เฉินผิงอันกล่าวอย่างเดือดดาล “หลังจากนี้ข้าจะลงเขาไปสร้างสุสานให้พ่อแม่ข้า ช่วงเวลานี้พวกเราพักรบกันชั่วคราว ตกลงไหม?”
ตัวอ่อนกระบี่ที่เดิมทีทำท่าจะพุ่งชนช่องโพรงลมปราณแห่งหนึ่งอีกครั้งค่อยๆ กลับคืนสู่ความสงบนิ่ง คล้ายยอมรับข้อเรียกร้องของเฉินผิงอัน
หลังจากนั้นเฉินผิงอันก็ลงจากเขาไปเพียงลำพัง ด้านหลังสะพายตะกร้าไม้ไผ่ บรรจุของส่วนใหญ่ที่ตนมีไปหาหร่วนซิ่วที่ร้านตีเหล็ก ต้องรบกวนขอให้นางช่วยเอาของของเขาไปเก็บไว้ในกระท่อมดินเหนียวหลังนั้นอีกครั้ง
ได้ยินว่าเฉินผิงอันจะสร้างสุสาน หร่วนซิ่วคิดจะช่วย แต่เฉินผิงอันกลับส่ายหน้า บอกว่าไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร เขาแค่จ่ายเงินจ้างช่างมาสร้างให้ก็พอ อีกอย่างเงินก้อนนี้เขามีก็จ่าย
หร่วนซิ่วไม่ได้ยืนกราน แค่บอกว่าหากต้องการความช่วยเหลือก็มาบอกนางสักคำ ไม่ต้องเกรงใจ
เฉินผิงอันยิ้มเจื่อนพูดว่า หากเกรงใจนางจริงๆ ตอนนี้เขาคงไม่มาหานางอีกรอบ
เด็กสาวคลี่ยิ้ม
เมื่อไม่เหลือเรื่องให้ต้องพะวงหลังแล้ว เฉินผิงอันก็พกเงินไปที่เมืองเล็ก เพียงไม่นานก็เจอตัวคน หลังจากนั้นจึงถามช่างเก่าแก่เกี่ยวกับหลักเกณฑ์และมารยาทพิธีในการสร้างสุสาน ตกลงเรื่องราคาเรียบร้อยก็เลือกวันฤกษ์งามยามดี แล้วจึงเริ่มลงมือ เฉินผิงอันคอยจับตามองตั้งแต่ต้นจนจบ อะไรที่ช่วยได้ก็ช่วย อะไรที่ไม่ควรยุ่มย่ามก็จะไม่ยื่นมือไปก้าวก่ายเด็ดขาด ทุกอย่างล้วนฟังคำสั่งจากพวกช่างฝีมือเก่าแก่
น่าจะเป็นเพราะเงินของเด็กหนุ่มมีมากพอ อีกทั้งการอยู่ช่วยทำงานอย่างละนิดอย่างละหน่อยของเด็กหนุ่มทำให้พวกช่างรู้สึกว่าเขาจริงใจมากพอ ทุกอย่างจึงราบรื่นไร้อุปสรรค
สดุท้ายสุสานที่ถูกสร้างขึ้นอย่างประณีตบรรจง ระมัดระวังก็แล้วเสร็จ ไม่ได้ดีไปกว่าของคนอื่น และยิ่งพูดไม่ได้ว่าหรูหราอลังการ อีกทั้งตัวอักษรทั้งหมดบนป้ายหน้าหลุมศพยังเป็นฝีมือของเฉินผิงอันที่แกะสลักเองหามรุ่งหามค่ำ
หลังจากจ่ายเงินเรียบร้อย เฉินผิงอันก็โค้งตัวขอบคุณคนทั้งกลุ่ม
สุดท้ายเขาเอาของเซ่นไหว้ย้อนกลับมาที่หลุมศพเพียงลำพัง ตอนที่เฉินผิงอันจัดวางของเซ่นไหว้ เขาเกิดลังเลเล็กน้อย เพราะเขาเอาสุราชั้นดีมาด้วยหนึ่งกา ตอนยกเหล้าคารวะบิดาที่หน้าหลุมศพ เขาหันมองไปทางหลุมศพของมารดา เกาหัวพูดว่า “ท่านแม่ ดูเหมือนว่าท่านพ่อจะไม่เคยดื่มเหล้า ท่านอนุญาตให้เขาดื่มสักครั้งเถอะนะ”
จากนั้นก็ผินหน้ากลับมายิ้มให้กับหลุมศพที่อยู่เคียงกันอีกหลุมหนึ่ง “ท่านพ่อ หากท่านไม่ชอบดื่ม หรือดื่มแล้วทำให้ท่านแม่ไม่พอใจก็มาเข้าฝันข้านะ ครั้งหน้าข้าจะได้ไม่เหล้าเอามาให้ท่านอีก”
เฉินผิงอันเทเหล้ากานั้นจนหมดแล้วเอามือลูบใบหน้าตัวเอง ยิ้มกว้างพูดว่า “ท่านพ่อ ท่านแม่ ในเมื่อพวกท่านไม่พูด ข้าก็จะคิดว่าพวกท่านตอบรับแล้วนะ”
……
หลังจากนั้นเฉินผิงอันก็ไปที่สุสานเทพเซียนรอบหนึ่ง เขาไปกราบไหว้เทวรูปหลายองค์ที่เคยกราบอย่างคุ้นเคย
เฉินผิงอันไม่ได้ทำอะไรใหญ่โตถึงขั้นซ่อมถนนสร้างสะพาน แต่เลือกที่จะใช้นามของหร่วนซิ่วจ้างช่างมาซ่อมเทวรูปผุพังที่เกลื่อนระเกะระกะอยู่ในสุสานเทพเซียนแห่งนี้ให้ดีขึ้น เขาออกเงิน นางออกหน้า หร่วนซิ่วไม่รู้ว่าเป็นเพราะสาเหตุอะไร แต่ก็ไม่ได้ซักไซ้เอาความ เพียงแค่พยักหน้าตกลง หลังจากผ่านหายนะครั้งนั้นมาได้ ค่ำคืนนั้นชาวบ้านในเมืองเล็กทุกคนต่างก็ได้ยินเสียงระเบิดแตกจากในสุสานเทพเซียน ซึ่งไม่ต่างจากเสียงไม้ไผ่ระเบิด เทวรูปลดน้อยลงไปเรื่อยๆ และสภาพก็ยิ่งแตกบิ่นเสียหาย เฉินผิงอันทำตามคำแนะนำของหร่วนซิ่ว นั่นคือพยายามซ่อมของเก่าให้เหมือนของเก่า พยายามรักษาสภาพเดิมของเทวรูปเหล่านั้นไว้ให้ได้มากที่สุด หากไม่สามารถคงสภาพเดิมได้ก็แค่ทำให้แน่ใจว่าเทวรูปจะสามารถกลับมาตั้งตรงได้ใหม่อีกครั้ง ไม่ล้มลง ไม่เปลี่ยนสภาพไปอีกก็พอ ดังนั้นจึงต้องสร้างเพิงไม้ไผ่ขึ้นมากันลมกันฝนชั่วคราว
บางครั้งเฉินผิงอันก็จะไปนั่งอยู่ที่ร้านทั้งสองในตรอกฉีหลงพักหนึ่ง จากนั้นก็ยุ่งวุ่นวายอยู่อย่างนี้มาตลอด ก่อนถึงวันที่สามสิบ เฉินผิงอันเดินทางขึ้นเขาลั่วพั่วเพื่อไปหาเด็กชายชุดเขียวกับเด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูโดยเฉพาะ
พอหร่วนซิ่วรู้ข่าวก็บอกว่าตัวเองกำลังจะไปดูงานการสร้างจวนที่ภูเขาเสินซิ่วอยู่พอดี จึงขึ้นเขามาพร้อมกับเฉินผิงอัน แต่หลังจากนั้นนางไม่ได้แยกทางไป บอกแต่ว่าเปลี่ยนใจกะทันหัน อยากไปดูเรือนไม้ไผ่ของเฉินผิงอันสักหน่อย คราวก่อนแค่ดูผ่านๆ จึงอยากจะไปดูอีกสักครั้ง แน่นอนว่าเฉินผิงอันย่อมไม่ปฏิเสธ
ตอนที่เฉินผิงอันกับหร่วนซิ่วมาปรากฏตัวตรงตีนเขา เด็กชายชุดเขียวที่ยืนอยู่บนราวระเบียงจุ๊ปากพูด “สองยอดเขายิ่งใหญ่ประจัญหน้า ทัศนียภาพงดงามตระการตา”
เด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูเขย่งปลายเท้ามองไปยังทิศใต้ กล่าวอย่างไม่เข้าใจ “ทางทิศใต้ของภูเขาลั่วพั่วไม่เห็นมียอดเขาอะไรอยู่เลยนี่นา”
เด็กชายชุดเขียวหันมาปรายตามองนางแล้วหัวเราะชั่วร้าย “ก็เจ้ายังเด็กนี่นา”
เขายกสองมือกุมท้ายทอย สองเท้าตรึงแน่นอยู่บนราวระเบียง โยกร่างไปข้างหน้าและข้างหลังเหมือนโล้ชิงช้า ปากก็งึมงำไปด้วย “แม่นางดีๆ แบบนี้จะไปหาที่ไหนได้อีก? เห็นชัดๆ ว่ามีอยู่เพียงคนเดียวในโลก! นายท่านหากท่านไม่รู้จักรักและถนอมนางต้องโดนสวรรค์ลงโทษแน่ จริงๆ นะ นี่ข้าพูดมาจากใจจริงล้วนๆ”
เด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูเห็นด้วยอย่างยิ่ง “แม่นางซิ่วซิ่วดีมากจริงๆ”
เฉินผิงอันกับหร่วนซิ่วเดินขึ้นเขามาช้าๆ หร่วนซิ่วบอกว่าก่อนหน้านี้นางได้รับจดหมายที่ส่งมาจากจุดพักม้าเจิ่นโถว และหลังจากนั้นก็มีนักพรตเต๋าตาบอดพาเด็กหนุ่มขาเป๋กับแม่นางน้อยหน้ากลมเข้ามาในเมืองเล็ก มาหานางที่ร้านในตรอกฉีหลงจริงๆ แต่เพียงไม่นานอาจารย์และศิษย์สามคนก็เดินทางขึ้นเหนือต่อ บอกว่าลองจะไปเสี่ยงโชคที่เมืองหลวงต้าหลีดู
เฉินผิงอันนึกถึงนักพรตเฒ่าที่เคยร่วมทุกข์กันมาผู้นั้นก็ให้นึกถึงหลินโส่วอี และ ‘เหนือเมฆพร่างพราว’ ที่เขาใช้ในการฝึกตน จึงสอบถามนางเกี่ยวกับวิชาห้าอสนี น่าเสียดายที่หร่วนซิ่วไม่เคยสนใจเรื่องพวกนี้จึงรู้ไม่มาก บอกแต่ว่าตัวเองแค่เคยได้ยินมาบ้างเท่านั้น
ระหว่างที่พูดคุยกัน เฉินผิงอันได้รู้ว่าปีนี้ช่างหร่วนรับลูกศิษย์ในนามไว้สามคน คนหนึ่งคือเด็กหนุ่มคิ้วยาวแซ่เซี่ย แม้ว่าจะพักอาศัยอยู่ในตรอกเถาเย่มาทุกยุคทุกสมัย แต่พอมาถึงรุ่นของเขา สภาพการณ์ของครอบครัวกลับตกต่ำ หากไม่ได้เข้ามาอยู่ในร้านตีเหล็กก็คงต้องขายบ้านบรรพบุรุษ ย้ายไปอยู่ที่ตรอกอื่นแทนแล้ว เขายังมีพี่สาวหนึ่งคนและน้องชายอีกหนึ่งคน
อีกคนหนึ่งคือชายหนุ่มที่ไม่ชอบพูด ซึ่งเขาเป็นลูกศิษย์ในนามของบิดาหร่วนซิ่วช้ากว่าคนอื่น
วันที่หิมะใหญ่ครั้งแรกตกลงมาเมื่อครั้งเข้าสู่ฤดูหนาว เขาคุกเข่าอยู่ข้างบ่อน้ำหนึ่งวันหนึ่งคืน ขอร้องให้หร่วนฉงรับเป็นลูกศิษย์ เขานั่งนิ่งไม่ยอมขยับจนหิมะขาวเกาะเต็มร่าง
อาจเป็นเพราะความจริงใจตั้งใจของคนสามารถสั่นสะเทือนให้หินแกร่งแตกแยก หร่วนฉงจึงตอบรับให้เขาเข้ามาหลอมกระบี่ตีเหล็กอยู่ในร้าน
หลังจากเด็กหนุ่มแซ่เซี่ยก็คือเด็กสาวคนหนึ่งจากศาลลมหิมะที่ได้กลายเป็นลูกศิษย์คนที่สอง ตามคำบอกของหร่วนซิ่ว พรสวรรค์ของแม่นางคนนั้น หากอยู่ในศาลลมหิมะถือว่าอยู่ในระดับกลางๆ และดูเหมือนว่าจะเคยทำความผิดมหันต์จึงถูกขับไล่ออกมาจากสำนัก เลยมาหาอาจารย์หร่วนที่ก่อตั้งสำนักด้วยตัวเอง
หร่วนฉงเคยบอกว่าอันที่จริงปณิธานของนางไม่มั่นคงมากพอ ไม่ว่าทำเรื่องอะไรจะต้องหาทางถอยไว้ก่อนเสมอ นางสามารถอยู่ที่นี่ต่อได้ และเขาอาจจะยังชี้แนะวิชากระบี่ให้แก่นาง แต่จะไม่มีทางรับนางเป็นลูกศิษย์ผู้สืบทอดเด็ดขาด
นางทำงานใช้แรงงานอยู่ในร้านตีเหล็กมานานแล้ว มีวันหนึ่งดันตัดนิ้วหัวแม่มือของมือข้างที่จับกระบี่ตัวเอง
นางมาหาหร่วนฉงด้วยสีหน้าซีดขาว บอกว่านับจากวันนี้ไปนางจะเริ่มฝึกกระบี่ด้วยมือซ้าย เริ่มต้นใหม่อีกครั้ง
ตอนที่พูดถึงเรื่องพวกนี้ หร่วนซิ่วสีหน้าเรียบเฉย คล้ายกำลังพูดถึงแม่ไก่และลูกเจี๊ยบขนฟูฝูงนั้น
เฉินผิงอันเหมือนเส้นผมบังภูเขา ไม่ได้ตระหนักถึงข้อนี้ เพราะในความทรงจำของเขา แม่นางคนนี้เป็นคนดีมาก มากจนคนอื่นไม่อาจหาข้อตำหนินางได้
ตอนนั้นเฉินผิงอันกำลังคิดเรื่องที่เกี่ยวกับ ‘บนภูเขา’ เสียมากกว่า
เฉินผิงอันรู้ว่า ขอแค่กลายเป็นผู้ฝึกตนได้ก็ไม่มีใครที่ธรรมดา
ข้างกายตนมีหลินโส่วอี
อวี๋ลู่ เซี่ยหลิงเยว่ก็ยิ่งเป็นลูกรักของสวรรค์
แต่พอเอาคำพูดของชุยตงซานมาประติดประต่อ รวมไปถึงคำพูดของหร่วนซิ่วจากที่ได้คุยเล่นกัน เฉินผิงอันก็พอจะทราบเรื่องหนึ่งคร่าวๆ นั่นคือต่อให้กลายเป็นเทพเซียนบนภูเขาในสายตาของชาวบ้านได้สำเร็จ แต่ในความเป็นจริงแล้วก็ยังมีการแบ่งระดับสามหกเก้า ฯลฯ มีระดับชั้นที่เข้มงวดอย่างมาก
ที่แท้การฝึกตนนั้นเริ่มแรกยาก ตรงกลางยาก แล้วก็ยังจะยากไปจนถึงช่วงท้าย
สำหรับเรื่องนี้เฉินผิงอันพอจะมีความเข้าใจบ้างเล็กน้อยจากประสบการณ์ในช่วงที่ผ่านมา
เพราะพอสร้างสุสานเสร็จ ตัวอ่อนกระบี่ก็เริ่มออกฤทธิ์อีกครั้ง
มันดุร้ายมากกว่าเดิม เวลาที่พุ่งชนอยู่ในช่องโพรงลมปราณของเฉินผิงอันก็เรียกได้ว่าบุกราบทำลายทุกอย่างให้พังพินาศเป็นหน้ากลอง
ดังนั้นในเมืองเล็กจึงมีเด็กหนุ่มคนหนึ่งที่มักจะเดินโซซัดโซเซคล้ายคนเมาเหล้ากลางตรอกหนีผิง หรือไม่ก็นั่งไออย่างเอาเป็นเอาตายอยู่ตรงสุสานเทพเซียน บ้างก็ปิดประตูเก็บตัวเงียบอยู่ในบ้านบรรพบุรุษ นอนกลิ้งดิ้นปัดๆ อยู่บนเตียงไม้
ขณะที่เข้าไปใกล้เรือนไม้ไผ่ หร่วนซิ่วก็ถามว่า “วันที่สามสิบของสิ้นปี เจ้าก็จะอยู่บนภูเขาหรือ?”
เฉินผิงอันส่ายหน้า “ไม่หรอก ต้องไปรอข้ามปีที่ตรอกหนีผิงอยู่แล้ว วันนั้นข้าจะไปที่สุสานก่อน แล้วค่อยกลับมาแปะกลอนปีใหม่ ตัวอักษรฝู เทพทวารบาล และกินข้าวมื้อดึกข้ามปี หรือก็คือเฝ้าคืนที่บ้านบรรพบุรุษ พอตอนเช้าตรู่จะเริ่มจุดประทัด อีกอย่างสองร้านในตรอกฉีหลงก็ต้องแปะกลอนด้วย มีเรื่องมากมายให้ทำ ถึงเวลานั้นต้องยุ่งมากแน่ๆ”
หร่วนซิ่วถาม “ให้ข้าช่วยไหม?”
เฉินผิงอันส่ายหน้ายิ้มๆ “ไม่ต้องๆ แค่ฟังดูเหมือนจะยุ่ง เอาเข้าจริงก็มีแต่เรื่องง่ายๆ”
เด็กชายชุดเขียวกับเด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูได้ยินว่าจะต้องลงไปฉลองปีใหม่ที่ตรอกหนีผิงก็ไม่มีความเห็นอะไร
ตอนที่เฉินผิงอันเก็บสัมภาระพลันถามขึ้นว่า “ถ้าจะติดภาพเทพทวารบาลกับกลอนคู่ที่เรือนไม้ไผ่หลังนี้จะน่าเกลียดหรือเปล่า?”
เด็กชายชุดเขียวตอบอย่างเด็ดเดี่ยว “ต้องน่าเกลียดอยู่แล้ว! แดงกับเขียว บ้านนอกเกินจะทน นายท่าน เรื่องนี้ข้ายืนกรานว่าทำไม่ได้เด็ดขาด!”
เด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูเองก็พยักหน้ารับเบาๆ เห็นด้วยกับความคิดของเด็กชายชุดเขียว
เฉินผิงอันกล่าวอย่างจนใจ “ข้าก็แค่พูดถึงไปอย่างนั้น พวกเจ้าไม่ชอบก็ช่างเถอะ”
เด็กชายชุดเขียวลองถามหยั่งเชิง “อย่างมากก็ติดอักษรตัวชุน (春หมายถึงฤดูใบไม้ผลิ อุปมาถึงความมีชีวิตชีวาหรือพลังชีวิต) หรือไม่ก็ตัวฝูกลับหัว (เป็นการเล่นคำของจีน อักษรฝูหมายถึงสิริมงคล โชคดี การติดตัวอักษรฝูกลับหัวเป็นการบอกว่าความสิริมงคลมาถึงแล้ว)”
เฉินผิงอันยิ้ม “ช่างเถอะ”
เด็กชายชุดเขียวรู้สึกเหมือนวัวสันหลังหวะ “นายท่านคงไม่ได้จดจำความแค้นข้าครั้งนี้ไว้หรอกนะ? หากอยากจะทำอะไรที่ให้ได้บรรยากาศของปีใหม่ พวกเราสามารถปรึกษากันได้ ยกตัวอย่างเช่นว่า ขอแค่นายท่านยอมมอบหินดีงูที่ไม่ค่อยจะธรรมดาให้ข้าสักก้อนหนึ่ง ข้าจะช่วยท่านติดกลอนปีใหม่เอง จะให้ติดทั่วทั้งบนและร่าง ทั้งนอกและในเต็มเรือนไม้ไผ่ก็ไม่มีปัญหา!”
เฉินผิงอันให้รางวัลเป็นมะเหงก “ข้าต้องขอบใจเจ้านะเนี่ย”
พอลงมาจากภูเขา หร่วนซิ่วก็บอกลากับพวกเขา มุ่งหน้าไปทางภูเขาเสินซิ่ว
ไม่ทันรู้ตัวก็ถึงวันที่สามสิบซึ่งเป็นวันสิ้นปีแล้ว (วันปีใหม่ของจีนคือวันตรุษจีน ไม่ใช่วันที่สามสิบเอ็ดเดือนธันวาคมตามสากล)
ไปที่สุสานด้วยกัน แล้วกลับมาที่ตรอกหนีผิง ตอนที่ติดกลอนปีใหม่หน้าประตู เด็กชายชุดเขียวกับเด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูคนหนึ่งบอกติดเบี้ยว คนหนึ่งบอกไม่เบี้ยว ทำเอาเฉินผิงอันหัวหมุนไม่น้อย
ตอนที่กินอาหารมื้อดึก เฉินผิงอันที่ทำอาหารไว้เต็มโต๊ะไม่ลืมมอบหินดีงูธรรมดาให้พวกเขาคนละหนึ่งก้อน เด็กชายชุดเขียวไม่พูดพร่ำทำเพลงก็จับมันยัดเข้าปาก กัดเสียงดังกร้วมๆ แล้วคลี่ยิ้มราวกับดอกไม้ผลิบาน
เด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูก้มหน้ากินอย่างสำรวม ใบหน้าเต็มไปด้วยความสุข
ตอนกลางคืน ใต้โต๊ะวางเตาไฟขนาดเล็กที่มีถ่านและไม้อยู่เต็มแน่น คนทั้งสามวางขาไว้บนริมขอบเตาไฟ อีกทั้งทุกคนยังเปลี่ยนมาสวมชุดใหม่เอี่ยม
บนโต๊ะวางขนมของกินเล่นที่เอามาจากร้านตัวเองไว้กองโต ด้านหน้าเฉินผิงอันมีหนังสือหนึ่งเล่ม แผ่นไม้ไผ่และมีดแกะสลัก
เขาจะเฝ้าคืน
แต่ละปีที่ผ่านมาล้วนเป็นเช่นนี้ เพียงแต่ว่าปีนี้แตกต่างออกไป เฉินผิงอันไม่ได้อยู่ตัวคนเดียวอีกแล้ว
เด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูแทะเมล็ดแตง เด็กชายชุดเขียวยกสองมือเท้าแก้มมองเฉินผิงอันแล้วถามยิ้มๆ “นายท่านๆ วันปีใหม่แล้ว ท่านจะใจดีมอบหินดีงูเป็นรางวัลให้ข้าอีกก้อนหรือไม่?”
เฉินผิงอันอาศัยแสงจากตะเกียงที่สว่างกว่าในอดีตอ่านหนังสืออย่างตั้งใจ ตอบโดยไม่เงยหน้า “ไม่”
เด็กชายชุดเขียวไม่ได้หงุดหงิด กลับกันยังยิ้มอย่างอารมณ์ดี ถามอีกครั้งว่า “นายท่าน พรุ่งนี้จุดประทัดให้ข้าเป็นคนจุดนะ?”
เฉินผิงอันเงยหน้า พยักหน้ารับยิ้มๆ “ได้สิ”
เขาหันไปมองเด็กหญิงชุดกระโปรงชมพู นางรีบวางเมล็ดแตงในมือลง ยกสองมือขึ้นอุดหูอย่างซุกซน
เฉินผิงอันหันไปทำหน้าทะเล้นใส่นางก่อนจะก้มหน้าก้มตาอ่านหนังสือต่อ
เด็กน้อยสองคนหันมาส่งยิ้มให้กัน จากนั้นก็หันไปมองเหนือศีรษะของเด็กหนุ่มพร้อมกันอย่างคนที่มีสัมผัสเฉียบไว
ตรงนั้นมีปิ่นอันหนึ่งที่ไม่สะดุดตา สลักตัวอักษรเล็กๆ แปดตัว เนื้อหาเกี่ยวข้องกับบัณฑิต
สำหรับเรื่องนี้ก็เหมือนตอนที่ดูว่าติดกลอนปีใหม่เบี้ยวหรือไม่เบี้ยว พวกเขาสองคนมีการโต้เถียงกันเป็นการส่วนตัว เด็กชายชุดเขียวรู้สึกว่ามันไม่เหมาะกับนายท่านแม้แต่น้อย แต่เด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูกลับรู้สึกว่าเหมาะจนไม่มีอะไรจะเหมาะไปมากกว่านี้อีกแล้ว
ผ่านยามจื่อไป (ช่วงห้าทุ่มถึงตีหนึ่ง) ก็จะเป็นวันปีใหม่แล้ว
เด็กชายชุดเขียวเดินไปล้มตัวลงนอนบนเตียงและหลับปุ๋ยไปนานแล้ว ส่วนเด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูที่ถูกเฉินผิงอันเกลี้ยกล่อม ตอนหลังก็นอนฟุบหลับอยู่บนโต๊ะเช่นกัน
เฉินผิงอันจึงเฝ้าคืนอยู่คนเดียว ในห้องมีเพียงเสียงพลิกเปิดหน้าหนังสือดังแผ่วเบา
เมื่อแสงอรุโณทัยเสี้ยวแรกปรากฏอยู่ระหว่างฟ้าดิน
เฉินผิงอันก็ลุกขึ้นยืนเบาๆ เดินไปเปิดประตูห้อง เงยหน้ามองไปทางทิศตะวันออก
จู่ๆ เขาก็กระแอมเบาๆ หนึ่งทีอย่างอดไม่อยู่ จากนั้นเฉินผิงอันก็อ้าปากพ่นแสงสีขาวหิมะยาวประมาณชุ่นกว่าออกมา
ที่แท้นั่นคือกระบี่บินสีใสสว่างเล็กๆ เล่มหนึ่ง
มันลอยนิ่งๆ อยู่ในลานบ้าน
สาดประกายคมกริบ
—————————–