บทที่ 190 ยิ่งย้ายเร็วยิ่งดี
ป้าไฉ่ที่บุตรสาว 4 คนได้ออกเรือนกันไปแล้ว ย่อมเข้าใจความหมายของท่านแม่โจว
ลูกสาวของนางมีอายุถึงวัยที่จะออกเรือนพอดี และนางก็ไม่อยากให้ลูกสาวคนเล็กออกเรือนไปไกลนัก จึงไม่ต้องกล่าวเลยว่านางได้ทำการตรวจดูทุกคนในหมู่บ้านของตัวเองแล้ว
และก็พบว่าโจวต้งเข้าข่ายว่าที่ลูกเขยของป้าไฉ่พอดี
ท่านแม่โจวบอกใบ้แล้วก็หยุดเรื่องนี้ นางเปลี่ยนไปคุยเรื่องอื่นหลังได้เอ่ยเรื่องนี้ไปแล้ว จากนั้นนางก็กลับมา
ป้าไฉ่เองก็นำเรื่องนี้ไปคุยกับสามี
“จะว่าไปแล้วทำไมแม่โจวถึงมาคุยเรื่องนี้กันนะ?” ป้าไฉ่เอ่ย
“โจวต้งมีความสัมพันธ์ที่ดีกับครอบครัวของโจวชิงไป๋ ฝ่ายนั้นต้องช่วยโจวต้งตัดสินใจแน่ ด้วยสภาพครอบครัวของเราแล้ว ในอนาคตข้างหน้าเขาจะได้รับการสนับสนุนแน่หากแต่งงานกับลูกสาวเรา และเราก็ไม่ต้องกลัวว่าเขาจะรังแกปาเม่ยด้วย ผมคิดว่ามันก็ดีนะ” ลุงไฉ่แสดงความเห็น
ป้าไฉ่ยิ้มกริ่ม “ฉันไม่กังวลว่าเขาจะรังแกปาเม่ยหรอกค่ะ แค่คิดถึงชีวิตในอนาคตข้างหน้า ว่าพวกเขาจะไม่มีใครสนับสนุนเลยเหรอ?”
“พวกเราอยู่หมู่บ้านเดียวกัน พวกเขาจะต้องการคนสนับสนุนไปทำไมล่ะ? ปาเม่ยน่ะเป็นคนอ่อนโยน การที่โจวต้งเป็นคนแบบนั้นแล้วเขาย่อมไม่รังแกเธอ เรื่องนี้เราวางใจได้” ลุงไฉ่พูด
เมื่อคุยกันเรื่องแต่งงาน สิ่งที่น่ากลัวที่สุดก็คือความกระตือรือร้นของแต่ละฝ่าย หากทั้งสองฝ่ายมีความเห็นพ้องต้องใจกัน การแต่งงานก็เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วฉับไว
เพียงสองวันหลังจากนั้น ป้าไฉ่ก็คุยเรื่องนี้กับท่านแม่โจว แล้วพวกนางก็มีความเห็นว่าควรให้หนุ่มสาวทั้งสองได้มีเวลาเที่ยวรอบเมืองกันดีไหม?
ท่านแม่โจวเอ่ยอย่างลิงโลด “ฉันให้พวกเขายืมจักรยานที่บ้านได้นะ แต่ไม่รู้ว่าโจวต้งจะขี่เป็นไหม”
“เยี่ยมไปเลยค่ะ ถ้าเรื่องนี้ลงตัว พี่ก็จะส่งซองแดงให้คุณน้องนะคะ” ป้าไฉ่ยิ้มกริ่ม
ท่านแม่โจวอ่อนอาวุโสกว่านาง แต่เมื่อเป็นเรื่องหาคู่แล้วมันก็ไม่เป็นไรที่จะรับสินน้ำใจจากอีกฝ่าย ท่านแม่โจวจึงไม่ปฏิเสธ
จากนั้นนางก็นำเรื่องนี้มาบอกกับหลินชิงเหอ
หลินชิงเหอนำจักรยานให้เขายืมขี่ ซึ่งโจวต้งขี่จักรยานไม่เป็น แต่ถึงยังไงมันก็เป็นแค่การขี่จักรยาน คงไม่ใช้เวลานานมากนักหรอกที่ชายหนุ่มโตเต็มวัยจะหัดขี่ได้น่ะถูกไหม?
เขาหัดขี่จักรยานบนถนนอยู่ครึ่งค่อนวัน
ในตอนแรกโจวต้งสามารถพาไฉ่ปาเม่ยเข้าเมืองได้ในวันถัดไป แต่เขากลัวว่าจะไร้ประสบการณ์เกินไปจนทำให้ล้มกลางทางกันทั้งคู่ เขาก็เลยฝึกขี่จักรยานอีกวันหนึ่ง ก่อนจะพาไฉ่ปาเม่ยซ้อนท้ายเข้าเมือง
ทั้งคู่เข้าเมืองกันอย่างลับ ๆ โดยไม่มีใครเห็นพวกเขา ทันทีที่เข้าสู่เดือนแรกและการไถพรวนประจำฤดูใบไม้ผลิยังไม่เริ่มอย่างเป็นทางการ ทางครอบครัวตระกูลไฉ่ก็มีข่าวดี
ไฉ่ปาเม่ยกำลังจะแต่งงานกับโจวต้ง
เรื่องนี้ทำให้หลายคนในหมู่บ้านต้องอึ้งไป
เพราะว่าทั้งสองครอบครัวต่างติดต่อกันอย่างลับ ๆ โดยไม่มีใครรู้เห็นเรื่องนี้เลย เหตุการณ์น่ายินดีที่เกิดขึ้นฉับพลันนี้จึงทำให้ทุกคนเกิดความประหลาดใจกันถ้วนหน้า
เมื่อหายประหลาดใจกันแล้ว คนบางคนในหมู่บ้านที่หมายตาไฉ่ปาเม่ยก็ได้วิจารณ์โจวต้งว่าไม่เห็นมีดีอะไรเหมาะกับอีกฝ่ายเลย
เขาเป็นคนเจ้าเล่ห์ชัด ๆ ขณะที่ผู้คนไม่ได้รับรู้ในเรื่องนี้มาก่อน เขาก็ได้เกี่ยวดองกับไฉ่ปาเม่ยโดยที่ไม่มีใครรู้แล้ว
ตระกูลไฉ่มีภาพพจน์ที่ดีทีเดียว พวกเขาเป็นหนึ่งในครอบครัวของหมู่บ้านนี้ที่มีประวัติขาวสะอาดที่สุด ชื่อเสียงของพวกเขานับว่าเยี่ยมยอด
บวกกับบรรดาลูกชายทั้งหลายต่างเป็นคนมีความสามารถ พวกเขาจึงเป็นครอบครัวใหญ่ หลังจากแต่งงานกับไฉ่ปาเม่ยแล้ว พวกเขาก็สามารถคุยกันว่าจะเจอปัญหาในอนาคตไหม?
ใครจะคิดว่าโจวต้งจะชิงตัดหน้าก่อนที่พวกเขาจะได้คุยเรื่องนี้กับบรรดาลูกชายเสียอีก
คนอื่น ๆ รู้สึกว่าตระกูลไฉ่ช่างฉลาดนัก
พวกเขาพุ่งเป้าหมายชัดเจนกับความจริงที่ว่าโจวต้งไม่มีใครหนุนหลังและจะไม่รังแกไฉ่ปาเม่ย ด้วยเหตุนี้เองพวกเขาถึงตกลงใจที่จะจัดการแต่งงานครั้งนี้!
อย่างไรก็ตาม การแต่งงานของโจวต้งกับไฉ่ปาเม่ยถูกจัดขึ้นก่อนจะมีการไถพรวนประจำฤดูใบไม้ผลิ
พวกเขาไม่ได้จัดงานกันใหญ่โตนัก แค่ตั้งโต๊ะน้ำชาสองโต๊ะและเชิญผู้อาวุโสทั้งหลายมาร่วมเท่านั้น
โจวชิงไป๋เองก็ร่วมงานนี้ด้วย ขณะที่หลินชิงเหอไม่ได้ไป แต่ต่อให้โจวต้งกับโจวซีจะมาชวนเธอ เธอก็คิดว่าโจวชิงไป๋ไปคนเดียวน่ะพอแล้ว
ทันทีที่จัดงานขึ้น ท่านแม่โจวก็ได้รับซองแดงกับไก่ตัวหนึ่งจากโจวต้ง
เนื่องจากมันเป็นสิ่งที่ควรให้กับแม่สื่อ นางก็เลยรับไว้อย่างเปิดเผย
ชีวิตตอนนี้ของโจวต้งกับโจวซีไม่ได้ลำบากเหมือนเมื่อก่อนแล้ว พี่ชายน้องสาวต่างมีชีวิตที่ดี ตอนนี้มีไฉ่ปาเม่ยภรรยาผู้แสนดีเข้ามาอยู่ในครอบครัวอีก ก็นับว่าวันข้างหน้าจะดีขึ้นเรื่อย ๆ
หลินชิงเหอไม่ได้ใส่ใจเรื่องนี้นัก เพราะเธอเริ่มการเรียนการสอนในวันที่ยี่สิบของเดือนแรก
โจวชิงไป๋คนนี้ต้องการดูแลเธอและทำอาหารให้เธอ จึงไม่เป็นไรนักหากเขาจะล่ากระต่ายกับไก่ฟ้า แต่การทำอาหารสำหรับเขาแล้วมันเป็นเรื่องยากลำบากนัก
อย่างมากที่สุดเขาก็ทำได้แค่เกี๊ยว
หลินชิงเหอจึงเป็นคนทำอาหารหลังกลับมาจากที่ทำงาน โดยที่ท่านแม่โจวเป็นคนเตรียมวัตถุดิบทุกอย่างให้ เธอก็แค่มาปรุงหลังจากกลับมาถึงบ้านแล้ว
ชั่วพริบตาเดียว วันนี้ก็เป็นวันเริ่มต้นฤดูใบไม้ผลิ
ผักผลไม้หลากชนิดถูกปลูกลงในสวนหลังบ้านของพวกเขา พวกเขาอาศัยสวนผักแห่งนี้ในที่ดินของเขาประทังชีพตลอดฤดูร้อน
ทางฝั่งพี่สาวรองก็สร้างบ้านอิฐแล้ว แต่ต้องบอกว่ามันไม่ใช่เวลาประจวบเหมาะเอาเสียเลย
ทุกคนง่วนอยู่กับการไถพรวนประจำฤดูใบไม้ผลิ พวกเขาจะมาช่วยหล่อนได้อย่างไรล่ะ?
แต่คราวนี้พี่สาวรองใจคอหนักแน่นนักราวกับมีตุ้มถ่วง ต่อให้ทุกคนจะยุ่ง หล่อนก็ยังยืนกรานที่จะสร้างบ้านอิฐหลังนี้
หล่อนมีชื่อเสียงและความนิยมที่ดีมากในหมู่บ้าน ด้วยการยืนกรานของหล่อนนี่เอง ทุกคนจึงทำงานหนักขึ้น
หลังเลิกงานทุกครั้ง พวกเขาทั้งหมดก็ไปช่วยสร้างบ้านให้หล่อนราวครึ่งชั่วโมงจนถึงหนึ่งชั่วโมง
ในวันนั้นเองพี่เขยรองก็มาหา
เขามาที่นี่เพื่อมาขอให้โจวชิงไป๋มอบอิฐบางส่วนให้เขา
โจวชิงไป๋ไปทำงาน ขณะที่หลินชิงเหอก็ไปสอน ทั้งคู่จึงไม่ได้อยู่บ้าน ส่วนท่านแม่โจวก็ดูแลซูสวิ่นน้อยอยู่ และซูเฉิงน้อยก็ตามติดเจ้าสามไปเล่นในทุกที
“เธอนี่เลือกเวลาได้ดีจริง ๆ ตอนนี้ทุกคนยุ่งมาก จะมีเวลามาสร้างบ้านให้เธอได้ยังไง? อาสี่ถึงกับต้องขอเวลานอกเลยทีเดียว” ท่านแม่โจวเอ่ยอย่างไม่พอใจ
พี่เขยรองถึงกับตอบอย่างหน้าเสีย “แค่ครั้งนี้ครั้งเดียวนะครับ แล้วผมจะไม่รบกวนชิงไป๋อีกแล้ว”
ความสัมพันธ์ที่บ้านนับว่าตึงเครียดโดยแท้ ไม่ใช่แค่พี่สาวรองเท่านั้น แม้แต่พี่เขยรองเองก็ไม่อยากอยู่นานกว่านี้
ดังนั้นถึงจะเป็นเวลาแบบนี้ พวกเขาก็ยังอยากจะสร้างบ้าน
ความจริงแล้วการก่อสร้างบ้านเริ่มมาตั้งแต่ตอนที่หิมะละลาย ตอนนี้ส่วนใหญ่ของตัวบ้านถูกสร้างเสร็จไปแล้ว เหลือเพียงบางส่วนเท่านั้น แต่เนื่องจากทุกคนยุ่งอยู่กับงาน มันเลยต้องใช้เวลานานขึ้น ไม่อย่างนั้นพวกเขาคงสร้างเสร็จแล้วในหนึ่งเดือน
มันไม่ใช่บ้านหลังใหญ่เลย
“เธอกลับบ้านไปก่อนเถอะ ฉันจะบอกให้ชิงไป๋รับรู้ตอนที่เขาเลิกงานแล้ว” ท่านแม่โจวเอ่ย
พี่เขยรองได้ยินดังนี้แล้วก็กลับบ้านไปก่อน
หลังโจวชิงไป๋เลิกงาน ท่านแม่โจวก็มาบอกเรื่องนี้กับเขา นางถึงกับไร้คำพูดไป “ปีนี้ฉันทนไม่ไหวจริง ๆ คิดว่าทันทีที่พวกเขายืมเงินไปแล้วถึงค่อยสร้างตอนที่มีเวลาว่าง ไม่คิดเลยว่าพวกเขาจะสร้างบ้านกันตอนนี้”
“เขาถูกบีบจนถึงจุดนี้แล้วมันก็เป็นเรื่องธรรมดาค่ะที่จะทนไม่ได้ ยิ่งกว่านั้นหากพวกเขาไม่ย้ายออกมาเร็วกว่านี้ ครั้งหน้าพวกเขาอาจจะคว้ามีดมาไล่ฟันกันก็ได้ค่ะ” หลินชิงเหอได้ยินแล้วก็พยายามปลอบใจ
“สองวันนี้ผมไม่ว่างนะครับ วันหลังจากวันมะรืนก็จะไปซื้อปุ๋ยกับยาฆ่าแมลง แต่สามารถให้เขายืมรถลากไปได้” โจวชิงไป๋บอก
“งั้นก็ได้ ถ้าเขามาหาอีกรอบฉันจะบอกเขาเอง” ท่านแม่โจวพยักหน้า
วันต่อมาพี่เขยรองก็มาหาอีกครั้ง ท่านแม่โจวจึงบอกเขาอย่างตรงไปตรงมา ทำให้พี่เขยรองรู้สึกดีใจอย่างมากที่ได้ยินแบบนั้น “ผมรบกวนชิงไป๋มากจริง ๆ”
“ไม่มีปัญหาอะไรหรอก เราเองถือว่าเป็นครอบครัวเดียวกัน หลังจากย้ายบ้านออกมาแล้วชีวิตเธอคงจะง่ายขึ้น พ่อแม่ของเธอนี่ก็ลำเอียงเกินไป ยิ่งย้ายออกมาเร็วจะยิ่งดีนะ” ท่านแม่โจวตอบ
…………………………………………………………………………………
สารจากผู้แปล
คนสมัยก่อนจีบกันน่ารักนะคะ ซ้อนท้ายจักรยานไปเที่ยวในเมืองงี้ เป็นการคบหาดูใจที่เรียบง่ายดีค่ะ
แปลบรรทัดสุดท้ายแล้วก็ขำพรืด แหม…ท่านแม่โจวก็ หาว่าพ่อแม่สามีคนอื่นลำเอียง อย่างกับคุณแม่เองไม่ลำเอียงอย่างนั้นล่ะ แต่ดีหน่อยตรงที่ไม่ได้ร้ายกาจกับบรรดาสะใภ้ในบ้าน
ไหหม่า (海馬)