ตอนที่ 178.2 ข้ามองเห็นภูเขาลูกหนึ่ง

บทที่ 178.2 ข้ามองเห็นภูเขาลูกหนึ่ง
โดย

ห้าวันต่อมา พายุหิมะเริ่มลดระดับความรุนแรงลง การเดินทางในช่วงหลังจึงไม่ยากลำบากมากเกินไปนัก

ระหว่างนี้คนทั้งสามเดินทางอ้อมผ่านด่านสองแห่งและปล่องส่งสัญญาควันเล็กใหญ่อีกสิบกว่าแห่ง

เฉินผิงอันยังคงหาเรื่องลำบากใส่ตัว ทุกวันนอกจากฝึกวิชาหมัดแล้วยังขอให้เด็กชายชุดเขียวช่วยขัดเกลาศิลปะการต่อสู้ และมักจะถูกฝ่ายหลังต่อยให้จมลึกลงไปในกองหิมะจนมองไม่เห็นตัวคน

ทว่าขอบเขตสองก็ยังคงเป็นขอบเขตสองที่น่าสงสาร การพัฒนาด้านวิถีวรยุทธ์ของเฉินผิงอันนั้นต้องเรียกว่าแม้ฟ้าผ่าก็ยังนิ่งขึงไม่ไหวติงอย่างแท้จริง

เด็กชายชุดเขียวไม่รู้ว่าควรจะสงสารในความโชคร้ายของอีกฝ่าย หรือเจ็บใจในความไม่เอาไหนของอีกฝ่ายดี มีหลายครั้งที่หนักมือไป ทำเอานายท่านที่ดื้อรั้นหัวทึบของเขาปลิวกระเด็นไปดังว่าวที่สายป่านขาด ต้องดิ้นรนอยู่นานกว่าจะลุกขึ้นยืนได้ เด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูที่ชมศึกอยู่ด้านข้างต้องหันหน้าไปทางอื่นด้วยทนมองไม่ไหว

ท่ามกลางการเดินทางกลับบ้านเกิดที่แต่ละวันผ่านพ้นไปอย่างเดิมๆ นี้ หิมะแรกของปีก็ได้ปิดฉากลง ในที่สุดคนทั้งสามก็เดินทางมาถึงเมืองที่ในแผนที่ระบุไว้ว่าชื่ออำเภอเฟิงหย่า เพราะเฉินผิงอันเลือกเส้นทางกลับบ้านที่ผ่านภูเขาทิศตะวันตก ดังนั้นจึงไม่ผ่านเส้นทางที่มีแม่น้ำซิ่วฮวา เมืองหงจู๋และภูเขาฉีตุน

เฉินผิงอันอยากจะเดินทางผ่านสถานที่ที่ไม่คุ้นเคยให้มากสักหน่อย

อ่านหนังสือหลายๆ เล่ม รู้จักตัวอักษรพันกว่าตัว เดินทางหมื่นลี้ ฝึกหมัดครบหนึ่งล้านครั้ง นี่ก็คือเป้าหมายของเฉินผิงอันในเวลานี้ซึ่งจำเป็นต้องให้เขาเดินออกไปทีละก้าว การเดินทางกลับบ้านเกิดของเฉินผิงอันในครั้งนี้ผ่านไปอย่างคุ้มค่าในทุกๆ วัน แน่นอนว่าต้องเผชิญกับความยากลำบากไม่น้อย เมื่อเทียบกับตอนเดินทางไปขอศึกษาต่อที่สำนักศึกษาของต้าสุย เขามีเวลาเพิ่มขึ้นกว่าเดิม จึงอาศัยการฝึกวิชาหมัดมาขัดเกลาร่างกาย ใช้โชคชะตามาหล่อหลอมจิตวิญญาณ ดั่งน้ำหยดลงบนหิน ดั่งนกนางแอ่นคาบโคลนมาก่อรังทุกวัน ค่อยๆ ชดเชยส่วนที่สึกหรอไปทีละนิด

เด็กชายชุดเขียวรู้สึกว่าเขาใช้เวลาหมดไปอย่างสิ้นเปลือง แต่เฉินผิงอันสามารถสัมผัสได้ถึงข้อดีของการสั่งสมทีละนิดนี้อย่างชัดเจน ความรู้สึกนี้เหมือนตอนที่เด็กหนุ่มช่างเผาเครื่องปั้นแห่งตรอกหนีผิงขยันทำงานอย่างมุมานะทุกคืนวันแล้วได้เงินเหรียญทองแดงเข้ามาอยู่ในกระเป๋าเพิ่ม ความรู้สึกที่สะสมทรัพย์สมบัติให้เพิ่มพูนขึ้นมาได้ คนอื่นอาจรู้สึกว่าน่าเบื่อ แต่ตัวเฉินผิงอันเองกลับรู้สึกดีอย่างถึงที่สุด!

เข้ามาในตลาดที่คึกคักของอำเภอใกล้ช่วงสิ้นปี เมืองเฟิงหย่าไม่เหมือนกับเมืองอื่นๆ กลิ่นอายปัญญาชนของที่นี่เข้มข้นกว่า เพราะเห็นได้ชัดว่ามีร้านขายหนังสืออยู่เยอะมาก แน่นอนว่าไม่ต้องหวังถึงตำราที่จัดพิมพ์เล่มเดียวหรือหนังสือหายาก ส่วนใหญ่ล้วนเป็นหนังสือพิมพ์จากแม่พิมพ์แกะสลักที่ถูกทำขึ้นอย่างหยาบๆ และราคาถูก ตัวอักษรที่แกะสลักผิดและแกะสลักตกหล่นมีเยอะมาก เด็กชายชุดเขียวและเด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูต่างก็มีสายตาที่มองแต่จุดสูง คนหนึ่งมีชาติกำเนิดสูงส่ง เห็นของดีมาจนชินตา อีกคนหนึ่งก็อยู่กับตำราของเหล่านักปราชญ์เมธีมาตั้งแต่เด็ก

ดังนั้นจึงมีแต่เฉินผิงอันที่เข้าร้านหนังสือเหล่านั้นอย่างจริงจัง เขาชื่นชอบหนังสือชุดชื่อว่า ‘พูดคุยเรื่องภูเขาหยกเผาไหม้หิมะ’ ที่ยาวถึงสิบสองเล่มมากจนวางมือไม่ลง น่าเสียดายที่ที่ว่างในตะกร้าสะพายหลังเหลือไม่มาก ไม่สามารถบรรจุหนังสือชุดใหญ่ขนาดนั้นได้ อีกทั้งราคายังแพงมาก จึงได้แต่ถอยไปเลือกอันดับรองลงมาโดยการซื้อหนังสือของผู้แต่งเฉิงสุ่ยตงที่ชื่อว่า ‘ชุดดาบเหล็กสะบัดเบา’

เจ้าของร้านสูงวัยชื่นชมจากใจจริงว่าคุณชายช่างสายตาเฉียบแหลม จากนั้นก็อธิบายว่านี่คือผลงานของซือหลางเฒ่าแห่งแคว้นหวงถิง ตอนนี้ซื้อเก็บไว้ย่อมไม่ขาดทุนแน่นอน เพราะในตลาดมีข่าวลือว่าอีกไม่นานคนผู้นั้นจะออกมาจากภูเขาอีกครั้งเพื่อรับตำแหน่งรองเจ้าขุนเขาของสำนักศึกษาแห่งใหม่ในต้าหลี

ท่ามกลางม่านราตรี เฉินผิงอันที่กลับบ้านมาพร้อมของเต็มมือเลือกพักในโรงเตี๊ยมที่เรียบง่ายแห่งหนึ่ง เช่าห้องสองห้องที่อยู่ติดกัน ให้เด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูพักห้องหนึ่งคนเดียว

เด็กชายชุดเขียวเดินข้ามธรณีประตูตามหลังเฉินผิงอันเข้ามาก็ย่นจมูกทำสีหน้ารังเกียจทันที โบกมือตรงหน้าจมูกตัวเองอย่างแรงเพื่อปัดกลิ่นเหม็นเปรี้ยวที่หมักหมมมานานปีให้สลายออกไป แล้วก็ไม่เสียแรงที่เป็นงูน้ำซึ่งฝึกตนจนมีสติปัญญา กลิ่นที่ไม่ว่าจะเช็ดถูอย่างไรก็ยากจะเจือจางล้วนถูกเด็กชายชุดเขียวขับไล่ออกไปนอกหน้าต่างจนหมด

หลังปิดประตู เฉินผิงอันก็กางแผนที่ทางทิศใต้ของต้าหลีลงบนโต๊ะ เพราะแผนที่ภูมิศาสตร์ที่ถูกปิดบังเป็นความลับแผ่นนี้มักจะมีแค่คนของทางการเท่านั้นที่ได้ครอบครอง หากชาวบ้านมีเก็บไว้ถือเป็นโทษมหันต์ เฉินผิงอันมองเห็นว่าระหว่างอำเภอเฟิงหย่ากับอำเภอหลงเฉวียนถูกขวางกั้นด้วยระยะทางแค่หกร้อยลี้เท่านั้น ครึ่งหนึ่งเป็นถนนทางหลวงที่พวกพ่อค้าใช้กัน อีกครึ่งหนึ่งคือทางน้ำของแม่น้ำชงตั้นที่ค่อนข้างเดินทางได้ยากลำบาก เมื่อเทียบกับหนทางยาวไกลทั้งไปและกลับในครั้งนี้แล้ว ระยะทางหกร้อยลี้จึงเรียกได้ว่าใกล้ในระยะประชิด

เฉินผิงอันกินอาหารเสร็จเรียบร้อยก็เริ่มฝึกท่าเจี้ยนหลู

มีเสียงสบถด่าของสตรีออกเรือนแล้วดังมาพร้อมกับเสียงวิงวอนของเถ้าแก่โรงเตี๊ยมอยู่เป็นระยะ

ช่างคล้ายกับสภาพการณ์ในตรอกซิ่งฮวา ตรอกหนีผิงที่บ้านเกิดยิ่งนัก

เพียงแต่ว่าตอนนั้นมารดาของกู้ช่านยังอยู่ แม่ย่าหม่าที่ปากคอเราะร้ายยังไม่ตาย ทุกวันจะต้องมีเสียงท่องตำราของเด็กนักเรียนในโรงเรียนดังแว่วๆ มายังบ่อโซ่เหล็ก

เมื่อกลับไปครานี้ ต้นไหวโบราณไม่อยู่แล้ว คนเฝ้าประตูก็ไม่อยู่แล้ว วันที่สามสิบก่อนสิ้นปีของปีนี้ หน้าประตูบ้านของเพื่อนบ้านในตรอกหนีผิงถูกกำหนดไว้แล้วว่าจะไม่มีกลอนคู่อวยพรวันปีใหม่ที่เต็มไปด้วยความมงคลมาแปะ

เฉินผิงอันถอนหายใจ เก็บท่ายืนนิ่งเจี้ยนหลู เดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าต่าง หยิบตัวอ่อนกระบี่สีเงินก้อนนั้นออกมาจากในกระเป๋าเล็กๆ ที่ตั้งใจเย็บเพิ่มไว้ในชายแขนเสื้อ เอามาถือในกำมือแล้วลูบคลึงเบาๆ

จู่ๆ เด็กชายชุดเขียวก็ตวาดเดือดดาลอย่างไร้สาเหตุ “รนหาที่ตาย!”

เฉินผิงอันได้ยินเสียงจึงหันไปมอง เห็นเพียงว่าเด็กชายชุดเขียวใช้สองนิ้วคีบกลุ่มควันสีเทาที่ล่องลอยกลุ่มหนึ่ง แล้วพลันบีบแน่นจนเกิดเสียงลั่นเปรี๊ยะๆ ควันเทาเริ่มสลายหายไป พอจะได้ยินเสียงร้องโหยหวนดังมาเลือนๆ

เห็นสีหน้าสงสัยของเฉินผิงอัน เด็กชายชุดเขียวก็รีบนำเสนอความดีความชอบอย่างร่าเริงทันที “นายท่าน ปีศาจน้อยที่ไม่รู้จักกลัวตายตัวนี้ถูกข้าบีบจนระเบิดไปแล้ว! กล้ามาก่อกวนในถิ่นของนายท่าน คงเบื่อที่จะมีชีวิตอยู่แล้วจริงๆ!”

เด็กชายชุดเขียวชี้ไปยังควันที่สลายไปรอบด้าน “มันมีชื่อว่าปีศาจข้างหมอน ไม่มีร่างที่แท้จริง ที่ใดก็ตามที่เจ้าตัวนี้ผ่านไปจะเกิดกระแสลมเล็กน้อย ซึ่งเป็นหนึ่งในลมชั่วร้ายมากมายที่มีอยู่ในโลก มันชอบตามหญิงปากตลาดจิตใจชั่วร้ายมากที่สุด เวลาใดที่พวกนางขยับปาก ภูตชนิดนี้ก็จะแอบปรากฏตัวออกมาเก็บรวบรวมลมนั้นมาไว้ สุดท้ายจะสามารถยุยงความสัมพันธ์ระหว่างญาติมิตร โดยเฉพาะสามีภรรยา คำว่าลมข้างหมอนที่พวกชาวบ้านชอบพูดก็มาจากฝีมือการแสดงที่พวกมันถนัดนี่แหละ”

เฉินผิงอันถอนหายใจ พูดยิ้มๆ “วันหน้าหากเจอภูตหรือปีศาจเช่นนี้อีกแค่ขับไล่มันไปก็พอแล้ว ไม่ต้องฆ่าแกงกันหรอก”

เด็กชายชุดเขียวร้องอ้อหนึ่งที เอียงคอถาม “นายท่าน ท่านมีใจเมตตาดุจพระโพธิสัตว์ไม่ใช่หรือ เหตุใดพอเจอกับภูตผีที่สร้างเรื่องวุ่นวายเช่นนี้ถึงไม่ช่วยทวงคืนความยุติธรรมแทนสวรรค์ล่ะ?”

เฉินผิงอันไม่รู้ว่าจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี “อะไรคือช่วยทวงคืนความยุติธรรมแทนสวรรค์ ข้าไม่ได้มีความสามารถมากขนาดนั้น…”

แต่แล้วเฉินผิงอันก็รีบหยุดพูด ไม่เอ่ยอะไรอีก

เด็กชายชุดเขียวพลันเกิดความรู้สึกผิดหวังอย่างบอกไม่ถูก

เพราะไม่ได้ยินหลักการใหญ่จากนายท่านผู้เป็นคนดีเกินเหตุ

เมื่อก่อนที่ได้ฟังมักจะรู้สึกเบื่อหน่ายและรำคาญ แต่หลังจากครานั้นที่อยู่ในศาลเทพฝ่ายบู๊ เฉินผิงอันก็ไม่เคยพูดถึงอีกแม้แต่ครั้งเดียว และนั่นถึงกับทำให้เขารู้สึกเบื่อหน่ายยิ่งกว่าเดิม

เด็กชายชุดเขียวนอนฟุบอยู่บนโต๊ะครู่หนึ่ง รู้สึกว่าตัวเองป่วยไม่เบาจึงปีนขึ้นไปบนโต๊ะมันเสียเลย จากนั้นนอนกางแขนกางขา ลืมตามองเพดานอย่างหมดอาลัยตายอยาก เห็นใยแมงมุมรังเล็กๆ ที่ไม่มีเจ้าของอยู่เฝ้า มองอยู่นานก่อนที่เด็กชายชุดเขียวจะพลิกตัวกลับไปกลับมาบนโต๊ะ

เด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูที่อยู่อีกห้องปูผ้าบนเตียงเรียบร้อยแล้วก็วิ่งมาจัดการให้กับนายท่าน ไม่ลืมที่จะสะพายหีบหนังสือของชุยตงซานมาด้วย ตลอดระยะทางที่นอนกลางดินกินกลางทราย นางคอยปกป้องหีบหนังสือไว้ตลอดเวลา เห็นได้ชัดว่า การร่ายวิชาอภินิหารของเด็กหนุ่มชุดขาวในหอหนังสือสกุลเฉาแห่งจือหลันในครั้งนั้นได้สร้างเงามืดไว้ในใจนางใหญ่เท่าใด

เฉินผิงอันเก็บ ‘ก้อนเงิน’ ก้อนนั้นกลับไปไว้ที่เดิมอีกครั้ง เดินมาทางโต๊ะ เด็กชายชุดเขียวรีบกลับมานั่งลงบนเก้าอี้ เฉินผิงอันหยิบหนังสือ ‘ชุดดาบเหล็กสะบัดเบา’ ที่ยังคงมีกลิ่นหอมของหมึกออกมาจากตะกร้าสะพายหลัง เด็กชายชุดเขียวกุลีกุจอยกตะเกียงน้ำมันมาให้ ช่วยจุดไส้ตะเกียงให้ นายบ่าวสามคนแยกกันนั่งคนละฝั่ง

เด็กชายชุดเขียวไม่กล้ารบกวนเฉินผิงอันที่กำลังอ่านหนังสือ จึงหันไปถามเด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามด้วยรอยยิ้ม “อีกไม่นานก็จะได้กินหินดีงูก้อนหนึ่งแล้วเลื่อนขั้นเป็นห้าขอบเขตกลาง ดีใจมากเลยใช่ไหมล่ะ?”

มีเฉินผิงอันอยู่ข้างกาย ความกล้าของเด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูจึงมีมากกว่ายามปกติ “เจ้าอย่าได้หวังว่าจะฮุบหินดีงูก้อนนั้นของข้าไปได้”

เด็กชายชุดเขียวหัวเราะหึหึ “นายท่านบอกข้าเป็นการส่วนตัวแล้วว่า หินดีงูมีการแบ่งขนาดเล็กใหญ่และระดับสูงต่ำ ตลอดทางมานี้เด็กโง่อย่างเจ้าไม่มีคุณความชอบแล้วก็ไม่มีคุณความเหนื่อยยาก ไร้ประโยชน์ที่สุด ดังนั้นจะให้ก้อนที่แย่ที่สุดและเล็กที่สุดกับเจ้า ข้าป้อนหมัดให้นายท่านเยอะขนาดนั้น ก้อนที่ข้าจะได้จึงใหญ่ที่สุดและดีที่สุด ก้อนหนึ่งใหญ่กว่าก้อนของเจ้าสิบเท่า”

เด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูหันขวับไปมองเฉินผิงอันทันใด

เฉินผิงอันเปิดหนังสือไปอีกหน้าหนึ่งพลางพูดยิ้มๆ “อย่าไปฟังเขาพูดเหลวไหล”

เด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูถลึงตาใส่เด็กชายชุดเขียวที่รายงานข่าวเท็จ

เด็กชายชุดเขียวตบโต๊ะดังป้าบ “จะก่อกบฏรึ?!”

เด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูย้ายมานั่งข้างเฉินผิงอัน

เฉินผิงอันเคยชินเสียแล้วจึงไม่ได้จงใจพูดเข้าข้างงูหลามไฟน้อย เพียงแค่อ่านหนังสือไปเงียบๆ

อาศัยแสงเหลืองสลัวรองจากตะเกียงน้ำมันดวงนั้น เฉินผิงอันพลิกเปิดหน้าหนังสือไปทีละหน้า ระหว่างนั้นยังหยิบเอาแผ่นไม้ไผ่ของเขาฉีตุนแผ่นหนึ่งที่เหลืออยู่ และมีดแกะสลักอันเล็กที่เจ้าของร้านขายปิ่นหยกมอบให้ออกมา เมื่ออ่านพบประโยคดีๆ สะดุดใจก็จะใช้มีดแกะสลักลงไปบนแผ่นไม้ไผ่

เด็กชายชุดเขียวเอาแก้มแนบโต๊ะ กลอกตาไปมา ทำท่าลับๆ ล่อๆ

เด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูไม่กล้าสบตากับเขาเลยขยับเข้าไปใกล้นายท่านของตัวเอง มองดูเฉินผิงอันอ่านหนังสือหรือไม่ก็สลักตัวอักษร

เฉินผิงอันพลันขมวดคิ้วแน่น ลังเลอยู่ชั่วครู่ก็ถามว่า “ในหนังสือบอกว่าเมื่อร่ำรวยมีเงินทองแล้วควรต้องซ่อมถนนสร้างสะพาน ห้ามสร้างสุสานหรูหราขนาดใหญ่ยักษ์”

เด็กชายชุดเขียวพ่นเสียงขึ้นจมูก แต่ไม่ได้พูดอะไร ยังคงวางท่าเหมือนคนกึ่งตายอยู่อย่างนั้น

เด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูพยักหน้าเอ่ยเสียงเบา “นายท่าน บัณฑิตบางคนให้ความสำคัญกับเรื่องนี้ หวังว่าพอมีเงินแล้วจะทำบุญสะสมความดี สร้างประโยชน์และความสุขต่อบ้านเมือง”

เฉินผิงอันรู้สึกจนใจเล็กน้อย เดิมทีเขาคิดว่าเมื่อกลับไปถึงบ้านเกิดจะรีบทุ่มเงินสร้างสุสานขนาดใหญ่ให้กับบิดามารดาก่อนจะถึงวันสิ้นปี เอาให้ยิ่งใหญ่อลังการ ไม่ต้องเป็นเพียงแค่หลุมศพที่ไม่เหมือนหลุมศพเพราะไม่มีแม้แต่ป้ายหินจารึกด้านหน้าหลุมอีกต่อไป

เด็กชายชุดเขียวอดไม่ไหวจึงเอ่ยขึ้นว่า “นายท่าน ตอนนี้ท่านไม่ใช่บัณฑิตเสียหน่อย จะพิถีพิถันในเรื่องนี้ไปทำไม? อีกอย่างหากเป็นกังวลจริงๆ ก็ซ่อมถนนสร้างสะพานไปพร้อมกันทีเดียวเลยสิ ถึงเวลานั้นข้าจะช่วยท่านเอง พวกเราไม่เพียงแต่จ่ายเงิน ยังออกแรงด้วยตัวเอง สวรรค์ย่อมไม่มีคำตำหนิใดๆ อีก”

เฉินผิงอันพลันกระจ่างแจ้ง ปมในใจที่เพิ่งผูกขึ้นถูกคลายออกอย่างรวดเร็ว หันหน้าไปมองเด็กชายชุดเขียว ยกนิ้วโป้งให้ กล่าวอย่างดีใจว่า “ดีเยี่ยม! เจ้าพูดถูกแล้ว!”

เด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูดีใจไปพร้อมนายท่านของนางด้วย

เด็กชายชุดเขียวอึ้งตะลึง ก่อนจะรีบก้มหน้าลงเพราะเกือบกลั้นน้ำตาเอาไว้ไม่อยู่

……

เดินไปเดินมา เดินผ่านทางหลวงและทางน้ำ ในที่สุดหนึ่งผู้ใหญ่สองเด็กที่อยู่ร่วมกันอย่างปรองดองก็มองเห็นเค้าโครงของภูเขาสูงลูกหนึ่งที่ตั้งตระหง่านค่อนข้างโดดเดี่ยว

เฉินผิงอันหยุดเดิน ยื่นมือซ้ายขวาออกไปตบศีรษะของเด็กชายชุดเขียวและเด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูเบาๆ จากนั้นค่อยชี้ไปที่ภูเขาลูกใหญ่ เขามองภูเขาขนาดใหญ่ที่มีชื่อว่าภูเขาลั่วพั่วด้วยรอยยิ้ม คราวนี้เฉินผิงอันไม่กั๊กรอยยิ้มเอาไว้เลยแม้แต่น้อย “ถึงบ้านแล้ว! บ้านของข้า!”

 —————————–

จบภาคสอง เด็กหนุ่มแห่งขุนเขาและสายน้ำ

Sword of Coming กระบี่จงมา

Sword of Coming กระบี่จงมา

อ่านนิยายเรื่อง Sword of Coming กระบี่จงมา ” หนึ่งโลกธาตุขนาดใหญ่ เต็มไปด้วยความลี้ลับมหัศจรรย์ ใจกลางฟ้าดิน เคยมีปัญญาชนผู้หนึ่งใช้หนึ่งกระบี่ฟาดฟันให้เกิดน้ำตกธารสวรรค์ คือความภาคภูมิใจสูงสุดของโลกมนุษย์ หน้าผาทะเลบูรพา มีนักพรตไร้นามผู้หนึ่งที่ไม่ยินดียินร้ายกับสิ่งใด หวังเพียงให้ลมเย็นโชยมาปะทะใบหน้า แดนสุขาวดีปัจฉิมทิศ มีหลวงจีนเฒ่าที่ชอบเล่าเรื่องราวให้ผู้คนฟัง เลี้ยงมังกรสวรรค์ไว้เก้าตัว พื้นที่กันดารแดนใต้ มีจิตรกรตาบอดควบคุมหุ่นเชิดเกราะทองสูงเท่าเนินเขาให้เคลื่อนย้ายภูเขาใหญ่หนึ่งแสนลูก ปูแผ่เป็นภาพลายปัก เมื่อวันหนึ่งเด็กหนุ่มยากจนที่เติบโตทางทิศเหนือได้พบกับเซียนที่เหนือศีรษะมีกระบี่บินนับพันนับหมื่นประดุจฝูงตั๊กแตน “ เขาจึงอยากจะไปเห็นปัญญาชนคนนั้น เห็นคลื่นยักษ์ที่โถมตัวเทียมฟ้าของทะเลบูรพา เห็นทะเลทรายสีเหลืองทองกว้างไกลนับหมื่นลี้ของแดนประจิม และอยากไปเห็นภูเขาลูกโอฬารของแดนกันดารทางใต้ที่นักเล่านิทานเอ่ยถึงกับตาตัวเอง ดังนั้น ในที่สุดวันหนึ่ง เด็กหนุ่มจึงสะพายกระบี่ไม้พาดหลัง มุ่งหน้าไปทางทิศใต้ –ข้ามีนามว่าเฉินผิงอัน ผิงอันที่แปลว่าสงบสุข สันติ ข้าคือมือกระบี่คนหนึ่ง–

Comment

Options

not work with dark mode
Reset