เมืองเล็กหลงเฉวียน ในโรงเรียนเก่าแก่ที่ถูกทิ้งร้าง นักพรตหนุ่มสวมกวานดอกบัวนั่งอยู่ด้านหลังโต๊ะตัวเล็กเพียงลำพัง มองไปยังตำแหน่งที่ฉีจิ้งชุนเคยยืนมาเป็นเวลาหกสิบปี นักพรตหนุ่มเงียบงันไม่เอ่ยคำใด ปลายนิ้ววาดไปวาดมาบนหน้าโต๊ะเบาๆ โดยไม่รู้ตัว
เมื่อคืนสติ ลู่เฉินจึงยกมือขึ้นคว้าจับไปทางด้านหลัง เฮ้อเสี่ยวเหลียงที่บินทะยานออกมาจากเรือปลาคุนก็ถูกเขา ‘งม’ ออกมาจากทะเลเมฆที่กว้างใหญ่ไพศาลโดยตรง ต่อให้เป็นผู้ฝึกลมปราณขอบเขตโอสถทองคำอย่างเฮ้อเสี่ยวเหลียง แต่เมื่อถูกย่นระยะทางนับหมื่นลี้ในเสี้ยววินาทีก็ยังอดรู้สึกหูตาพร่าลายไม่ได้ ร่างของนางเซถลาอยู่พักหนึ่งถึงจะหยุดยืนได้อย่างมั่นคง
เฮ้อเสี่ยวเหลียงตีหน้านิ่ง จัดระเบียบเสื้อผ้า สงบจิตวิญญาณที่อยู่ในทะเลสาบหัวใจ ถอยหลังไปสามก้าว ครั้นจึงทรุดตัวลงพื้นหมอบกราบ “ศิษย์เฮ้อเสี่ยวเหลียงคารวะอาจารย์”
จากกุมารีหยกของระบบเต๋าในหนึ่งทวีปกระโดดข้ามขั้นกลายมาเป็นลูกศิษย์ผู้สืบทอดของเจ้าลัทธิหนึ่งในสำนักเต๋า นี่ก็คือปลาหลีกระโดดข้ามประตูมังกรโดยไม่ต้องสงสัย
ลู่เฉินพยักหน้ารับ ยกมือบอกให้เฮ้อเสี่ยวเหลียงรู้ว่าลุกขึ้นยืนได้ “ลุกขึ้นเถอะ เป็นลูกศิษย์ของข้าไม่จำเป็นต้องยึดถือกฎระเบียบพิธีการอะไรมากนัก แค่จริงใจก็พอแล้ว ตอนนี้เจ้าไม่ต้องสงสัย วันหน้าเมื่ออยู่ด้วยกันนานวันเข้า รอจนเจ้าได้พบกับศิษย์พี่ชายหญิงอีกห้าคนที่เหลือของเจ้าก็จะเข้าใจได้เองว่า นอกเหนือจากมหามรรคาแล้ว ทุกอย่างล้วนเป็นเพียงมายาเลื่อนลอย”
สำหรับพิธีการทางโลกของลัทธิขงจื๊อ หรือแม้แต่กฎเหล็กในระบบเต๋าของตัวเอง ลู่เฉินที่ใช้ชีวิตอยู่ในใต้หล้าไพศาล แต่แท้จริงแล้วเติบโตอยู่ในใต้หล้ามืดสลัวไม่เคยให้ความสำคัญ บางทีอาจพูดได้ว่าก่อนหน้าจะถึงขอบเขตบินทะยาน เขาก็คือคนที่หันหลังให้กับระเบียบทางโลก ดังนั้นจึงเป็นคนที่มีจิตใจเปิดกว้าง ไร้ข้อผูกมัด และมีชื่อเสียงอยู่บนโลกใบนี้ด้วยสองคำว่า ‘อิสระเสรี’
ไม่เหมือนศิษย์พี่ใหญ่ที่ละเอียดอ่อนรอบคอบ หรือศิษย์พี่รองที่รู้ขอบเขตควรมิควร เขาที่เป็นศิษย์น้องเล็ก ต่อให้อยู่ต่อหน้าอาจารย์ก็ยังไม่ทำตามกฎระเบียบสักเท่าไหร่ ด้วยเรื่องนี้ศิษย์พี่ใหญ่ยังเคยเกลี้ยกล่อมเขา แม้แต่พี่รองก็ยังเคยซ้อมเขามาก่อน ภายหลังลู่เฉินก็ยังทำอะไรตามใจตัวเองอยู่เหมือนเดิม ยังดีที่อาจารย์ซึ่งจะมาปรากฎตัวในถ้ำสวรรค์เหลียนฮวาเป็นบางครั้งไม่ได้ถือสา
ลู่เฉินมองแม่ชีสาวที่ค่อนข้างจะอึดอัดใจ ยิ้มบางๆ กล่าวว่า “ทำไม ถูกงูกัดครั้งหนึ่งเลยกลัวเชือกไปสิบปี คิดว่าข้านักพรตที่เป็นอาจารย์ของเจ้าคิดวางกับดักล่อคนทุกวันอย่างนั้นหรือ? เพราะฉะนั้นทุกคำที่ข้าพูด เจ้าต้องใคร่ครวญ ชั่งน้ำหนักอย่างระมัดระวัง? ถ้าอย่างนั้นเจ้าก็คิดผิดแล้ว อะไรที่มากเกินไปย่อมไม่ดี การที่ครั้งนี้เจ้ากลายมาเป็นลูกศิษย์ผู้สืบทอดของข้าได้ก็เพราะเจ้าสามารถผ่านด่านถามใจได้ติดต่อกันสามด่าน ด่านแรก เมื่อสัมผัสได้ว่าเป็นแผนการของข้าผู้เป็นนักพรตก็ตัดสินใจได้อย่างเฉียบขาด รีบทบทวนเจตนาเดิมของตน ดึงภาพลวง ‘คู่สวรรค์ประทาน’ ทิ้งไป คว้าความจริงที่ว่า ‘วาสนาบางเบา’ เอาไว้ เมื่อผ่านด่านนี้มาได้ เจ้าถึงไม่ตายก่อนวัยอันควรที่กุรุทวีป หาไม่แล้วเมื่อไปอยู่ในสถานที่ที่ผู้ฝึกกระบี่กลาดเกลื่อนเหมือนขนวัว ทุกอย่างล้วนอาศัยกระบี่ที่รวดเร็วและหมัดในการพูดจา อนาคตเจ้าย่อมต้องเจอกับอุปสรรคใหญ่หลวง เนื่องด้วยทั้งชีวิตที่ผ่านมาเจ้าพบเจอแต่ความราบรื่นมาโดยตลอด หากสภาพจิตใจปริแตกจะยิ่งแหลกสลายได้อย่างสิ้นเชิงไม่มีทางแก้ไข และข้าผู้เป็นนักพรตก็ไม่ต้องไปตามหาตัวเจ้าในชาติหน้าแล้ว”
ลู่เฉินยื่นนิ้วชี้หน้าเฮ้อเสี่ยวเหลียง ยังคงเอ่ยด้วยรอยยิ้มบางๆ “เจ้าต้องรู้ว่า ครั้งนี้คนสามคนที่เซี่ยสือขอจากต้าหลี ยังไม่ต้องพูดถึงหลี่ซีเซิ่ง เอาแค่หม่าขู่เสวียน เขาก็คือเด็กโชคดีที่ศิษย์พี่รองของข้าเลือกตัวไป หนึ่งแก่หนึ่งเด็ก นิสัยร้ายกาจเข้าขากันเป็นอย่างดี ส่วนข้อที่ว่าจะมีเรื่องวงในอย่างอื่นอีกหรือไม่ ระบบเต๋าย่อมมีกฎเป็นของตัวเอง ไม่อนุญาตให้พวกเราศิษย์พี่ศิษย์น้องสามคนอนุมานทำนายดวงให้กัน ส่วนเจ้าเฮ้อเสี่ยวเหลียงคือคนที่ข้าผู้เป็นนักพรตเลือก เพราะใจแห่งการฝึกตนของเจ้าคล้ายคลึงกับประสบการณ์การฝึกตนเมื่อแรกเริ่มของข้ามาก ไขปริศนาที่บังตา มุ่งตรงไปยังเจตนาดั้งเดิม นี่จึงเป็นเรื่องที่เรียบง่ายมาก เรียบง่ายกว่าการเป็นหุ่นเชิด ตกเป็นหมากของคนอื่น หรือคิดว่านี่คือแผนการในการช่วงชิงของเมธีร้อยสำนักอย่างที่เจ้าจินตนาการไว้มาก ก็แค่ข้าผู้เป็นนักพรตถูกชะตากับเจ้า จึงเลือกเจ้าเป็นลูกศิษย์ก็เท่านั้น”
“เจ้าคิดจริงๆ หรือว่าพวกตาแก่ที่อยู่ในศาลเจ้าบุ๋นเหล่านั้นจะไม่จับตามองทุกการกระทำของข้า? เพราะฉะนั้นนี่ก็คือแผนการอย่างโจ่งแจ้งเปิดเผย วันหน้าเจ้าเฮ้อเสี่ยวเหลียงจะยืนหยัดอยู่ในกุรุทวีปได้อย่างมั่นคง มีชีวิตอยู่อย่างดีไปถึงท้ายที่สุดหรือไม่ ก็ดูที่แค่ความสามารถของเจ้าอย่างเดียว หลังจากที่ข้าผู้เป็นนักพรตกลับคืนไปยังใต้หล้ามืดสลัวจะไม่คอยดูแลลูกศิษย์ทุกก้าวย่าง เหล่าอริยะของลัทธิขงจื๊อไม่มีทางจงใจทำร้ายเจ้า อีกทั้งเจ้ายังมีศิษย์พี่ชายที่เดินทางท่องเที่ยวอยู่ที่ทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางอีกคนหนึ่ง รวมไปถึงศิษย์พี่หญิงที่ฝึกประสบการณ์อยู่ที่กำแพงเมืองปราณกระบี่ หากเกิดเรื่องขึ้นจริงๆ ก็สามารถไปขอความช่วยเหลือจากพวกเขาได้ ในเมื่อตอนนี้พวกเจ้าเป็นคนบนเส้นทางเดียวกัน มีมิตรภาพของคนร่วมสำนัก…ก็ควรต้องช่วงชิงหน้าตาให้อาจารย์อย่างข้าสักหน่อย”
กล่าวมาถึงตรงนี้ ลู่เฉินก็คลี่ยิ้ม “วางใจเถอะ ข้าผู้เป็นนักพรตไม่ใช่อาจารย์ที่สำนักโองการเทพของเจ้า ไม่มีทางต้องการให้เจ้ามาฝึกตนคู่อะไรทั้งนั้น”
เฮ้อเสี่ยวเหลียงกลับมาเป็นแม่ชีงดงามผู้มีบุคลิกสุขุมเยือกเย็นที่มองทุกอย่างเว้นจากมหามรรคาเป็นสิ่งนอกกายอีกครั้ง นางถามคำถามหนึ่งที่ครุ่นคิดมานานมากแล้ว “ใต้หล้ามืดสลัวที่เจ้าประมุขลัทธิเต๋าของพวกเราควบคุมทุกอย่างก็มีอริยะของลัทธิขงจื๊อวางแผนการไว้อย่างลับๆ ด้วยหรือไม่?”
ลู่เฉินหัวเราะฮ่าๆ เสียงดัง “มันก็แน่อยู่แล้ว ไม่ว่าที่ไหนก็เหมือนกัน ทุกคนต่างก็ยุ่งกันแทบหัวหมุน เจ้าคิดว่าคนอย่างหม่าขู่เสวียน เว่ยจิ้น ซ่งจ่างจิ้งถือเป็นลูกรักลำดับสูงสุดของสวรรค์แล้วใช่หรือเปล่า?”
ลู่เฉินหัวเราะอย่างมีความสุข “ถ้าอย่างนั้นวันหน้าเจ้าก็ควรไปดูที่ทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางจริงๆ หรือบางทีในอนาคตได้ไปเยือนป๋ายอวี้จิงของใต้หล้ามืดสลัว เจ้าก็จะเข้าใจได้เองว่าต้องมีภูเขาที่สูงกว่าภูเขาหนึ่งเสมอ”
เฮ้อเสี่ยวเหลียงนั่งอยู่ด้านหลังโต๊ะตัวหนึ่งที่ห่างไปไม่ไกล นางบิดเอวหันมามองประสานสายตากับลู่เฉิน พอได้ยินคำตอบของเขาหัวคิ้วก็ขมวดเข้าหากันเล็กน้อยราวกับไม่ค่อยเข้าใจสักเท่าไหร่
ลู่เฉินถามอย่างคลุมเครือ “เจ้าอยากถามว่าทำไมสามลัทธิถึงไม่นัดหมายกันให้รู้เรื่องไปเลยว่าพัฒนาศักยภาพได้แค่ในถิ่นของตัวเองเท่านั้น และต้องผลักไสความรู้ของสำนักหรือลัทธิอื่นๆ? แบบนี้จะได้ไม่ต้องยุ่งยาก?”
เฮ้อเสี่ยวเหลียงพยักหน้ารับ นี่ก็คือสิ่งที่นางคิดอยู่ในใจ
ลู่เฉินกล่าวอย่างปลงอนิจจัง “เพราะแต่ละถิ่นฐานในตอนนี้ล้วนเคยเป็นสมรภูมิรบโบราณที่ใหญ่ที่สุด เป็นผลเก็บเกี่ยวที่เหล่าปราชญ์อริยะใช้ชีวิตแลกมันมา พวกเราเองก็กลัวว่าอนาคตฟ้าดินจะเกิดการเปลี่ยนแปลง หากเลือกที่จะพอใจอยู่ ณ ที่เดิมๆ ไม่แสวงหาความก้าวหน้า บางทีอาจทำให้คนที่อยู่เบื้องล่างรู้สึกถึงอุปสรรคที่ขัดขวางบนมหามรรคา จุดจบจะเป็นอย่างไร ใต้หล้าทั้งหลายในทุกวันนี้ก็คือหลักฐานพิสูจน์ที่ดีที่สุด”
ลู่เฉินชี้ไปยังทิศทางสุสานเทพเซียนของเมืองเล็ก “แม่น้ำและภูเขายังคงเดิม ทว่าเจ้าของที่เคยอยู่สูงเหนือผู้ใดกลับกลายเป็นเพียงเศษซากที่กองกันอยู่ในดินโคลน”
เฮ้อเสี่ยวเหลียงพอจะกระจ่างแจ้งได้บ้างแล้ว
เรื่องบางเรื่องอยู่ห่างไกลเกินไป ยากที่จะทำความเข้าใจได้ คนที่รู้เรื่องก็ไม่เต็มใจพูด อีกทั้งยังไม่มีเขียนไว้ในตำรา คนรุ่นหลังย่อมเคว้งคว้างไม่เข้าใจ
การคาดเดามากมายหลากหลาย การช่วยผลักดันลูกคลื่นให้เคลื่อนไปข้างหน้าของสำนักเล็กๆ งานประพันธ์ของนักเขียนที่เต็มไปด้วยจินตนาการบรรเจิด ประวัติศาสตร์เกร็ดพงศาวดารที่จงใจเขียนด้วยภาษาลึกซึ้ง ทุกสิ่งเหล่านี้ตกตะกอนทับถมกันปีแล้วปีเล่า เกรงว่าบางทีเมื่อความจริงเล็กๆ น้อยๆ ลอยขึ้นเหนือน้ำมาก็คงถูกกลบทับลงไปด้านล่างอย่างรวดเร็ว สุดท้ายกลับจะถูกเข้าใจผิดคิดว่าเป็นข้อผิดพลาดด้วย
ลู่เฉินคลี่ยิ้ม “ออกนอกเรื่องไปไกลแล้ว กลับมาเข้าประเด็น ด่านที่สองของเจ้า ข้าผู้เป็นนักพรตต้องการแน่ใจว่าการเดินทางไปยังกุรุทวีปครั้งนี้ของเจ้า ควรให้เจ้าพึ่งพาเทียนจวินเซี่ยสือ หรือว่าให้เจ้าก่อตั้งสำนักเป็นของตัวเอง ดังนั้นจึงจงใจขุดหลุมพรางทำให้เจ้าคิดว่าตัวเองสละการเลือกที่ถูกต้องทั้งสองข้อไป แล้วดันมาเลือกการตัดสินใจข้อที่ผิดที่สุด ให้เจ้าเข้าใจผิดคิดว่าจะต้องเดินสวนทางกับมหามรรคา ต้องการให้ใจเจ้าเกิดความเสียดาย สงสัยในเจตนารมณ์เดิมของมหามรรคาตัวเอง”
เฮ้อเสี่ยวเหลียงกล่าวอย่างไม่สะทกสะท้าน “แค่ต้องอาศัยสติปัญญาเสี้ยวหนึ่งที่หลงเหลืออยู่ในสมองถึงจะผ่านด่านไปได้”
ลู่เฉินเอ่ยยิ้มๆ “เกี่ยวกับข้อนี้ ข้าผู้เป็นนักพรตจะเฉลยให้เจ้าฟังว่าเหตุใดเจ้ากับเฉินผิงอันถึงผูกสัมพันธ์กันได้ในช่วงสุดท้าย ตอนนี้มาพูดถึงด่านสุดท้ายก่อน ซึ่งค่อนข้างจะซับซ้อนเล็กน้อย เป็นด่านสำคัญที่สืบเนื่องต่อกัน คำว่าความรักนั้น สามารถอธิบายได้หมื่นรูปแบบ
“ระหว่างชายและหญิงเกิดความหวั่นไหวได้มากที่สุด ดังนั้นข้าผู้เป็นนักพรตจึงปลูกเมล็ดพันธ์ความรักเมล็ดหนึ่งไว้ในทะเลสาบหัวใจของเจ้านานแล้ว เมื่อมันพบเจอกับน้ำฝนแห่งโชควาสนา มันก็จะแตกหน่องอกงามอย่างรวดเร็วโดยที่เจ้าไม่ทันรู้ตัว เดิมทีนี่เป็นวิธีรวบรัดชั้นต่ำ แต่กลับได้ผลสำหรับเจ้าเฮ้อเสี่ยวเหลียง แล้วนับประสาอะไรที่ต่อให้เป็นวิธีชั้นต่ำแค่ไหน เมื่อข้านักพรตเป็นผู้ใช้ก็กลายเป็นวิธีชั้นสูงได้”
“มีอาจารย์ผู้มีพระคุณที่สำนักโองการเทพ มีเว่ยจิ้นแห่งศาลลมหิมะวัยเดียวกันที่พรสวรรค์เลิศล้ำ และเด็กหนุ่มชาวบ้านจากตรอกหนีผิง สองคนแรกเจ้าผ่านมาได้อย่างราบรื่น ยังคงรักษาเจตนารมณ์เดิมของตัวเองเอาไว้ได้โดยที่ไม่สั่นคลอนแม้แต่น้อย มีเพียงด่านสุดท้ายที่เนื่องจากข้าผู้เป็นนักพรตจงใจสร้างความยากลำบาก ช่วยปูถนนสร้างสะพานถึงทำให้เจ้าเฮ้อเสี่ยวเหลียงตกอยู่ในสถานการณ์กลืนไม่เข้าคายไม่ออก ถ้าหากเจ้า…”
ลู่เฉินลุกขึ้นยืน งอนิ้วเคาะลงไปบนกวานดอกบัวที่เป็นสัญลักษณ์ของเจ้าลัทธิเบาๆ แล้วพูดต่อว่า “มึนๆ งงๆ หัวใจแห่งการฝึกตนสะท้านสะเทือนไปเพราะสองคำว่าลู่เฉิน จึงเลือกเดินไปบนทางที่ข้าผู้เป็นนักพรตบุกเบิกไว้ให้เจ้า ถ้าอย่างนั้นข้าผู้เป็นนักพรตก็ยังจะอนุญาตให้เจ้าตั้งสำนักขึ้นเองที่กุรุทวีป แต่จะไม่ยอมรับเจ้าเป็นลูกศิษย์เด็ดขาด”
“เรื่องรับลูกศิษย์ก็ยากลำบากเช่นนี้แล”
ลู่เฉินหุบยิ้ม “คิดจะเป็นลูกศิษย์ของลู่เฉินก็ควรต้องมีความคิดที่ว่า สักวันหนึ่งมรรคาถาของข้าจะสูงกว่าลู่เฉิน เส้นทางที่ข้าก้าวเดินต้องยาวไกลกว่าลู่เฉิน ห่างคัมภีร์กบฏต่อมรรค? (离经叛道 หากแปลเป็นภาษาไทยจะแปลว่านอกรีตนอกรอย) ห่างจากคัมภีร์อะไร คัมภีร์ก็แค่สิ่งที่นักปราชญ์เขียนไว้เท่านั้น กบฏต่อมรรคอะไร? มรรคก็คือเส้นทางที่พวกนักปราชญ์ก้าวเดิน แล้วทำไมถึงไม่ลองทำด้วยตัวเองดูล่ะ?”
ต่อให้เป็นคนที่นิสัยเยือกเย็นอย่างเฮ้อเสี่ยวเหลียงก็ยังอดเกิดความหวาดหวั่นพรั่นพรึงและเคารพนับถือขึ้นในใจไม่ได้
นางลุกขึ้นยืน โค้งคารวะลู่เฉินอย่างนอบน้อม “หวังว่าสักวันหนึ่งศิษย์เฮ้อเสี่ยวเหลียงจะสามารถนั่งพูดคุยถกปัญหาอยู่ในระดับเดียวกับอาจารย์”
ลู่เฉินจุ๊ปาก “ค่อนข้างยากนะ”
—–