บทที่ 202 จะไม่สร้างปัญหาในทุกที่
ถ้าให้พูดจากความคิดของเขา เขาต้องยอมรับว่าสะใภ้สี่เป็นคนที่ใช้จ่ายอย่างอิสระที่สุดในหมู่สะใภ้ทั้งสี่
สะใภ้อีกสามคนที่เหลือไม่อาจเทียบเธอได้เลย
เธอสุรุ่ยสุร่ายก็จริง แต่เธอก็หาเงินเก่งด้วย
ด้วยเงินเดือนที่มากกว่า 10 หยวนต่อเดือนแถมแต้มค่าแรงจำนวนหนึ่ง เด็กทุกคนในบ้านต่างเติบโตขึ้นเป็นอย่างดี
และเธอก็ให้การปฏิบัติแก่สองสามีภรรยาชราอย่างเท่าเทียมกันกับคนในบ้านของเธอ
อะไรที่พวกเขากิน พวกเขาสองคนก็ได้กินด้วย ต่อให้เขาจะกินจุในปริมาณมาก ๆ เธอก็ไม่ว่าอะไร สักคำเดียวก็ไม่มี แต่กลับทำอาหารมากขึ้นในครั้งต่อไปแทน
พูดตามตรงก็คือในอดีตเขาและภรรยารักใคร่ลูกชายคนเล็กมากที่สุด แต่ก็ยังไม่ทิ้งลูกชายอีกสามคนที่เหลือ สิ่งที่ควรให้ก็ให้ไป ไม่เหมือนคนพวกนั้นที่ลำเอียงอย่างไม่มีที่สิ้นสุดหรอก
ในอดีตพวกเขาวางแผนว่าอนาคตจะมาอยู่กับครอบครัวของลูกชายคนที่สี่ แต่หลังจากนั้นพวกเขาก็ไม่กล้าหวังที่จะทำแบบนี้หลังเห็นการกระทำของสะใภ้สี่แล้ว
เธอเปลี่ยนแปลงตัวเองอย่างไม่คาดคิดในตอนที่ลูกชายคนที่สี่กลับมาบ้าน
ท่านพ่อโจวคาดการณ์ว่าตราบใดที่ลูกชายสี่อยู่ที่บ้าน สะใภ้สี่ก็ไม่กลับไปทำตัวแบบเดิม
ดังนั้นท่านพ่อโจวจึงรู้สึกว่าตัวเขาและภรรยาจะยังมีชีวิตต่อไปได้
“คุณปู่ กลับมากินถั่วเขียวต้มได้แล้วครับ”
หลังจับเข่านั่งคุยกับคนอื่นเป็นเวลานาน เจ้าสามก็ออกมาเรียกเขาโดยตะโกนเรียกอยู่ไกล ๆ
“คุยกันแค่นี้ก่อนนะ ฉันไปกินถั่วเขียวต้มก่อนล่ะ” ท่านพ่อโจวเอ่ยแล้วก็ลุกขึ้น
ผู้เฒ่าคนอื่นๆ ในวัยเดียวกันต่างถอนหายใจ
เป็นเรื่องจริงที่ต่างคนต่างมีชีวิตเป็นของตัวเอง ทำไมพวกเขาถึงไม่โชคดีแบบนี้บ้างนะ?
พวกเขารู้ว่าตอนนี้ท่านพ่อโจวทำงานได้ค่าแรงแค่ 6 แต้มแล้ว ในขณะที่พวกเขายังคงทำงานได้ค่าแรง 10 แต้มกันอยู่ แต่นั่นก็ช่วยไม่ได้ พวกเขาต้องทำงานให้ได้เยอะ ๆ ในตอนนี้ที่ยังทำงานได้อยู่ถูกไหมล่ะ?
ไม่อย่างนั้นแล้วในอนาคตพวกเขาต้องถูกรังเกียจแน่
หลังกินถั่วเขียวต้มแล้ว ท่านพ่อโจวกับท่านแม่โจวก็พาซูสวิ่นน้อยที่ยังเล็กอยู่กลับไปที่บ้านตระกูลโจวเพื่ออาบน้ำและนอนพักผ่อน
หลังเวลาอาบน้ำเสร็จตอนหนึ่งทุ่มเท่านั้น ทั้งท่านพ่อโจวกับท่านแม่โจวก็ยังไม่เข้านอน พวกเขาปูเสื่อนั่งอยู่ที่ลานบ้านขณะปล่อยให้ซูสวิ่นน้อยเล่นอยู่ครู่หนึ่ง
“พ่อครับ พ่อรู้สึกไม่สบายอะไรตรงไหนบ้างเหรอครับ” พี่ชายใหญ่เดินมาหาและตรวจดูร่างกายของคนเป็นพ่อหลังจากที่เขาอาบน้ำเสร็จ
“ฉันจะรู้สึกไม่สบายอะไรกันล่ะ?” ท่านพ่อโจวอึ้งไปและถามกลับ
“แกไปได้ยินเรื่องนั้นจากไหนน่ะ? พ่อแกไม่มีตอนไหนสุขสบายดีเท่ากับตอนนี้อีกแล้วล่ะ” ท่านแม่โจวเอ่ยอย่างหงุดหงิด
“ไม่ใช่อย่างนั้นครับ พอดีวันนี้ผมได้ยินมาจากคนนับแต้มค่าแรงว่าพ่อขอรับค่าแรง 6 แต้มมาได้ระยะหนึ่งแล้วน่ะครับ” พี่ชายใหญ่ตอบ
พี่ชายรองกับพี่ชายสามยังไม่รู้เรื่องนี้ ตอนนี้พวกเขาก็อยู่ที่ลานบ้านด้วยเช่นเดียวกัน พอได้ยินพี่ชายใหญ่ยกประเด็นขึ้นมา ทั้งคู่ต่างมีท่าทีประหลาดใจและหันมาทางท่านพ่อโจวพร้อมเพรียงกัน “พ่อครับ ถ้าพ่อไม่สบายก็อย่าปิดบังกันเลยครับ”
“พวกแกไปไกล ๆ เลย ไม่อยากให้พ่อแกได้พักสบาย ๆ เหรอ? เขาทำงานมาชั่วชีวิตและพวกแกก็โตกันหมดแล้ว เราสองคนทำหน้าที่ทุกอย่างของเราหมดแล้ว” ท่านแม่โจวบอก
ตอนแรกพวกเขาไม่เข้าใจ แต่พอได้ยินแบบนี้ทุกคนก็เข้าใจ
“ทำไม? พวกแกมีปัญหาเหรอ?” ท่านพ่อโจวกวาดสายตามองบรรดาลูกชายทั้งสาม
“ไม่ครับ ไม่มีครับ” บรรดาลูกชายทั้งสามพากันส่ายหน้าอย่างพร้อมเพรียงกัน
พอเข้าใจแล้ว พี่ชายรองจึงกระซิบถามผู้เป็นพ่อ “พ่อครับ แล้วเรื่องนี้ทางครอบครัวอาสี่รู้ไหมครับว่าพ่อทำงานได้แต้มค่าแรง 6 แต้ม?”
“พวกเขารู้แล้วล่ะ” ท่านพ่อโจวตอบด้วยอาการสงบ
ท่านแม่โจวก็มีท่าทีใจเย็นเช่นกัน ตอนนี้นางกับคู่ชีวิตมีอายุเกือบ 65 ปีแล้ว
พวกเขายังคงฝืนทำงานหนักด้วยความกังวลว่าเจ้าใหญ่กับน้อง ๆ จะไม่สามารถแต่งภรรยาได้ ในเมื่อพ่อแม่เด็กทั้งสามไม่อาจพึ่งพาได้แล้ว พวกเขาก็อยากจะออกแรงช่วยอีกสักเล็กน้อย
นั้นจึงเป็นเหตุผลว่าทำไมพวกเขาถึงยังทำงานอยู่
แต่ในขณะที่ทำงาน ทั้งสองก็ตระหนักได้ว่าสถานการณ์ในครอบครัวของลูกชายสี่กำลังดีขึ้นในทุก ๆ วัน
สะใภ้สี่กลายเป็นคุณครูโรงเรียนมัธยมต้นและเปลี่ยนเป็นใบไม้แรกผลิ เจ้าใหญ่กับน้อง ๆ เองก็มีแต่คนอยากได้เป็นว่าที่ลูกเขย จึงไม่จำเป็นที่พวกเขาสองคนต้องทำงานหนัก
ดังนั้นพวกเขาจึงไม่อยากตรากตรำทำงานหนักอีกต่อไป
แต่ก่อนจะตัดสินใจแบบนี้ ท่านแม่โจวก็ได้ถามโจวชิงไป๋ผู้เป็นลูกชายคนเล็กก่อน
แม้โจวชิงไป๋จะเห็นด้วยกับจุดนี้ แต่เขายังต้องบอกเรื่องนี้กับภรรยาในตอนที่เข้านอนด้วยกัน แล้วก็น่าประหลาดใจที่ภรรยาของเขาไม่คัดค้าน
ถึงจะเป็นอย่างนั้น หลินชิงเหอก็ยังพูดถึงเรื่องนี้กับท่านพ่อโจวในวันต่อมา
ท่านพ่อโจวจึงรู้สึกวางใจได้ในที่สุด
พี่ชายใหญ่ พี่ชายรอง และพี่ชายสามต่างอึ้งไป พวกเขาไม่นึกเลยว่าเรื่องนี้จะได้รับการยอมรับแล้ว
“ตอนนี้สะใภ้สี่เปลี่ยนไปมากเลยนะคุณ” พี่ชายใหญ่เอ่ยกับสะใภ้ใหญ่ในตอนเย็น
สะใภ้ใหญ่ไม่กล่าวอะไร หากเป็นเรื่องการแสดงความกตัญญู พวกเขาต่างสู้สะใภ้สี่ไม่ได้ อย่างไรก็ตามฐานะครอบครัวของพวกเขาสู้ครอบครัวสะใภ้สี่ไม่ได้อยู่แล้ว จึงไม่จำเป็นที่จะต้องแข่งขันกัน
“ตอนนี้เจ้าใหญ่กับน้อง ๆ ต่างเป็นที่ต้องการตัวไม่น้อย เป็นเรื่องดีแล้วที่คุณพ่อจะได้ลดการทำงานลง ถ้าเจ้าใหญ่เข้ามหาวิทยาลัยได้ เขาคงจะมีความสุขมากขึ้นแน่ ๆ” พี่ชายใหญ่หัวเราะ
“ถ้าเขาสอบผ่านได้ เราทุกคนก็คงจะยินดีด้วยเหมือนกันค่ะ” สะใภ้ใหญ่เอ่ยเสริมเจื้อยแจ้ว
หล่อนหวังว่าเจ้าใหญ่จะสอบผ่าน หากเขาสอบผ่านแล้ว ในอนาคตเขาก็คงจะมาช่วยเหลือญาติพี่น้องได้ถูกไหมล่ะ?
สะใภ้รองกับสะใภ้สามก็มีความคิดแบบเดียวกัน
นับตั้งแต่สะใภ้รองอยู่ห่างจากหวังหลิง หล่อนก็เปลี่ยนไปมาก แต่ก็ยังคงคิดเล็กคิดน้อยอยู่นิดหน่อย
จริง ๆ แล้ว นี่คือความจริง
ถ้าหลินชิงเหอมีชีวิตที่ดีกว่าหล่อนแม้แต่นิดเดียว หล่อนก็จะรู้สึกอิจฉาจนอยู่ไม่สุข
แต่ถ้าความยอดเยี่ยมของหลินชิงเหอเป็นสิ่งที่หล่อนสู้ไม่ได้ หล่อนก็ทำได้แต่ชื่นชมและไม่มีความคิดอะไรนอกเหนือจากนั้น
หล่อนเองก็รู้ซึ้งว่าเรื่องต่าง ๆ เป็นเรื่องระหว่างหล่อนกับหลินชิงเหอเพียงสองคน ในขณะที่เด็ก ๆ เป็นเด็กของตระกูลโจว
หากเจ้าใหญ่เข้ามหาวิทยาลัยได้ เขาจะไม่ช่วยเหลือพี่ ๆ น้อง ๆ ได้อย่างไร?
สะใภ้สามเองก็มีความคิดเช่นนี้เหมือนกัน
ทั้งหมดทั้งมวลนี้ เจ้าใหญ่ก็กลายเป็นคนดังในตระกูลโจวเพราะเรื่องสอบเข้ามหาวิทยาลัย
คืนนั้นเองหลินชิงเหอก็คุยกับเจ้าใหญ่ในเรื่องนี้
“ลูกรู้สึกอย่างไรบ้าง?” หลินชิงเหอยักคิ้ว
“ถ้าเราอยากจะสวมมงกุฎ เราต้องรับน้ำหนักของมันให้ได้ครับ” เจ้าใหญ่เอ่ยเสียงขรึม
หลินชิงเหออดไม่ได้ที่จะกลั้วหัวเราะ “รู้สึกกดดันมากเกินไปไหม?”
“จริง ๆ แล้วมันไม่เป็นไรหรอกครับ ผมแค่ทนไม่ไหวกับสิ่งที่พวกเขามักจะอยากจะยัดเยียดให้ผมต่างหาก” เจ้าใหญ่เอ่ยพลางส่ายหน้า
ส่วนเรื่องอื่น ๆ นั้นไม่เป็นปัญหา เพราะเขาเองก็มีเป้าหมายนั้นเหมือนกัน เขาจะเข้ามหาวิทยาลัยคนงาน ชาวนา และทหารหลังเรียนจบมัธยมปลายให้ได้!
โดยไม่รู้ว่าจะมีการฟื้นฟูการสอบเข้ามหาวิทยาลัย เป้าหมายใหญ่ที่สุดของเจ้าใหญ่จึงเป็นมหาวิทยาลัยคนงาน ชาวนา และทหาร
หลินชิงเหอไม่ใส่ใจ บ่ายนี้เขาทำงานหนักมากแล้ว เธอจึงปล่อยให้เขาได้พักผ่อน
จากนั้นเธอจึงกลับไปที่ห้องของโจวชิงไป๋แล้วให้เขานอนลง ขณะที่เธอลงมือนวดหลังให้เขา
กล้ามเนื้อของชายคนนี้แข็งตึงทุกส่วน เป็นชายที่แข็งแรงเต็มร้อย
“ชิงไป๋ ลูกเราเริ่มมีปัญหากับการเติบโตขึ้นแล้วล่ะค่ะ” หลินชิงเหอเอ่ยอย่างรื่นเริง
แม้เธอจะหวังให้เหตุการณ์เป็นแบบนี้ ตรงที่วายร้ายทั้งสามที่บรรยายในหนังสืออยู่ในสายตาของเธอ แต่วายร้ายก็ไม่ได้เป็นวายร้ายอีกแล้ว มันไม่มีอยู่อีกต่อไป
โครงเรื่องถูกเธอเปลี่ยนแปลงไปแล้ว มโนธรรมของสามพี่น้องถูกขัดเกลาไปจนกลายเป็นคนมีเหตุมีผลและไม่สร้างปัญหาอะไรอีก
………………………………………………
สารจากผู้แปล
เขาว่ายิ่งสูงยิ่งหนาว เป็นคนดังก็ต้องแลกมากับความคาดหวังของคนอื่น เจ้าใหญ่สู้ๆ นะคะ
ยินดีกับแม่ด้วยค่ะที่เปลี่ยนวายร้ายให้เป็นคนดีสำเร็จ
ไหหม่า(海馬)