาสเดินโซซัดโซเซกลับมา เขาบึ่งเข้าไปในห้องโถงใหญ่โดยไม่แม้แต่จะชายตาแลหลวงจีน เดินไปล้มตัวลงนอนบนกองฟางกองหนึ่ง ตลบผ้าห่มผืนบางแหว่งวิ่นขึ้น พยายามดึงมาห่มมือและเท้า กรนครอกๆ เสียงดัง
หนึ่งคืนผ่านไปอย่างปกติสุข
ผู้เฒ่าสกปรกที่ชอบตั้งชื่อให้คนอื่นมั่วซั่วนอนหลับถึงเที่ยงวันกว่าจะตื่นขึ้นมา พอตื่นแล้วก็ออกจากวัดร้าง เข้าไปรวมอยู่กับฝูงชนในเมือง ไม่คิดจะแยแสหลวงจีนวัยกลางคนแม้แต่น้อย ตอนแรกใช่จะไม่มีคนเดาได้ว่า ผู้เฒ่าวิปาลาสจะใช่คนวิเศษที่มีนิสัยประหลาดหรือไม่ ภายหลังถึงได้พบว่าผู้เฒ่าคือคนแก่กะโหลกกะลาอย่างแท้จริง โดนตีก็ไม่เอาคืน โดนด่าก็ไม่ด่ากลับ แถมพอถูกตีเจ็บยังร้องไห้โวยวาย โดนตีหนักเข้าก็เลือดไหลได้เหมือนคนปกติ ถึงท้ายที่สุดจึงมีเพียงพวกอันธพาลเหยียบขี้ไก่ไม่ฝ่อเท่านั้นที่ถึงจะหาเรื่องผู้เฒ่าเพื่อความบันเทิงของตัวเอง
ผู้เฒ่าอาศัยอยู่ในวัดร้างแห่งนี้มาหลายปีแล้ว
เกือบครึ่งปีต่อมา วันเวลาแต่ละวันล่วงเลยผ่านไป หลวงจีนก็มาอาศัยอยู่ที่นี่ชั่วคราว บางครั้งก็เข้าเมืองไปพร้อมผู้เฒ่า ถือบาตรออกบินฑบาตร และบางครั้งก็ออกจากเมืองกลับเข้ามาในวัดพร้อมกับผู้เฒ่า คนทั้งสองไม่เคยพูดคุยกัน แม้แต่จะมองสบตากันก็ยังน้อยครั้ง ทุกครั้งที่พบหลวงจีน ผู้เฒ่าวิปลาสจะทำหน้างงงัน จำอะไรไม่ได้ทั้งสิ้น
คืนนี้ฝนเทกระหน่ำพร้อมฟ้าคำรามกระหึ่มก้อง
ท่ามกลางสายลมที่ซัดสาดและเม็ดฝนหนาถี่ ต่อให้ตะโกนเรียกในระยะประชิดก็คงได้ยินไม่ชัดเจนนัก
ทุกครั้งที่เสียงฟ้าร้องดังครืนครั่น ผู้เฒ่าที่นอนขดตัวอยู่บนกองฟางจะต้องสะดุ้งตกใจตัวสั่นระริก ไม่รู้ว่าผู้เฒ่าที่นอนหลับสนิทนึกถึงเรื่องเศร้าอะไร หรือว่าฝันร้ายถึงเรื่องใด มือสองข้างของเขาถึงได้กำแน่น ร่างขึงเกร็ง พึมพำซ้ำไปซ้ำมาไม่หยุด “เป็นปู่ที่ตั้งชื่อไม่ดี เป็นปู่ที่ทำร้ายเจ้า เป็นปู่ที่ทำร้ายเจ้าแท้ๆ”
ใบหน้าแห้งตอบแก่ชรานั้นไม่มีน้ำตาเหลือให้ไหลนานแล้ว ทว่านี่กลับยิ่งทำให้สีหน้าของเขาดูร้าวรานใจมากเป็นพิเศษ
เมื่อเสียงฟ้าร้องถี่กระชั้นเปลี่ยนมาเป็นขาดๆ หายๆ แม้ว่าเม็ดฝนจะยังถี่หนา พลังอำนาจน่าพรั่นพรึง ทว่าเสียงพึมพำของผู้เฒ่ากลับค่อยๆ แผ่วจางลงไป
แต่ขณะที่ผู้เฒ่ากำลังจะหลับลึกนั้นเอง หลวงจีนกลับงอนิ้วแล้วเคาะเบาๆ หนึ่งที
ติ๊ง!
ประหนึ่งเสียงปลาไม้ที่ดังกังวานไปทั่ววัดร้าง
ประหนึ่งเสียงฟ้าผ่าในฤดูใบไม้ผลิที่ก้องกระหึ่มภายใต้ชายคาระเบียง
ผู้เฒ่าสะดุ้งโหยง ผุดลุกขึ้นนั่ง กวาดตามองไปรอบด้าน ตอนแรกยังมึนงง จากนั้นถึงคืนสติ สุดท้ายลุกขึ้นยืนด้วยสีหน้าเจ็บปวดขมขื่น เดินออกไปนอกห้องโถงใหญ่ ระหว่างที่เดินผู้เฒ่าร่างเล็กเตี้ยที่เสื้อผ้าขาดวิ่นแผ่พลังอันดุดัน ประหนึ่งพยัคฆ์ที่ลงจากภูเขา ดุจมังกรข้ามแม่น้ำ เพียงแต่ว่าถึงแม้พลังอำนาจจะน่าครั่นคร้าม ร่างกายของผู้เฒ่ากลับอ่อนแออย่างถึงที่สุด
ก็แค่บารมีที่ยังเหลือค้างของเสือที่ตายไปแล้วเท่านั้น
ผู้เฒ่าเดินออกไปนอกวัด เงยหน้ามองฟ้าไร้คำพูดอยู่เนิ่นนาน สุดท้ายก็เหลือเพียงความเศร้าอาลัย
หลวงจีนเอ่ยเบาๆ “ผู้มีรักล้วนมีทุกข์”
ผู้เฒ่าหลุดหัวเราะพรืด ไม่แม้แต่จะปรายตามองหลวงจีน “ทุกข์อะไรกัน! ข้าผู้อาวุโสเต็มใจ! เซียนที่ตัดขาดอารมณ์และความปรารถนาจะมีความสุขได้อย่างไร? ชีวิตอมตะมองการณ์ไกลกะผีน่ะสิ แต่ละคนวางตัวสูงส่งเหนือผู้อื่น จดจำแค่เซียน ลืมมนุษย์หมดสิ้น…ฮ่าๆ ชาวบ้านธรรมดาที่ลืมรากเหง้าของตัวเองต้องถูกฟ้าผ่าถูกสวรรค์ลงทัณฑ์ เทพเซียนที่ลืมรากเหง้าตัวเองกลับถือว่าเป็นเทพเซียนที่แท้จริง ช่างน่าขันยิ่งนัก…”
หลวงจีนวัยกลางคนเอ่ยอีกว่า “สรรพสัตว์ล้วนมีความทุกข์”
ผู้เฒ่าเงียบงัน ทรุดตัวลงนั่งขัดสมาธิ วางสองหมัดที่กำแน่นไว้บนหัวเข่า เอ่ยหยันตัวเอง “เหมือนอยู่ห่างไกลกันคนละโลก”
ยามฟ้าสาง ผู้เฒ่าที่ไม่รู้ว่าผล็อยหลับไปตั้งแต่เมื่อไหร่พลันสะดุ้งตื่น เป็นอีกครั้งที่ดวงตาของเขาขุ่นมัว หลังจากนั้นเขาก็ใช้ชีวิตด้วยความเลอะเลือนผ่านไปอีกวัน
เป็นแบบนี้ไปอีกประมาณหนึ่งเดือนกว่า ค่ำคืนหนึ่งที่พระจันทร์เต็มดวง ในที่สุดผู้เฒ่าก็คืนสติ เพียงแต่ว่าคราวนี้จิงชี่เสินตลอดทั้งร่างของเขาเทียบเท่ากับก่อนหน้านี้ไม่ได้อีกแล้ว เริ่มชราภาพและทรุดโทรมลงเรื่อยๆ
เขานั่งอยู่บนระเบียงกับหลวงจีน มองพระจันทร์เต็มดวงดวงนั้นแล้วผู้เฒ่าก็พึมพำกับตัวเอง “หลานชายของข้าฉลาดมาก เป็นเมล็ดพันธ์บัณฑิตที่ฉลาดที่สุดในใต้หล้า น่าเสียดายที่แค่แซ่ชุยก็ถือว่าซวยแล้ว มาเจอกับปู่อย่างข้าก็ยิ่งซวยเข้าไปอีก ไม่ควรเป็นอย่างนี้ ไม่ควรเป็นอย่างนี้เลย…”
ไม่มีเสียงตอบรับมาจากหลวงจีนวัยกลางคน
เคยมีคนสกุลชุยในแจกันสมบัติทวีปกล่าวไว้ว่า ‘มีวัดไร้หลวงจีน สายลมกวาดพื้น มีธูปไร้ควัน แสงจันทร์ส่องสว่าง’
หลังจากเข้าหน้าหนาว หิมะใหญ่ก็พากันตกลงมา ผู้เฒ่านอนหลับอยู่ในวัด ฟันกระทบกันดังกึกๆ สีหน้าเขียวคล้ำราวกับว่าจะมีชีวิตไม่พ้นไปจากฤดูหนาวอันหนาวเหน็บครานี้ หลวงจีนถือบาตรเดินเข้ามา ส่งแผ่นแป้งอุ่นร้อนชิ้นหนึ่งให้กับผู้เฒ่า หลังจากรับไปอย่างงงๆ ผู้เฒ่าก็ขว้างมันลงบนพื้น สายตาที่คล้ายจะกลับคืนสู่ความมีสติบ้างเล็กน้อยหันมองหลวงจีนที่เก็บแผ่นแป้งขึ้นมาแล้วยื่นส่งให้เขาใหม่อีกครั้ง ผู้เฒ่าส่ายหน้า “ข้ามีชีวิตอยู่ก็เพราะอยากพบหน้าหลานชายอีกสักครั้ง หาไม่แล้วข้าคงตายตาไม่หลับ ความแค้นนี้ข้าไม่อาจกลืนมันกลับลงไป ไม่อาจตัดมันได้ขาด! ข้าอยากจะขอโทษเขาสักครั้ง เป็นปู่ที่ผิดต่อเขา…ข้าจะเป็นบ้าไม่ได้ ข้าต้องมีสติ พระคุณเจ้าช่วยข้าด้วย!”
มือข้างหนึ่งของผู้เฒ่ากำแขนหลวงจีนไว้แน่น “พระคุณเจ้า ขอแค่ท่านช่วยให้ข้าได้พบหลานชายอย่างมีสติ จะให้ข้าเป็นวัวเป็นม้าให้ท่านก็ได้…ข้าจะโขกหัวคำนับท่าน ข้าจะปาวรณาตัวเป็นลูกศิษย์ท่านเดี๋ยวนี้! ใช่ๆๆ พระคุณท่านมีคาถาอาคมเลิศล้ำ จะต้องช่วยให้ข้าหลุดพ้นจากทะเลแห่งความทุกข์ได้แน่…”
ผู้เฒ่าที่ตื่นขึ้นมาในครั้งนี้ จิงชี่เสินลดต่ำดุจไม้แห้งเหี่ยว เกิดลางว่าจะเป็นตะเกียงที่น้ำมันแห้งขอด สติก็คล้ายจะไม่แจ่มชัดอีกต่อไป
หลวงจีนเอ่ยเสียงเรียบ “ไม่ว่าจะอย่างไรก็วางทิฐิลงไม่ได้งั้นหรือ? ต่อให้เจ้าได้พบกับเขา เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้วยังจะทำอะไรได้อีก?”
ผู้เฒ่าสีหน้าขมขื่น “จะให้วางลงได้อย่างไร? ไม่ใช่เรื่องของข้าคนเดียวสักหน่อย วางไม่ลง ชั่วชีวิตนี้ก็วางไม่ลง”
หลวงจีนวัยกลางคนครุ่นคิด “ในเมื่อวางไม่ลง ถ้าอย่างนั้นก็หยิบขึ้นมาก่อน”
ผู้เฒ่าถามอย่างโง่งม “หยิบอย่างไร?”
หลวงจีนตอบ “ไปต้าหลี”
ผู้เฒ่าพยักหน้ารับ “ใช่ๆ หลานชายคนนั้นของข้าอยู่ที่ต้าหลี”
ผู้เฒ่าส่ายหน้า “หลานชายของเจ้าอยู่ที่ต้าสุย แต่อาจารย์ของหลานชายเจ้าอยู่ที่อำเภอหลงเฉวียนต้าหลี”
ผู้เฒ่าหวาดผวา ถอยกรูดไปด้านหลัง เอาตัวชิดติดกำแพง ส่ายหน้าอย่างแรง “ข้าไม่อยากเจอเหวินเซิ่ง…”
ครู่หนึ่งต่อมา ผู้เฒ่าก็เปลี่ยนอารมณ์เป็นเกรี้ยวกราด “หากเจ้าคิดจะทำร้ายข้าก็ตีข้าให้ตายไปซะ แต่หากเจ้าคิดจะทำร้ายหลานชายของข้า ข้าก็จะต่อยร่างทองคำของเจ้าให้เละด้วยหมัดเดียว! ต่อให้ศาสดาลัทธิพุทธของเจ้ามาเอง ข้าก็จะออกหมัดเหมือนกัน!”
ขาดคำ ผู้เฒ่าก็ดิ้นรนลุกขึ้นยืน พลังอำนาจกร้าวกล้าดุดัน ถึงขนาดไม่เป็นรองผู้ฝึกยุทธ์เต็มตัวสองคนที่ประมือกันในถ้ำสวรรค์หลีจูของต้าหลีเลยแม้แต่น้อย
แต่เอาเข้าจริงก็เหลือแค่พลังน้อยนิดที่ได้แต่ขู่ขวัญตบตาคนอื่นเท่านั้น
หลวงจีนสีหน้านิ่งเฉยเป็นปกติ ก้มหน้าลงมองบาตรที่อยู่ในมือ น้ำใสในบาตรกระเพื่อมเป็นริ้ว “พระพุทธเจ้าพิจารณาน้ำในบาตร เห็นสิ่งมีชีวิตนับอนันต์”
ผู้เฒ่าขมวดคิ้ว “ลาหัวโล้น (คำเรียกหมิ่นเกียรติพระสงฆ์) อย่าคิดใช้คารมคมคายกับข้าผู้อาวุโส!”
หลวงจีนหันหน้ากลับไปมอง ยกบาตรขึ้นเบาๆ “นี่ก็คือส่วนที่น่าสนใจที่สุดของหลานชายเจ้า เพราะเขามองเห็นส่วนที่ ‘เล็ก’ อาตมารู้สึกว่าสามารถพูดคุยกับอาจารย์ของเขาดูได้”
สายตาของผู้เฒ่าเด็ดเดี่ยว “พระคุณเจ้าแผนการของท่านช่างลึกล้ำ ข้าผู้อาวุโสไม่มีทางรับปากท่านเป็นแน่”
หลวงจีนถอนหายใจหนึ่งที “ต้นหญ้าไร้ราก” (ต้นหญ้าที่ขาดรากต่อให้แช่อยู่ในน้ำก็ไม่มีทางเติบโตได้อีก เปรียบเปรยเหมือนคนที่ไร้สติปัญญาจะรับฟังคำสั่งสอน)
แล้วหลวงจีนก็หมุนกายจากไปทั้งอย่างนี้
ผู้เฒ่ารีบทำเวลานั่งสมาธิเข้าฌาน เริ่มกำหนดลมหายใจเข้าออก กล้ามเนื้อทั้งร่างที่แต่เดิมแห้งเหี่ยวเริ่มค่อยๆ ส่องแสงสีทองเปล่งประกาย
จากนั้นผู้เฒ่าก็ใช้ปลายนิ้วสลักห้าคำว่า ‘อำเภอหลงเฉวียนต้าหลี’ ลงกลางฝ่ามือของตัวเองจนแยกเลือดกับเนื้อไม่ออก พร่ำบอกตัวเองไม่หยุดว่า “ไปที่แห่งนี้ ต้องไปที่แห่งนี้ให้ได้ แค่มองไม่พูด ไม่ถามไม่ทำ” ทะเลสาบในหัวใจเกิดคลื่นกระเพื่อมไหว เสียงแห่งหัวใจสลักลึกตราตรึง
ผู้เฒ่ากลับเข้าไปในวัด หัวถึงหมอนก็หลับสนิท
ด้านนอกหิมะตกหนักมากขึ้นเรื่อยๆ เพียงแต่ว่าไอหนาวที่พัดมาเป็นระลอกเพิ่งจะย่างกรายเข้าใกล้ประตูวัดก็สลายไปเองก่อนแล้ว
—–