นอกจุดพักม้ามีรถเข็นล้อเดียวที่บรรจุแผงดูดวงคันหนึ่งจอดอยู่ นักพรตหนุ่มไม่ทันได้ตั้งแผงก็เริ่มจับมือของคนงานในจุดพักม้าที่เชื่อเรื่องดวงชะตามาตรวจดูดวงแล้ว เมื่ออยู่ในสายตาของขุนนางคนอื่นๆ ที่อยู่ในจุดพักม้า นี่ก็คือเรื่องเหลวไหลที่น่าขันอย่างถึงที่สุด สุดท้ายนักพรตหนุ่มไม่เก็บเงิน อันที่จริงคนงานผู้นั้นก็ไม่คิดจะจ่ายเงินเหมือนกัน ยังดีที่นักพรตรู้อะไรควรไม่ควร แค่ขอน้ำร้อนๆ ถ้วยหนึ่ง ยืนดื่มอักๆ อยู่ข้างรถเข็นอย่างสบายอารมณ์
นักพรตหนุ่มเช็ดปาก โบกมือลากับคนในจุดพักม้าด้วยรอยยิ้มเบิกบาน เข็นรถเดินหน้าต่ออีกครั้ง
ทางฝั่งของจุดพักม้า มีคนขยี้ตาอย่างแรง เอ๊ะ? ทำไมด้านหลังนักดูดวงต้มตุ๋นถึงได้มีสตรีสวมชุดแม่ชีผู้หนึ่งโผล่มาได้ล่ะ?
แม่ชีสาวหน้าตางดงามถามเสียงอ่อนโยน “อาจารย์อาน้อย ท่านบอกว่าท่านดูดวงและเล่นหมากล้อมได้แย่ที่สุด ถ้าอย่างนั้นใครเก่งที่สุดกันล่ะ?”
นักพรตนามว่าลู่เฉินตอบยิ้มๆ “อาจารย์อาน้อยที่แท้จริงของเจ้า หรือก็คือศิษย์พี่ของข้า ด้านหนึ่งในอนาคตจะต้องเล่นหมากล้อมได้ดีกว่าข้า จะต้องชนะปีศาจแห่งนครจักรพรรดิขาวผู้นั้น อีกด้านหนึ่งก็ทำนายดวงชะตาได้ดีกว่าข้า จะต้องทำให้…เฮ้อ ไม่พูดถึงเรื่องนี้ดีกว่า พูดแล้วก็ทำร้ายจิตใจ สรุปก็คือศิษย์พี่ที่ ‘หนึ่งบวกหนึ่งก็ยังเป็นที่หนึ่ง บวกอีกหนึ่งก็ยิ่งเป็นที่หนึ่ง’ ผู้นี้เก่งกาจกว่าข้ามาโดยตลอด”
แม่ชีก็คือเฮ้อเสี่ยวเหลียงที่ถูกลู่เฉินหลอกพามาจากสำนักโองการเทพ หญิงสาวใจร้ายที่ทำให้เว่ยจิ้นแห่งศาลลมหิมะดื่มเหล้าเมาหัวราน้ำ
อันที่จริงก่อนหน้านี้นางก็เคยใช้สถานะของกุมารีหยกเป็นตัวแทนของระบบเต๋าในแจกันสมบัติทวีปเดินทางมาที่นี่กับกุมารทอง เพื่อเอาวัตถุสยบความชั่วร้ายคว้าชัยชนะที่บุรพาจารย์ของสำนักทิ้งไว้ในถ้ำสวรรค์หลีจู ตอนที่จากไป พวกเขาไม่สามารถพาตัวหม่าขู่เสวียนไปด้วยกันได้สำเร็จ แต่นางกลับได้หินดีงูงดงามก้อนหนึ่งมาเพิ่ม ช่วยไม่ได้ โชควาสนาของนางหนาหนักจนเป็นที่จับตามองของคนทั้งทวีป ราวกับว่าไม่ว่าจะไปที่ไหน ของดีๆ ก็มักจะตรงเข้ามาหานางเสมอ ขวางอย่างไรก็ขวางไม่อยู่
แม่ชีสาวลังเลอยู่ชั่วครู่
นางอยากถามคำถามที่แม้แต่อาจารย์อาน้อยท่านที่อยู่ในสำนักโองการเทพก็ยังคิดไม่ตก
เหตุใดคนข้างกายผู้นี้ถึงเป็นเงื่อนตายซึ่งผลักให้ฉีจิ้งชุนเดินไปสู่ความตายที่แท้จริง
อาศัยอะไร!
ต้องรู้ว่าตบะที่ฉีจิ้งชุนแสดงออกมาในตอนนั้น หากไม่เป็นเพราะเขาไม่ต้องการให้ทั้งบุรพแจกันสมบัติทวีปจมหายลงไปในทะเล ไม่ต้องการให้คนทั้งเมืองเล็กต้องเดือดร้อน ลำพังแค่เลือกใช้ตัวอักษรแห่งชะตาชีวิตสองตัวต้านรับศัตรู และลงมือเต็มกำลัง นักพรตหนุ่มที่ทำตัวลึกลับผิดปกติคนนี้จะสามารถต้านทานได้จริงๆ หรือ? หรือถึงขั้นรับประกันได้ว่าจะสามารถฆ่าฉีจิ้งชุนได้?!
เอาชนะห้าขอบเขตบนกับสังหารห้าขอบเขตบนคือสองเรื่องที่แตกต่างกันราวฟ้ากับเหว อีกอย่างหากห้าขอบเขตบนคนหนึ่งรู้ว่าตัวเองต้องตายอย่างแน่นอน พลังการทำลายล้างที่เขาระเบิดออกมาย่อมน่ากลัวเกินกว่าที่ใครจะจินตนาการได้
เว้นเสียแต่ว่ามีเซียนที่ขอบเขตสูงกว่าหนึ่งถึงสองระดับมาเข้าควบคุมสมรภูมิรบอย่างเต็มกำลัง หรือไม่ก็มีคนที่สามารถย้ายถ้ำสวรรค์ขนาดเล็กแห่งหนึ่งมาเป็นกรงขัง
เหตุใดเซี่ยสือถึงกล้ามาเยือนเมืองเล็กเพียงลำพัง ก็คือเหตุผลข้อนี้
ข้าเซี่ยสือจะตายในเขตการปกครองหลงเฉวียนก็ได้ แต่เจ้าต้าหลีก็ต้องชั่งน้ำหนักผลลัพธ์ให้ดีเสียก่อน
ตอนนั้นที่หลี่เอ้อร์ไปเยือนวังหลวงของต้าสุยก็ใช้หลักการเดียวกันนี้
แต่ลู่เฉินกลับรู้ว่านางจะถามอะไร จึงยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “เต๋าที่อธิบายได้ไม่ใช่เต๋าที่เที่ยงแท้ หมายความว่าอย่างไร ก็คือภาษาเอามาพูดได้ แต่ให้ใช้อธิบายมหามรรคากลับมีน้ำหนักไม่มากพอ ส่วนความหมายของข้าก็คือ อันที่จริงคำถามที่เจ้าอยากถามนั้น นักพรตอย่างข้าไม่มีทางตอบ”
เฮ้อเสี่ยวเหลียงได้แต่ยิ้มเจื่อน
‘อาจารย์อาน้อย’ ที่จู่ๆ ก็มาปรากฏตัวในสำนักโองการเทพผู้นี้พูดจาประหลาดนับไม่ถ้วนมาตลอดทาง มีหลายเรื่องที่นางคิดตามแล้วก็ไม่เข้าใจ ตอนหลังเลยหยุดคิดมันเสียเลย ถ้าเขาอยากพูดก็จะพูดๆๆๆ ไม่หยุด ต่อให้เจ้าปิดหู หรือปิดประตูหัวใจก็ไม่ได้ผล เพราะในหัวใจก็ยังคงมีเสียงของเขาดังขึ้นมาอยู่ดี แต่หากเวลาใดที่เขาไม่อยากพูดก็สามารถเงียบกริบได้เป็นสิบวันเป็นครึ่งๆ เดือน
ลู่เฉินมองไปทางเมืองเล็กแล้วก็เริ่มพูดจาประหลาดอีกครั้ง “คนในโลกล้วนอิจฉาเทพเซียน เทพเซียนดีหรือไม่ แน่นอนว่าต้องดี แต่เหตุใดเจ้าเว่ยป้อถึงไม่อิจฉา นั่นก็เพราะเจ้าไม่เคยเป็นเทพเซียนที่แท้จริงนี่นา”
“ถามใจตัวเองแล้วรู้สึกละอาย หากละอาย คำว่าละอายนี้คือผีอยู่ในหัวใจ (愧 แปลว่าละอายใจ หากแยกกันจะได้ตัวอักษร 心 หัวใจกับตัวอักษร 鬼 ที่แปลว่าผี) เส้นทางการเป็นเทียนจวินหลังจากนี้ เจ้าจะเดินได้อย่างยากลำบากกว่าเดิม”
“จุ๊ๆ หลานชายเจ้าน่ะเหรอจะถูกคนอื่นรังแก? เขาไม่รังแกคนอื่นก็ถือว่ามีเมตตาธรรมมากพอแล้ว ตอนนี้เขาได้ดิบได้ดีแล้ว แต่ด้วยนิสัยของเขานั้น ทำให้คนชื่นชอบไม่ลงจริงๆ แต่ไม่เป็นไร ชะตาชีวิตดีก็คือชะตาชีวิตดี”
“จะว่าไปแล้วก็แปลก เป็นคนที่ออกไปจากเมืองเล็กเหมือนกัน กลับมาบ้านเกิดเวลาเดียวกัน เซี่ยสือเป็นเทพเซียนที่ดีมาตลอดชีวิต แต่กลับทำเรื่องที่ผิดต่อใจต่อเอง เฉาซีทำตัวระยำมาชั่วชีวิต แต่กลับทำเรื่องที่มีคุณธรรม”
กล่าวมาถึงตรงนี้ นักพรตหนุ่มก็พลันหันหน้าไปมองเฮ้อเสี่ยวเหลียงที่อยู่ด้านหลัง ถามยิ้มๆ “เจ้าได้ยินเสียงในใจของมนุษย์ธรรมดาบ้างไหม?”
เฮ้อเสี่ยวเหลียงตอบอย่างระอาใจ “ต้องเป็นผู้ฝึกลมปราณขอบเขตสิบเท่านั้นถึงจะพอได้ยิน ตอนนี้ข้าทำได้ซะที่ไหน”
นักพรตหนุ่มร้องอ้อเบาๆ หนึ่งที “ถ้าอย่างนั้นเจ้าก็ต้องตั้งใจฝึกตนให้ดีล่ะ”
เฮ้อเสี่ยวเหลียงได้แต่ยิ้มฝืดเฝื่อน
นักพรตหนุ่มรู้สึกว่าเรื่องนี้สามารถพูดได้ จึงเปิดฉากสนทนาโดยไม่สนว่าเฮ้อเสี่ยวเหลียงจะสนใจหรือไม่ เขาพูดรวดเดียวราวเทถั่วออกจากกระบอกไม้ไผ่ “ข้าจะบอกเจ้าให้นะ เรื่องแบบนี้น่ะลึกลับมาก แต่ก็เหมือนว่าจะไม่ลึกลับสักนิดเดียวเช่นกัน ชนิดแรกคือต้องใช้ความจริงใจอย่างถึงที่สุด ก็เหมือนกับคำกล่าวที่ว่าหากเรามีความตั้งใจจริง แม้แต่หินที่แข็งกร้าวก็ยังแตกออกได้ ดังนั้นอริยะจึงมีคำกล่าวบอกว่า มีเพียงความจริงใจเท่านั้นที่ถึงจะเขย่าคลอนจิตใจคนได้ บางครั้งคนธรรมดาก็สามารถชักนำการตอบรับจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์ได้เช่นเดียวกัน”
“อีกชนิดหนึ่งแน่นอนว่าต้องมีตบะสูงส่ง หรือไม่ก็พรสวรรค์โดดเด่น เสียงหัวใจของพวกเขาย่อมดังกังวานยิ่งกว่ายกตัวอย่างเช่นข้าผู้อาวุโสต้องการพูดคุยกับเจ้า เจ้าจะอยากฟังหรือไม่ก็ยังได้ยินอยู่ดี”
“แต่ข้ารู้สึกว่านี่ไม่เกี่ยวข้องกับตบะของข้า ล้วนเป็นความจริงใจอย่างเดียวเท่านั้น เจ้าคิดว่าอย่างไรล่ะ?”
เฮ้อเสี่ยวเหลียงประจบสอพลอใครไม่เป็น “ข้ารู้สึกว่าเกี่ยวข้องกับเวทคาถาที่ลึกล้ำของอาจารย์อาน้อยมากกว่า”
ลู่เฉินรู้สึกผิดหวังเล็กน้อย แล้วก็ไม่อยากพูดอะไรต่ออีก
ตามคำบอกของลู่เฉินก็คล้ายคลึงกับเหตุการณ์ที่หลี่ซีเซิ่งขึ้นไปในภูเขาแล้วเอ่ยเรียกชื่อไป๋เจ๋อออกมาโดยตรง ซึ่งทำให้นายท่านไป๋ที่อยู่ห่างไปไกลถึงชายหาดมหาสมุทรประจิมของแจกันสมบัติทวีปได้ยินทันที ส่วนเด็กหนุ่มชุยฉานเด็กนักเรียนข้างกายเขาที่ต่อให้อ้าปากด่าหยาบคายไปเป็นร้อยรอบ นายท่านป๋ายก็คงไม่ได้ยิน หรือต่อให้ได้ยินแล้วก็คงไม่สนใจ แน่นอนว่าหากเขาคิดจะเอาจริงขึ้นมา ต่อให้อยู่ห่างหนึ่งแสนแปดพันลี้ ชุยชื่อก็สามารถตายคาที่อย่าง ‘ไร้สาเหตุ’ ได้
ลูกรักแห่งสวรรค์ประเภทนี้เป็นเหมือนกับดวงดาวดารดาษที่พริบพราวอยู่เหนือผืนแผ่นดินซึ่งย่อมดึงดูดสายตาคนได้มากกว่า อย่าเห็นว่าพวกผู้ฝึกลมปราณขอบเขตสิบซึ่งเคยชินกับการสวมยศ ‘อริยะ’ ชอบหลบซ่อนตัวเหมือนเต่าพันปี แต่ในความเป็นจริงแล้ว สายตาของบุคคลยิ่งใหญ่มีตบะเลิศล้ำค้ำฟ้าบางคนกลับมองทุกอย่างได้ทะลุปรุโปร่งยิ่งกว่าคนธรรมดาบนโลกมากนัก
แน่นอนว่าการที่เทพมองเห็นภูเขาและแม่น้ำผ่านฝ่ามือก็ไม่ได้ง่ายดายขนาดนั้น อาณาเขตของหนึ่งทวีปหนึ่งแคว้นย่อมต้องสิ่งกีดขวางที่มองไม่เห็นดำรงอยู่เพื่อขัดขวางไม่ให้คนของที่อื่นมองมาเห็น สถานที่อย่างถ้ำสวรรค์พื้นที่มงคลก็มีต้นกำเนิดมาจากสาเหตุนี้ หากมีหนึ่งใต้หล้ากั้นขวาง แล้วยังคิดจะตรวจสอบเรื่องราวภายในของใต้หล้านั้นๆ ตบะและขอบเขตที่ต้องใช้ก็ต้องสูงเทียมฟ้าจริงๆ
ทางทิศใต้ของเมืองเล็กมีเสียงโลหะกระทบกันดังกังวานไปยันชั้นฟ้า เสียงที่มีพลังแห่งการสั่นสะเทือนรุนแรงนั้น คนธรรมดากลับสัมผัสไม่ได้แม้แต่นิดเดียว แต่สำหรับผู้ฝึกลมปราณแล้ว ความเคลื่อนไหวนี้ไม่น้อยเลย และในความเป็นจริงหากเสียงตีเหล็กในเตาหลอมของหร่วนฉงดังเข้าหูของเผ่าปีศาจ ก็เทียบเท่ากับเสียงฟ้าร้องในช่วงฤดูใบไม้ผลิที่ดังเป็นระลอก
พวกภูตผีปีศาจที่อยู่ในเมืองเล็กต่อเพราะหวังว่าจะโชคดีต่างก็พากันกลับคืนสู่ร่างเดิม มหาสมุทรลมปราณสั่นสะท้านรุนแรง อยู่ไม่สู้ตาย คลุ้มคลั่งราวกับเป็นบ้า จากนั้นก็จะถูกผู้ฝึกยุทธ์เต็มตัวและผู้ฝึกลมปราณของต้าหลีที่เตรียมตัวรอไว้นานแล้วช่วยกันกำราบก่อน แล้วค่อยโยนพวกเขาเข้าไปในภูเขาใหญ่ น้ำใจนี้ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเป็นบุญคุณช่วยชีวิต
ขณะเดียวกันบรรยากาศการหลอมกระบี่ของหร่วนฉงก็อดทำให้คนข้างๆ ทอดถอนใจอย่างปลงอนิจจังไม่ได้ อริยะก็คืออริยะ
แม้แต่เฮ้อเสี่ยวเหลียงก็อดตกตะลึงไม่ได้ “หลอมกระบี่มาจนเกือบถึงช่วงสุดท้ายแล้ว เหตุใดความเคลื่อนไหวถึงยังรุนแรงขนาดนี้ ถึงขนาดทำให้รากฐานภูเขาและโชคชะตาแม่น้ำในอาณาเขตสั่นคลอนตามไปด้วย หรือว่าระดับของกระบี่เล่มนี้สูงจนถึงขั้นสั่นคลอนใต้หล้าได้?”
ลู่เฉินเพียงส่งยิ้ม ไม่เอ่ยอะไร
พวกอริยะก็ต้องทำการซื้อขายแลกเปลี่ยนเหมือนกัน
เพียงแต่ว่าในเมื่อฉีจิ้งชุนพูดคุยกับท่านอาจารย์รู้เรื่องแล้ว เขาก็จะไม่ยื่นมือเข้าแทรกเรื่องนี้อีก
นี่เป็นทั้งความเคารพที่มีต่ออาจารย์ และยิ่งเป็นการแสดงความเลื่อมใสของตัวเองที่มีต่อบัณฑิตคนนั้น
หวนนึกถึงปีนั้นในอดีต
หมอดูลู่เฉินนั่งหันหลังให้กับโรงเรียน คอยทำนายดวงชะตาให้กับผู้คน
ด้านหลังคืออริยะลัทธิขงจื๊อที่กำลังถ่ายทอดความรู้แก่เหล่าเด็กๆ
ส่วนข้อที่ว่าทำไมฉีจิ้งชุนถึงต้องตาย
มันเกี่ยวพันกับมหามรรคาที่ยิ่งใหญ่มากเส้นหนึ่ง
ฉีจิ้งชุนที่อยู่ในถ้ำสวรรค์หลีจูได้อ่านตำราของสามลัทธิอย่างถ้วนทั่ว
คำกล่าวที่ว่าฉีจิ้งชุน ‘มีความหวังในการก่อตั้งลัทธิเรียกตนเป็นบรรพจารย์’ คือตั้งลัทธิอะไร?
ไม่ว่าจะด้วยเหตุใด สรุปก็คือเขาคิดเหมือนกับใครบางคน ถ้าอย่างนั้นลู่เฉินที่เป็นศิษย์น้องของคนผู้นั้นก็จำเป็นต้องมาเยือนที่นี่ด้วยตัวเอง
ลู่เฉินมองไปยังท้องฟ้า
เคยมีบัณฑิตคนหนึ่งนั่งอยู่ตรงนั้น ใช้พละกำลังของตัวเองคนเดียวต่อต้านเซียนจากสามลัทธิ
นับถือก็ส่วนนับถือ เคารพก็ส่วนเคารพ
แต่เรื่องที่ผิดต่อเจตจำนงเดิมก็ยังต้องทำ
ภายหลังเขาปล่อยเรื่องราวให้เป็นไปตามสถานการณ์ หลังจากพอจะคำนวณทางหนีทีไล่ที่แท้จริงของฉีจิ้งชุนได้คร่าวๆ จึงทิ้งสี่ตัวอักษรนั้นไว้ให้กับเด็กหนุ่ม บอกว่าให้เขาหัดเรียนรู้ตัวอักษร นี่เป็นความจริง แต่ความหมายที่ยิ่งใหญ่ที่สุดยังคงเป็นเหมือนการปล่อยว่าวให้บินไปตามลม หวังจะอาศัยตอนที่เด็กหนุ่มคัดลอกสี่ตัวอักษรนั้นมาคำนวณการเดินหมากก้าวที่สำคัญที่สุดได้ในวันใดวันหนึ่ง ทั้งหมดนี้เป็นเพียงความสงสัยใคร่รู้ของยอดฝีมือในการเล่นหมากล้อมเท่านั้น
แต่ที่น่าประหลาดมากก็คือ เฉินผิงอันให้โอกาสลู่เฉินแค่ครั้งเดียวเท่านั้น
และลู่เฉินก็คำนวณอะไรไม่ได้มากนัก
สำหรับเรื่องนี้ลู่เฉินไม่ได้ถือสาอะไร เพราะอย่างไรซะสถานการณ์โดยรวมก็ค่อนข้างแน่นอนแล้ว เขาไม่มีทางได้ทีขี่แพะไล่หลังจากที่ฉีจิ้งชุนตายไปแล้ว
นักพรตหนุ่มเคยพูดกับเด็กหนุ่มกับปากตัวเองว่า “มองดูเหมือนเป็นการกระทำด้วยความหวังดี แต่ไม่แน่เสมอไปว่าจะเป็นคนดี เป็นเรื่องที่ดี”
ประโยคนี้มีความหมายลึกล้ำ ทั้งพูดถึงสี่ตัวอักษรบนเทียบยาสองสามแผ่นนั้น แล้วก็ยิ่งพูดถึงถังหูลู่ไม้นั้นที่ผ่านการวางแผนมานานมากแล้ว
ลู่เฉินปล่อยมือที่จับรถเข็นล้อเดียว ยืดแขนบิดขี้เกียจ เอ่ยยิ้มๆ “หากไม่มีเรื่องจุกจิกรบกวนใจ ประโยคหลังว่ายังไงแล้วนะ”
แม่ชีสาวยิ้มบางๆ “ก็คือช่วงเวลาที่ดีของชีวิตคน”
—————————–