ตอนที่ 182.2 เหตุผลอยู่ในฝักกระบี่

บทที่ 182.2 เหตุผลอยู่ในฝักกระบี่
โดย

เด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูใบหน้าแดงก่ำ ปลุกความกล้าถามเสียงดัง “ท่านอาจารย์ ทำไมเวลาที่พวกเราอ่านหนังสือจึงมักจะไม่รู้จักตัวอักษรบางตัวขึ้นมากะทันหัน? ต่อให้เห็นพวกมันอยู่ใต้เปลือกตา เห็นพวกมันอยู่นิ่งๆ บนหน้าหนังสือ แต่พวกเรากลับรู้สึกไม่คุ้นเคยกับพวกมัน?”

หลี่ซีเซิ่งตะลึงไปเล็กน้อย มองไปทางเด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูตัวเล็กน่ารัก ในใจพลันกระจ่างแจ้ง สีหน้าจึงเผยความชื่นชมออกมาเสี้ยวหนึ่ง บัณฑิตแห่งตระกูลหลี่ผู้นี้ค้อมตัวลง ขยิบตาให้นาง พูดทีเล่นทีจริงเสียงแผ่วเบา “เพราะบางช่วงเวลา อักษรบางตัวถูกอริยะบางคนแอบยืมไปใช้ยังไงล่ะ”

เด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูรู้สึกโมโหเล็กน้อย หากเป็นเรื่องความรู้ในตำรา นางมักจะมีความดื้อดึงที่ผิดไปจากเวลาปกติเสมอ ถึงขั้นสั่งสอนคนอื่นอย่างที่ไม่เคยทำ “หากอาจารย์ไม่รู้คำตอบที่ถูกต้องก็ไม่ควรอธิบายมั่วซั่ว ใต้หล้านี้จะมีเรื่องที่เหลวไหลแบบนั้นได้อย่างไร! รู้ก็บอกว่ารู้ ไม่รู้ก็บอกว่าไม่รู้…”

ยิ่งเป็นช่วงท้าย ความดุดันของเด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูก็ยิ่งถดถอยน้อยลง เสียงก็เบาลงเรื่อยๆ เป็นเหตุให้สุดท้ายกลายเป็นเสียงหงุงหงิงเหมือนยุงบิน เกรงว่าแม้แต่ตัวนางเองก็คงไม่ได้ยิน

เฉินผิงอันยิ้มแล้วตบศีรษะเล็กของเด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูเบาๆ พูดกับหลี่ซีเซิ่งว่า “พี่ใหญ่หลี่ อย่าโกรธเลยนะ ปกตินางไม่ได้เป็นแบบนี้หรอก”

หลี่ซีเซิ่งหัวเราะดังลั่น กล่าวอย่างใจกว้าง “แบบนี้สิถึงจะดี”

ได้ยินว่าเฉินผิงอันจะไปที่อื่น หลี่ซีเซิ่งจึงออกจากตรอกหนีผิงไปพร้อมกับเขา

เฉินผิงอันพลันค้นพบว่าในตรอกเบื้องหน้ามีชายหนุ่มคนหนึ่งยืนสองมือไพล่หลัง ดูจากท่าทางเขาน่าจะเป็น…มือกระบี่?

ตรงเอวด้านหนึ่งของมือกระบี่ที่หันมาทางพวกเฉินผิงอันห้อยกระบี่สั้นเล่มหนึ่งที่ยาวกว่ากริชเล็กน้อย อีกด้านหนึ่งห้อยกระบี่ยาวที่ยาวกว่ากระบี่ทั่วไป

ฝักกระบี่ของกระบี่สั้นเป็นสีขาวหิมะ ส่วนฝักกระบี่ยาวเป็นสีดำสนิท

เค้าโครงใบหน้าด้านข้างของมือกระบี่หนุ่มดูนุ่มนวล มุมปากมักจะตวัดโค้งขึ้นตามความเคยชินที่มีมาตั้งแต่เกิด ให้ความรู้สึกราวกับว่าไม่มีช่วงเวลาไหนที่เขาไม่อมยิ้มน้อยๆ ส่วนหน้าตาของเขานั้นกลับคล้ายจิ้งจอกตัวหนึ่งอย่างมาก เวลานี้เขากำลังหรี่ตาจ้องมองบ้านหลังเก่าที่สมบูรณ์แบบกว่าที่เขาคิดไว้ไปไกลโข นี่ไม่เพียงแต่ไม่ทำให้มือกระบี่หนุ่มปลาบปลื้มยินดี กลับยังรู้สึกหงุดหงิดนิดๆ ด้วย

มือกระบี่หนุ่มหันหน้ามา ‘ยิ้ม’ มองพวกเฉินผิงอัน แล้วเอ่ยเสียงเบาอ่อนโยนด้วยถ้อยคำนุ่มนวล “รู้หรือไม่ว่าใครซ่อมแซมบ้านหลังนี้?”

เฉินผิงอันถามกลับด้วยสีหน้าที่มองไม่เห็นการเปลี่ยนแปลงแม้แต่นิดเดียว “ทำไมหรือ บ้านพังไม่ควรซ่อมหรอกหรือ?”

มือกระบี่หนุ่มส่ายหน้ายิ้มๆ “ยังไม่ต้องพูดว่าซ่อมได้ดีหรือไม่ เอาแค่ว่าเขตปกครองหลงเฉวียนต้าหลีของพวกเจ้า มีคำพูดว่าไม่ควร ‘ขยับดินเหนือศีรษะไท่สุ้ย’ หรือไม่?”

แม้ว่ามือกระบี่หนุ่มคนนั้นจะยิ้มอยู่ตลอดเวลา แต่เฉินผิงอันไม่กล้าประมาทแม้แต่น้อย เพราะอีกฝ่ายถึงขั้นทำให้เขารู้สึกว่ามีไอเย็นๆ ผุดพุ่งขึ้นมาที่หัวใจได้

คนต่างถิ่นอายุน้อยที่มองดูเหมือนพูดง่ายคนนี้ อันตรายอย่างมาก!

หลี่ซีเซิ่งพลันเดินออกไปหนึ่งก้าว ยื่นมือมาขวางพวกเฉินผิงอันสามคนที่อยู่ด้านหลังเอาไว้พลางเอ่ยเบาๆ “ยืนอยู่ข้างหลังข้า หลังจากนี้ไม่ต้องพูดไม่ต้องทำอะไรทั้งนั้น แค่มองอย่างเดียวก็พอ”

รอยยิ้มของมือกระบี่หนุ่มยิ่งกดลึก มือสองข้างกำไว้บนด้ามกระบี่สองเล่มที่สั้นยาวไม่เท่ากัน เขาโคลงศีรษะพยายามมองหาเฉินผิงอันที่อยู่ด้านหลังบัณฑิตชุดเขียว สุดท้ายถึงยืนนิ่งๆ “ทำไม บังเอิญขนาดนี้เชียว ข้ามาเจอกับตัวการพอดีเลยรึ? ส่วนเจ้า คิดจะทำอะไร รนหาที่ตาย?”

หลี่ซีเซิ่งเอ่ยยิ้มๆ “คุยกันด้วยเหตุผลดีๆ ได้ กระบี่ อย่าได้ชักออกจากฝักตามใจชอบ”

มือกระบี่หนุ่มยักไหล่ ยิ้มสีหน้าไร้เดียงสา “แต่เหตุผลของข้าน้อยอยู่ในฝักกระบี่นี่นา”

หลี่ซีเซิ่งร้องอ้ออย่างสบายๆ ยื่นนิ้วชี้มาที่ตัวเองแล้วพูดเหมือนคนเข้าใจกระจ่างแจ้ง “ที่แท้ปราชญ์ดื่มสุรามิได้หวังเสพรสชาติของสุรา แต่มีเป้าหมายอยู่ที่ข้า?”

มือกระบี่หนุ่มยิ้ม “ไม่ได้ซับซ้อนอย่างที่เจ้าคิด ขนาดชื่อแซ่เจ้าข้าก็ยังไม่รู้ เพียงแค่ข้าเห็นหน้าเจ้าแล้วไม่ถูกชะตา ได้ยินเจ้าพูดจาเหลวไหลก็ยิ่งไม่สบอารมณ์เข้าไปใหญ่ แต่ก็ดีที่มีโอกาสยิงธนูลูกเดียวได้นกสองตัว สั่งสอนเจ้าพร้อมกับเจ้าเด็กคนนั้นไปพร้อมกันทีเดียว แบบนี้ไม่ยิ่งประเสริฐหรอกหรือ?”

มือกระบี่หนุ่มใช้ฝ่ามือดันด้ามกระบี่สั้น เอ่ยยิ้มๆ “วางใจเถอะ ข้าเฉาจวิ้นชักกระบี่ น้อยครั้งนักที่จะสังหารคน”

หลี่ซีเซิ่งขมวดคิ้วถาม “บรรพบุรุษของเจ้าคือเซียนกระบี่เฉาซี?”

มือกระบี่หนุ่มถอนหายใจ ตอบไม่ตรงคำถาม “เหตุใดบัณฑิตอย่างพวกเจ้าถึงชอบหาเรื่องลำบากใส่ตัว ด้วยตบะและสถานะของข้าเฉาจวิ้น ต่อให้ไม่ถูกชะตากับเจ้าเด็กหนุ่มคนนั้น แต่จะรังแกเขาได้ลงคอหรือ? อย่างมากสุดก็แค่ทำลายพื้นฐานวรยุทธ์ที่มีอยู่น้อยนิดของเขาให้สิ้นซาก แต่ผลกลับกลายเป็นว่าเจ้าดึงดันจะออกหน้า หากความสามารถของเจ้ามีมากพอ หรือมีน้อยเกินไปก็ยังพูดง่าย แต่หากความสามารถไม่ดีไม่เลว แพ้ให้ข้าแบบครึ่งๆ กลางๆ ถึงเวลานั้นเด็กหนุ่มถูกข้าพาลโกรธ ก็ไม่เท่ากับว่าเจ้าทำร้ายเขาหรอกหรือ?”

มือกระบี่หนุ่มกล่าวจบก็แสยะปากเผยให้เห็นฟันขาวสะอาด “เอาล่ะ ไม่อ้อมค้อมแล้ว บอกตามตรงก็แล้วกัน ข้าเฉาจวิ้นมีพรสวรรค์ไม่ธรรมดา สามารถสัมผัสได้ถึงการดำรงอยู่ของสิ่งประหลาดบางอย่าง ยกตัวอย่างเช่น…ตัวอ่อนกระบี่ก้อนหนึ่ง ส่วนเรื่องอื่นที่เหลือ ไม่ว่าจะเป็นมายุ่งวุ่นวายกับบ้านบรรพบุรุษของข้าโดยพลการ หรือเห็นบัณฑิตอย่างเจ้าแล้วเกลียดขี้หน้าล้วน…เป็นความจริงทั้งหมด แต่พวกเจ้าวางใจเถอะ สำหรับตัวอ่อนกระบี่ ข้าจะจ่ายเงินให้ แถมยังให้ราคาไม่ต่ำด้วย ส่วนพวกเจ้าจะรู้สึกว่าเป็นการฝืนใจบังคับซื้อขายหรือไม่ ก็ไม่เกี่ยวกับข้าแล้ว”

หลี่ซีเซิ่งเอ่ยถาม “ก่อนที่เจ้าจะลงมือ ข้าขอถามอะไรสักอย่างได้ไหม ตอนนี้ขอบเขตของเจ้าคือ?”

“ก่อนจะตีกันใครเขาถามคำถามแบบนี้บ้าง แต่ในเมื่อเจ้าเป็นคนน่าสนใจขนาดนี้ ข้าก็ไม่ถือสาที่จะตอบ” มือกระบี่หนุ่มหัวเราะพรืด ดวงตายิบหยีลงเป็นเส้นโค้ง เขาที่เอ่ยด้วยถ้อยคำเบาสบาย ตอนที่พูดถึงวิถีกระบี่และขอบเขตของตัวเองกลับประหยัดคำพูดราวกับมันล้ำค่าดุจทองคำ “กระบี่ ระหว่าง แปด เก้า”

หลี่ซีเซิ่งพยักหน้ารับ “เข้าใจแล้ว”

ตัวอ่อนกระบี่ก้อนที่อยู่ในชายแขนเสื้อของเฉินผิงอันเริ่มร้อนลวกขึ้นทุกขณะ เฉินผิงอันต้องไพล่มือซ้ายไปด้านหลังแล้วบิดข้อมือกำมันเอาไว้แน่น

……

ช่วงนี้หร่วนฉงมักจะมาที่ริมลำคลองหลงซวีบ่อยๆ เขายื่นมือลงไปในน้ำ วัดน้ำหนักความชื้นอึมครึมที่ซุกซ่อนอยู่ในน้ำลำคลอง

เด็กหนุ่มคิ้วยาวมักจะติดตามอยู่ด้านหลังชายฉกรรจ์เป็นประจำ

หร่วนฉงที่วันนี้นั่งยองอยู่ริมตลิ่งพลันเทน้ำที่อยู่กลางฝ่ามือทิ้ง แค่นเสียงเย็นหนึ่งที “อาศัยว่าตัวเองมีบรรพบุรุษดีเลยกล้ามาทำลายกฎระเบียบของข้า? ไอ้พวกไม่รู้จักกลัวตาย”

บนผิวน้ำค่อยๆ มีภาพการคุมเชิงในตรอกหนีผิงลอยขึ้นมา

เด็กหนุ่มคิ้วยาวชี้ไปยังชายหนุ่มที่พกทั้งดาบสั้นและยาว “อาจารย์ คือเขาหรือ?”

หร่วนฉงพยักหน้า เปิดเผยความลับให้อีกฝ่ายฟัง “ในบรรดาบรรพบุรุษของเขามีคนหนึ่งเป็นเซียนกระบี่ชื่อว่าเฉาซี เหมือนกับเซี่ยสือบรรพบุรุษของเจ้า พวกเขานับว่าเป็นบุคคลที่มีน้อยจนนับนิ้วได้ของแจกันสมบัติทวีปพวกเราที่สามารถหยัดยืน เปิดสำนักตั้งพรรค ยึดครองพื้นที่แถบหนึ่งอยู่ในทวีปใหญ่แห่งอื่นได้อย่างมั่นคง เป็นคนเก่งอย่างแท้จริง”

เด็กหนุ่มคิ้วยาวไม่ค่อยสนใจเรื่องนี้เท่าไหร่นัก เขาเอาแต่จ้องภาพบนผิวน้ำ “อาจารย์ จะทำอย่างไร? ท่านจะขัดขวางลูกหลานสกุลเฉาผู้นั้นหรือไม่?”

“ขัดขวางกะผีน่ะสิ!”

หร่วนฉงหัวเราะเสียงเย็น “รอให้เขาทำร้ายคนบาดเจ็บก่อน ข้าค่อยฆ่าเขาให้ตาย นี่ต่างหากถึงจะถูกต้องตามกฎระเบียบ”

เด็กหนุ่มคิ้วยาวถามถึงสาเหตุของความขัดแย้งในครั้งนี้ หร่วนฉงอธิบายให้ฟังคร่าวๆ เด็กหนุ่มได้ฟังแล้วก็เอ่ยอย่างแปลกใจ “อยู่ใต้จมูกของท่านอาจารย์ เฉาจวิ้นผู้นั้นเห็นของมีค่าจนเกิดความละโมบ แถมยังกล้าบังคับให้คนอื่นขาย คนข้างนอกป่าเถื่อนไร้เหตุผลแบบนี้เหมือนกันหมดเลยหรือ?”

หร่วนฉงกล่าวด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ “ปรารถนาสมบัติบนสวรรค์ จำเป็นต้องใช้ทรัพย์สินในโลกมนุษย์ มีอะไรให้ต้องแปลกใจกัน ในเมื่อก่อนหน้านี้แม้แต่ข้าก็ยังมองความลี้ลับของตัวอ่อนกระบี่ก้อนนั้นไม่ออก แต่เฉาจวิ้นกลับให้ความสำคัญถึงขนาดนี้ ก็แสดงว่าเฉาจวิ้นต้องมีสายตาที่พิเศษ รวมไปถึงตัวอ่อนกระบี่ก้อนนั้นที่หากเปิดเผยโฉมหน้าแท้จริงเมื่อไหร่ ย่อมต้องสร้างความตื่นตะลึงให้ทั้งโลก แล้วก็เพราะว่าอยู่ที่นี่ เฉาจวิ้นถึงพอจะสำรวมอยู่บ้าง หากอยู่ที่อื่น อย่าว่าแต่จะจ่ายเงินเลย ป่านนี้คงฆ่าคนชิงเอาของไปแล้ว”

เด็กหนุ่มคิ้วยาวเพิ่งจะเหยียบลงบนเส้นทางแห่งการฝึกตน เดินขึ้นภูเขาได้ไม่นานเท่าไหร่รู้สึกว่าโลกนี้ช่างน่าเหลือเชื่อ จึงถามว่า “อาจารย์ คนชั่วแบบนี้กลายเป็นผู้ฝึกลมปราณที่มีฝีมือเก่งกาจขนาดนี้ได้อย่างไร?”

“เจ้าไม่เคยเล่าเรียนเป็นบัณฑิตเสียหน่อย จะต้องพูดเรื่องความดีความเลวไปทำไม? จำเอาไว้ว่าบนภูเขาไม่สนใจเรื่องพวกนี้”

หร่วนฉงลุกขึ้นยืน ทิ้งประโยคนี้ไว้แล้วร่างของเขาก็พลันวูบหายไป

……

จวนใหญ่ตระกูลหลี่ ผู้เฒ่าคนหนึ่งกำลังหยอกนกในกรงเล่น แต่แท้จริงแล้วเขาใจลอยไม่อยู่กับเนื้อกับตัว ในดวงตาคือรอยยิ้มที่เต็มไปด้วยแววรอคอย พึมพำเบาๆ ด้วยประโยคที่ราวกับกลัวว่าใต้หล้าจะไม่วุ่นวายมากพอ “ตีกันเร็วเข้าๆ ให้เสร็จรวดเดียวไปเลย ปลาหลีกระโดดข้ามประตูมังกร ใต้หล้านี้ยังจะมีใครที่ไม่รู้จักเจ้าอีก…”

……

ยอดเขาพีอวิ๋น เว่ยป้อผู้สวมอาภรณ์ขาวล่องลอยนั่งขัดสมาธิอยู่บนก้อนเมฆกลุ่มหนึ่ง ห่างจากพื้นไม่ถึงหนึ่งจั้ง เขากำลังหลับลึก บางครั้งศีรษะยังสัปหงกลงมาเหมือนไก่จิกข้าวเปลือก

เบื้องใต้เมฆหมอกมีทั้งสัตว์บกสัตว์ปีกมาออกันเนืองแน่น พวกมันต่างก็หวังว่าจะได้เข้าใกล้กับเมฆกลุ่มนั้น พยายามจะสัมผัสทวยเทพชุดขาวที่ตรงติ่งหูห้อยห่วงสีทองชิ้นหนึ่งให้ได้มากที่สุด

เงาร่างหนึ่งกระแทกลงพื้นอย่างหนัก ฝูงสัตว์บนยอดเขาแตกฮือกระเจิงไปคนละทิศทาง

เว่ยป้อตื่นขึ้นมาอย่างสะลึมสะลือ สีหน้ามึนงง พอเห็นชายฉกรรจ์คนนั้น เมฆหมอกก็สลายหายไป ตัวเขาพลิ้วกายลงมาบนพื้นดิน “แขกหายากๆ ช่างเป็นเกียรติๆ”

หร่วนฉงพูดด้วยน้ำเสียงห่างเหิน “แค่จะมาเตือนเจ้าสักคำ ในอนาคตอีกไม่นานเซียนกระบี่เฉาซีอาจบุกมาสังหารถึงที่นี่ ถึงเวลานั้นเจ้าจะนิ่งดูดายก็ได้ แต่ห้ามกระพือลมให้ไฟลุกโหมเด็ดขาด”

เว่ยป้อเหลือบมองไปทางตรอกหนีผิงของเมืองเล็ก “มีคนจงใจใช้เฉาซีมาเล่นงานเจ้ากับต้าหลี? สกุลเกาต้าสุย? สำนักศึกษากวานหู? แคว้นหนันเจี้ยน? หรือว่ายอดฝีมือคนอื่น?”

หร่วนฉงสีหน้าเคร่งเครียด

อะไรก็ได้หมด อย่างมากทหารมาใช้แม่ทัพต้าน น้ำมาใช้ดินกลบ กลัวก็แต่ว่าจะเล่นงานลูกสาวของเขา

หร่วนฉงมองไปทางเมืองเล็ก ไม่ได้มองไปที่ตรอกหนีผิงที่ซึ่งศึกใหญ่กำลังจะเกิดขึ้น แต่มองไปยังร้านยาตระกูลหยาง

เขาถอนหายใจโล่งอก

หร่วนฉงมาถึงอย่างรีบร้อนและก็จากไปอย่างรีบร้อน

เว่ยป้อบ่นพึม “น่ารำคาญชะมัด วางแผนเล่นงานกันไปมา ไม่จบไม่สิ้นสักที”

เขาเองก็หายตัววับไป นาทีถัดมาก็มาถึงเรือนไม้ไผ่บนภูเขาลั่วพั่ว เอนตัวลงนอนอยู่บนระเบียงชั้นสอง กรนครอกๆ หลับต่ออีกครั้ง

น้ำลดหินผุด เดิมเป็นถิ่นมังกรนอนขดตัว ลมพัดใบไม้ไหว กลายเป็นพยัคฆ์จ้องตะครุบ

 —————————–

Sword of Coming กระบี่จงมา

Sword of Coming กระบี่จงมา

อ่านนิยายเรื่อง Sword of Coming กระบี่จงมา ” หนึ่งโลกธาตุขนาดใหญ่ เต็มไปด้วยความลี้ลับมหัศจรรย์ ใจกลางฟ้าดิน เคยมีปัญญาชนผู้หนึ่งใช้หนึ่งกระบี่ฟาดฟันให้เกิดน้ำตกธารสวรรค์ คือความภาคภูมิใจสูงสุดของโลกมนุษย์ หน้าผาทะเลบูรพา มีนักพรตไร้นามผู้หนึ่งที่ไม่ยินดียินร้ายกับสิ่งใด หวังเพียงให้ลมเย็นโชยมาปะทะใบหน้า แดนสุขาวดีปัจฉิมทิศ มีหลวงจีนเฒ่าที่ชอบเล่าเรื่องราวให้ผู้คนฟัง เลี้ยงมังกรสวรรค์ไว้เก้าตัว พื้นที่กันดารแดนใต้ มีจิตรกรตาบอดควบคุมหุ่นเชิดเกราะทองสูงเท่าเนินเขาให้เคลื่อนย้ายภูเขาใหญ่หนึ่งแสนลูก ปูแผ่เป็นภาพลายปัก เมื่อวันหนึ่งเด็กหนุ่มยากจนที่เติบโตทางทิศเหนือได้พบกับเซียนที่เหนือศีรษะมีกระบี่บินนับพันนับหมื่นประดุจฝูงตั๊กแตน “ เขาจึงอยากจะไปเห็นปัญญาชนคนนั้น เห็นคลื่นยักษ์ที่โถมตัวเทียมฟ้าของทะเลบูรพา เห็นทะเลทรายสีเหลืองทองกว้างไกลนับหมื่นลี้ของแดนประจิม และอยากไปเห็นภูเขาลูกโอฬารของแดนกันดารทางใต้ที่นักเล่านิทานเอ่ยถึงกับตาตัวเอง ดังนั้น ในที่สุดวันหนึ่ง เด็กหนุ่มจึงสะพายกระบี่ไม้พาดหลัง มุ่งหน้าไปทางทิศใต้ –ข้ามีนามว่าเฉินผิงอัน ผิงอันที่แปลว่าสงบสุข สันติ ข้าคือมือกระบี่คนหนึ่ง–

Comment

Options

not work with dark mode
Reset